“ท่านทั้งหลายจงออกไปทั่วโลก ประกาศข่าวดีให้มนุษย์ทั้งปวง”
89. พระคริสตเจ้าผู้ทรงกลับคืนพระชนมชีพทรงสำแดงพระองค์ (2)
- หลังจากนั้น พระองค์ทรงสำแดงพระองค์ ในรูปแตกต่างไป นักบุญมาระโกเล่าลำดับการประจักษ์ของพระเยซูเจ้าแก่บรรดาศิษย์ โดยเน้นว่าพระองค์ทรงแสดงตนแตกต่างจากการสำแดงแก่มารีย์ชาวมักดาลา (เทียบ 16:9) คือทรงสำแดงพระองค์แก่มารีย์ชาวมักดาลาในแบบคนสวน (เทียบ ยน 20:15) แต่ในกรณีนี้ทรงสำแดงพระองค์ในแบบผู้เดินทาง (เทียบ ลก 24:15) ทั้งนักบุญยอห์นและนักบุญลูกาเล่าว่า ในตอนแรก บรรดาศิษย์จำพระอาจารย์ไม่ได้ ชวนให้คิดว่าพระเยซูเจ้าทรงมีพระพักตร์ต่างไปจากเวลาที่ทรงพระชนม์อยู่ในโลกนี้ ดังที่พวกเขารู้จักพระองค์ นักบุญเปาโลสอนว่าร่างกายทุกคนที่กลับคืนชีพจากบรรดาผู้ตายจะเป็นเหมือนพระวรกายรุ่งโรจน์ของพระเยซูเจ้า ซึ่งเคยมีคุณสมบัติเฉพาะที่อนุญาตให้พ้นจากกฎทั่วไปทางกายภาพ เพราะสามารถผ่านทางประตูที่ปิดอยู่หรือกำแพงที่ขวางกั้น สามารถสำแดงตนหรือหายตัวได้ตามความพอใจ (เทียบ ลก 24:31; ยน 20:19, 26)
- กับศิษย์สองคน หมายถึงสองคนจากกลุ่มบรรดาศิษย์ที่อ้างถึงในข้อ 10 ไม่ใช่จากกลุ่มของบรรดาอัครสาวก ซึ่งจะมีการอ้างต่อไปในข้อ 14 เพราะผู้เขียนพยายามรักษาฐานานุกรม โดยอ้างถึงการที่พระเยซูเจ้าทรงประจักษ์ของแก่บรรดาศิษย์ ก่อนที่จะทรงประจักษ์แก่บรรดาอัครสาวก
- ซึ่งกำลังเดินทางไปชนบท ศิษย์ทั้งสองคนกำลังเดินจากกรุงเยรูซาเล็มกลับไปที่บ้านในชนบท ซึ่งตามความคิดของนักบุญลูกาอยู่ในหมู่บ้านเอมมาอุส ระยะทางห่างประมาณ 11 กิโลเมตรจากกรุงเยรูซาเล็ม (เทียบ ลก 24:13)
- เขาทั้งสองคนกลับมาเล่าให้คนอื่นฟัง แต่คนเหล่านั้นก็ไม่เชื่อเช่นเดียวกัน ในตอนสุดท้ายนี้ของพระวรสารตามคำบอกเล่าของนักบุญมาระโก ต้องการเน้นว่าบรรดาศิษย์ไม่เชื่อข่าวดีเรื่องการกลับคืนพระชนมชีพของเยซูเจ้า ดูเหมือนว่า ข้อสังเกตนี้ขัดแย้งกับข้อความในพระวรสารตามคำบอกเล่าของนักบุญลูกกา บทที่ 24:34-35 ที่พูดถึงศิษย์สองคนนี้เดินทางจากหมู่บ้านเอมมาอุส กลับไปกรุงเยรูซาเล็ม เพื่อประกาศข่าวดีแก่ศิษย์อื่น ๆ ว่า เขาทั้งสองคนได้เห็นพระเยซูเจ้าทรงสำแดงแก่ตน แต่เขาเหล่านั้นรู้อยู่แล้วว่า พระเยซูเจ้าทรงกลับคืนพระชนมชีพอย่างแท้จริง อย่างไรก็ตาม นักบุญลูกาบันทึกต่อไปว่าบรรดาศิษย์ยังสงสัยและมีความไม่แน่ใจว่า พระเยซูเจ้าทรงบันดาลให้เขาเหล่านั้นจำพระองค์ได้ (เทียบ ลก 24:37-49)
- ในที่สุด พระองค์ทรงสำแดงพระองค์แก่อัครสาวกสิบเอ็ดคน อันดับสุดท้าย มีบรรดาอัครสาวกซึ่งมีจำนวนเพียงสิบเอ็ดคน (เทียบ มธ 28:16; ลก 24:9, 33; กจ 1:26; 2:14) เพราะในเวลาช่วงนั้นคือ จากการทรยศของยูดาสไปถึงการเลือกมัทธีอัส จำนวนของบรรดาอัครสาวกไม่ใช่สิบสองคน แต่เป็นเพียงสิบเอ็ดคน น่าสังเกตวลีที่ว่า “อัครสาวกสิบเอ็ดคน” ไม่จำเป็นต้องหมายความว่าทุกคนอยู่ที่นั่น แต่ในเวลานั้น ใช้วลีนี้เพื่อหมายถึงกลุ่มของบรรดาอัครสาวกเท่านั้น
- ขณะที่เขากำลังร่วมโต๊ะกินอาหารอยู่ รายละเอียดนี้ชวนให้คิดว่า ผู้เขียนกำลังเล่าเหตุการณ์เดียวกันกับที่ นักบุญลูกาได้บันทึกไว้ใน บทที่ 24:36-43 เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในวันปัสกา ดังที่นักบุญยอห์นบทที่ 13:23 เล่าด้วยเช่นกัน อย่างไรก็ตาม นักบุญมาระโกเล่าเรื่องนี้ เพราะเขาสนใจความเชื่อของบรรดาอัครสาวก ซึ่งต้องการเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างกระจ่างแจ้งก่อน แล้วจึงจะยอมเชื่อ
- ทรงตำหนิพวกเขาที่ไม่ยอมเชื่อและมีใจแข็งกระด้าง เพราะไม่ยอมเชื่อผู้ที่เห็นพระองค์เมื่อทรงกลับคืนพระชนมชีพแล้ว คำกริยาในภาษากรีกที่เราแปลว่า “ทรงตำหนิ” เป็นคำต่อว่าที่รุนแรง ด้วยเหตุนี้ ผู้คัดลอกสำนวนโบราณคนหนึ่งจึงได้เพิ่มเติมตัวบทเข้าไป โดยทำให้บรรดาอัครสาวกอธิบายเหตุผลเพื่อโต้แย้งคำตำหนิดังกล่าว
- พระองค์ตรัสกับเขาว่า คำปราศรัยของพระเยซูเจ้านี้ไม่ต่อเนื่องจากการสำแดงของพระองค์ที่เพิ่งเล่ามาก่อน เหมือนกับว่าพระเยซูเจ้าตรัสคำเหล่านี้เมื่อทรงสำแดงพระองค์ในวันนั้น แต่ผู้เขียนต้องการบอกว่าบุคคลเป้าหมายทั้งของการสำแดงพระองค์และของการปราศรัยของพระองค์คือบรรดาอัครสาวก ข้อความนี้ยังแสดงว่า พระเจ้าทรงเลือกศาสนบริการของพระองค์ แม้ผู้ที่ไม่มีคุณสมบัติตามธรรมชาติหรือมีข้อบกพร่อง เหตุการณ์ที่เล่านี้คล้ายกับเหตุการณ์ที่นักบุญมัทธิวได้เล่าเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบนเนินเขาที่แคว้นกาลิลี ในบทที่ 28:16-20