เพลงสดุดีที่ 19
พระยาห์เวห์ทรงสำแดงพระสิริรุ่งโรจน์ในสิ่งสร้างและในธรรมบัญญัติa
ผู้มีตาแหลมเมื่อมองดูสิ่งสร้างตามธรรมชาติจะเห็นว่าโลกจักรวาลเปิดเผยความจริงอย่างเงียบๆให้เราเห็นพระอานุภาพและพระปรีชาของพระเจ้า และยังเป็นบทเพลงถวายเกียรติแด่พระองค์ด้วย พระองค์ทรงเปิดเผยความจริงเพิ่มเติมเมื่อประทานธรรมบัญญัติแก่ชาวอิสราเอลผ่านทางโมเสส และต่อมาพระองค์ทรงเปิดเผยความจริงให้แก่มวลมนุษย์โดยทางพระเยซูคริสตเจ้า ทำให้การเปิดเผยความจริงในธรรมชาติสำเร็จอย่างสมบูรณ์
สำหรับหัวหน้านักขับร้อง เพลงสดุดีของกษัตริย์ดาวิด
1 ท้องฟ้าประกาศพระสิริรุ่งโรจน์ของพระเจ้า
แผ่นฟ้าบอกเล่าผลงานจากพระหัตถ์ของพระองค์
2 วันหนึ่งบอกให้อีกวันหนึ่งรู้
คืนหนึ่งมอบความรู้นี้แก่อีกคืนหนึ่ง
3 ไม่มีคำพูด ไม่มีวาจาใด
ที่ไม่มีใครไม่ได้ยินเสียงb
4 เสียงของเขาเหล่านี้กระจายไปทั่วแผ่นดิน
และวาจาของเขาแพร่สะพัดไปจนสุดปลายพิภพ
บนท้องฟ้าพระองค์ทรงตั้งกระโจมสำหรับตะวัน
5 ที่ผายผันออกมาดุจเจ้าบ่าวจากห้องวิวาห์
เริงร่าราวนักรบผู้แกล้วกล้าวิ่งตามทางของตนc
6 ตะวันขึ้นมา ณ ขอบฟ้าด้านหนึ่ง
แล้วโคจรไปยังขอบฟ้าอีกด้านหนึ่ง
และไม่มีสิ่งใดจะหลบหนีความร้อนของตะวันได้
7 ธรรมบัญญัติของพระยาห์เวห์นั้นสมบูรณ์ทุกประการ
ให้ความชื่นบานแก่ดวงวิญญาณ
กฤษฎีกาของพระองค์ก็น่าเชื่อถือ
ให้ปรีชาญาณแก่ผู้ด้อยปัญญา
8 ข้อบังคับของพระยาห์เวห์นั้นสุจริต
ทำให้ดวงจิตปีติยินดี
บทบัญญัติของพระองค์ก็ชัดเจน
ให้แสงสว่างแก่ดวงตา
9 ความยำเกรงพระยาห์เวห์นั้นบริสุทธิ์
ดำรงอยู่ตลอดไป
กฎเกณฑ์ของพระยาห์เวห์ก็สัตย์จริง
เที่ยงธรรมทุกประการ
10 เป็นที่พึงปรารถนามากกว่าทองคำ
น่าปรารถนายิ่งกว่าทองคำบริสุทธิ์มากมายd
หวานล้ำกว่าน้ำผึ้ง
ที่หยดลงมาจากรวง
11 แม้ผู้รับใช้ของพระองค์ก็ยังยอมรับการอบรมจากกฎเหล่านี้
และรับบำเหน็จยิ่งใหญ่ในการปฏิบัติตาม
12 ใครเล่าจะรู้ข้อบกพร่องของตน?
ขอพระองค์ทรงอภัยความผิดที่มองไม่เห็นด้วยเถิด
13 ขอพระองค์ทรงช่วยผู้รับใช้ให้พ้นจากความจองหองe
อย่าให้ความจองหองนี้ครอบงำข้าพเจ้าเลย
เพื่อข้าพเจ้าจะได้ไม่มีที่ตำหนิ
บริสุทธิ์พ้นจากบาปหนัก
14 ขอให้ถ้อยคำจากปากและความคิดจากใจข้าพเจ้า
เป็นที่โปรดปรานfเฉพาะพระพักตร์พระองค์เถิด
ข้าแต่พระยาห์เวห์ ผู้ทรงเป็นหลักศิลาและผู้กอบกู้ข้าพเจ้าg
19 aเพลงสดุดีบทนี้เป็นบทสรรเสริญพระยาห์เวห์ในฐานะที่ทรงเป็นพระผู้สร้างท้องฟ้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งดวงตะวัน (ข้อ 4ข-6) และในฐานะทรงเป็นผู้ประทานธรรมบัญญัติ ทั้งธรรมชาติและธรรมบัญญัติสำแดงความดีบริบูรณ์ของพระเจ้าได้เป็นอย่างดี ในอารยธรรมตะวันออกกลางโบราณ ดวงอาทิตย์เป็นสัญลักษณ์ของความยุติธรรม ดู ปชญ 5:6; มลค 3:20 เพราะฉะนั้น เพลงสดุดีบทนี้จึงพยายามรวมเรื่องธรรมชาติและธรรมบัญญัติเข้าด้วยกัน รม 10:18 ยกข้อ 4 มาประยุกต์ใช้กับบรรดาอัครสาวกผู้ประกาศข่าวดีไปทั่วโลก
b“ไม่มีใครไม่ได้ยินเสียง” แปลตามสำนวนแปลโบราณส่วนมาก คำภาษาฮีบรูอาจแปลได้ว่า “เส้นเขียนที่ไม่ออกเสียง” ตามความคิดของชาวอัสซีเรียและบาบิโลนในสมัยโบราณที่เชื่อว่าทางโคจรของดวงดาราเป็นข้อเขียนเงียบๆของพระเจ้าบนท้องฟ้า
c ผู้ประพันธ์เพลงสดุดียืมสำนวนจากตำนานเทพโบราณของชาวบาบิโลนที่กล่าวถึงพระอาทิตย์เป็นเทพเจ้า แต่มีความคิดแบบชาวอิสราเอลว่าพระอาทิตย์หรือดวงตะวันเป็นเพียงสิ่งสร้างเท่านั้น
d ผู้แปลบางคนเสริมประธานว่า “พระวาจา” (ดู 119:103,127)
e “ความจองหอง” สำนวนแปลโบราณภาษากรีกว่า “เทพเจ้าอื่นๆ” สดด 119 ย้ำสอนบ่อยๆว่าความจองหองทำให้มนุษย์ไม่ยอมเชื่อฟังปฏิบัติตามบทบัญญัติของพระเจ้า
f สำนวนแปลโบราณภาษากรีกเสริมว่า “เสมอ”
g “ผู้กอบกู้” ภาษาฮีบรูว่า “go‘el” ซึ่งหมายถึงญาติใกล้ชิดที่จะต้องแก้แค้นแทนญาติที่ถูกฆ่า (กดว 35:19) และ “ผู้ไถ่”ทรัพย์สินของญาติคืนมา (ลนต 25:25,47-49) คำนี้ถูกนำมาประยุกต์ใช้กับพระยาห์เวห์ใน โยบ 19:25; สดด 19:14; 78:35; ยรม 50:34 และ อสย 41:14; 43:14; 44:6,24; 49:7; 59:20 เพราะพระยาห์เวห์ทรงเป็นเสมือนญาติใกล้ชิดที่แก้แค้นแทนญาติที่ถูกฆ่า ทรงเป็นพระผู้ไถ่และกอบกู้ประชากรของพระองค์ให้รอดพ้นจากความตาย