"เราประกาศให้ท่านรู้ถึงสิ่งที่เราได้เห็น" (1ยน. 1:3)

หนังสือยูดิธ

  1. บทที่ 1
  2. บทที่ 2
  3. บทที่ 3
  4. บทที่ 4
  5. บทที่ 5
  6. บทที่ 6
  7. บทที่ 7
  8. บทที่ 8
  9. บทที่ 9
  10. บทที่ 10
  11. บทที่ 11
  12. บทที่ 12
  13. บทที่ 13
  14. บทที่ 14
  15. บทที่ 15
  16. บทที่ 16

หนังสือยูดิธ a

 I. การสงครามของโฮโลเฟอร์เนส

 

กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ทรงทำสงครามกับกษัตริย์อารฟาซัด

1       1ปีที่สิบสองในรัชสมัยของกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์b ซึ่งทรงปกครองชาวอัสซีเรียที่กรุงนีนะเวห์นครใหญ่ กษัตริย์อารฟาซัดc ทรงปกครองชาวมีเดียที่เมืองเอกบาทานา 2พระองค์ทรงสร้างกำแพงรอบเมืองเอกบาทานาด้วยก้อนหินที่สกัดมา แต่ละก้อนหนาสามศอกและยาวหกศอก กำแพงที่ทรงสร้างสูงเจ็ดสิบศอกและกว้างห้าสิบศอก 3ที่ประตูเมือง ทรงสร้างหอคอยสูงหนึ่งร้อยศอก มีฐานกว้างหกสิบศอก 4ทรงสร้างประตูเมืองสูงเจ็ดสิบศอก กว้างสี่สิบศอก เพื่อให้กองรถศึกผ่านไปได้ และทหารราบเดินเป็นขบวนออกไปได้ด้วย

          5เวลานั้น กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ทรงทำสงครามกับกษัตริย์อารฟาซัดในที่ราบใหญ่ ภายในเขตแดนราเกา 6ทุกคนที่อาศัยอยู่แถบภูเขาd และผู้ที่อาศัยอยู่ตามลุ่มแม่น้ำยูเฟรติส ไทกริสและไฮดัสเปส รวมทั้งผู้ที่อาศัยอยู่ตามที่ราบในปกครองของอาริโอ๊ค กษัตริย์ของชาวเอลีมัสe ต่างรวมกำลังกับกษัตริย์อารฟาซัด ดังนั้น ชนหลายชาติจึงมาชุมนุมกันเพื่อช่วยชาวมีเดียfในการสู้รบ

          7กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ของชาวอัสซีเรียทรงส่งผู้ถือสารไปถึงชาวเปอร์เซียและทุกคนที่อาศัยอยู่ทางภาคตะวันตก ไปถึงผู้อาศัยในแคว้นซีลีเชีย กรุงดามัสกัส เทือกเขาเลบานอนและอันติเลบานอน ไปถึงผู้อาศัยอยู่ริมฝั่งทะเล 8ไปถึงผู้อาศัยอยู่แถบภูเขาคาร์เมล  แคว้นกิเลอาด กาลิลีตอนบน และที่ราบใหญ่เอสเดรโลน 9ไปถึงผู้อาศัยในแคว้นสะมาเรียและเมืองที่อยู่โดยรอบ ไปถึงผู้อาศัยทางตะวันตกของแม่น้ำจอร์แดน จนถึงกรุงเยรูซาเล็ม เบธานี เคลูส คาเดช แม่น้ำที่กั้นพรมแดนอียิปต์ เมืองทาฟเนส ราเมเสส และทั่วดินแดนโกเชน 10ไปจนเลยเมืองทานิสและเมมฟิส และชาวอียิปต์ทุกคน จนถึงชายแดนเอธิโอเปียg 11แต่ผู้ที่อยู่ในดินแดนเหล่านี้ทั้งหมดไม่สนใจคำเชิญของกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์แห่งอัสซีเรีย จึงไม่ไปรวมพลกับพระองค์ เขาไม่เกรงกลัวพระองค์เลย คิดว่าพระองค์ไม่ทรงมีพันธมิตรอีกแล้วh เขาจึงส่งผู้ถือสารของพระองค์กลับไปมือเปล่าด้วยความอัปยศอดสู 12กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์กริ้วดินแดนเหล่านี้ทั้งหมดอย่างมากiทรงสาบานโดยอ้างถึงพระบัลลังก์และอาณาจักรของพระองค์ว่าจะทรงแก้แค้นดินแดนเหล่านี้ทั้งหมด จะทรงยกทัพมาทำลายดินแดนแคว้นซีลีเชีย ดามัสกัสและซีเรีย จะทรงทำลายดินแดนของชาวโมอับและอัมโมน แคว้นยูเดียและชาวอียิปต์ทุกคน ตั้งแต่ฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียนจนถึงอ่าวเปอร์เซียj

การสงครามกับกษัตริย์อารฟาซัด

            13ปีที่สิบเจ็ด กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ทรงยกทัพไปทำสงครามกับกษัตริย์อารฟาซัด ทรงได้ชัยชนะ ทำให้กองทัพของกษัตริย์อารฟาซัด รวมทั้งกองทหารม้าและรถศึกต้องหนีไป 14ทรงยึดเมืองต่างๆได้ ทรงยกกำลังไปถึงเมืองเอกบาทานา ทรงยึดหอคอย ทรงปล้นลานตลาด ทำให้นครที่เคยรุ่งเรืองต้องกลายเป็นกองซากปรักหักพัง 15แล้วทรงจับกุมกษัตริย์อารฟาซัดได้บนเทือกเขาราเกา ทรงใช้หอกแทงจนสิ้นพระชนม์ และกำจัดพระองค์ได้ตลอดไป

          16หลังจากนั้น จึงเสด็จกลับกรุงนีนะเวห์พร้อมกับกองทัพใหญ่ที่รวบรวมนักรบจากชาติต่างๆ  ทรงฉลองชัย พักผ่อนและกินเลี้ยงพร้อมกับกำลังพลที่นั่นเป็นเวลาหนึ่งร้อยยี่สิบวัน

1 a สำนวนแปลภาษาละตินฉบับ Vulgata แตกต่างจากสำเนาโบราณภาษากรีกหลายแห่ง บางครั้งเลขหมายประจำข้อก็แตกต่างกันด้วย ข้อความสำคัญที่สำนวนแปลภาษาละตินเพิ่มเติมหรือแตกต่างจากภาษากรีกจะบอกไว้ในเชิงอรรถ – คำแปลนี้แปลตามต้นฉบับภาษากรีก

b “เนบูคัดเนสซาร์” ตามความเป็นจริง กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ทรงปกครองอาณาจักรบาบิโบน (605-562 ก.ค.ศ.) ไม่เคยได้รับพระนามว่า “กษัตริย์แห่งอัสซีเรีย” เพราะอาณาจักรอัสซีเรียและกรุงนีนะเวห์ ราชธานี ถูกพระเจ้าเนโบโปลัสซาร์ พระราชบิดา ทำลายไปแล้วตั้งแต่ปี 612 ก.ค.ศ. * ผู้แต่งหนังสือยูดิธใช้ชื่อกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์เป็นรูปแบบของกษัตริย์ทรงอำนาจที่ไม่เชื่อพระเจ้า และเป็นศัตรูกับประชากรของพระเจ้า

c “กษัตริย์อารฟาซัด” ไม่เป็นที่รู้จักในประวัติศาสตร์โลก พระนามนี้อาจหมายถึงกษัตริย์ฟราออร์เตส ผู้ทรงสถาปนาอาณาจักรมีเดียซึ่งมีกรุงเอกบาทานาเป็นราชธานี (เมืองนี้ในปัจจุบันคือเมืองฮามาดาน ในประเทศอิหร่าน)

d “ดินแดนแถบภูเขา” คงจะหมายถึงดินแดนที่ราบสูงของอิหร่านภาคตะวันตก

e “ชาวเอลีมัส” อาจหมายถึงแคว้นเอลีมัสทางภาคตะวันออกของอาณาจักรเปอร์เซีย (ดู 1 มคบ 6:1) * แม่น้ำไฮดัสเปสเป็นแม่น้ำชายแดนตะวันออกของอาณาจักรเปอร์เซีย ซึ่งไหลผ่านเมืองสุสา

f “ชาวมีเดีย” แปลตามตัวอักษรว่า “บุตรของเคเลอูด” ซึ่งอาจหมายถึงชาวเคลเดีย

g รายชื่อชนชาติต่างๆเหล่านี้เป็นประเทศราชหรือเป็นพันธมิตรของกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์

h “ไม่ทรงมีพันธมิตรอีกแล้ว” แปลตามตัวอักษรว่า “เป็นเหมือนคนคนหนึ่ง”

i “ดินแดนเหล่านี้ทั้งหมด” แปลตามตัวอักษรว่า “ทั่วแผ่นดินนี้ทั้งหมด”

j “ตั้งแต่ฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียนจนถึงอ่าวเปอร์เซีย” แปลตามตัวอักษรว่า “จรดทะเลทั้งสอง” เป็นสำนวนที่มักใช้เพื่อแสดงอำนาจปกครองดินแดนทั่วโลกในสมัยโบราณ ดู สดด 72:8; มคา 7:12; ศคย 9:10

การสงครามทางตะวันตก

2       1วันที่ยี่สิบสองของเดือนแรก ปีที่สิบแปดa มีการปรึกษาราชการในพระราชวังของกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ของชาวอัสซีเรียว่าจะทรงแก้แค้นแผ่นดินต่างๆดังที่เคยตรัสไว้ 2พระองค์ทรงเรียกประชุมบรรดานายทัพและข้าราชการชั้นสูง ทรงเปิดเผยแผนการลับให้รู้อย่างละเอียดว่าจะทรงทำลายแผ่นดินเหล่านั้นทั้งหมด 3ที่ประชุมตกลงกันว่าทุกคนที่ไม่เชื่อฟังพระบัญชาจะต้องถูกประหารชีวิต

          4เมื่อการประชุมเสร็จสิ้นแล้ว กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ของชาวอัสซีเรียทรงเรียกโฮโลเฟอร์เนสb จอมทัพซึ่งมีตำแหน่งรองจากพระองค์เข้ามาเฝ้า ตรัสว่า “กษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ เจ้านายเหนือแผ่นดินทั้งสิ้นตรัสดังนี้c ท่านจะต้องไปนำทหารชำนาญศึก คือทหารราบหนึ่งแสนสองหมื่นคน และทหารม้าอีกหนึ่งหมื่นสองพันคน 6ไปโจมตีดินแดนทางตะวันตกทั้งสิ้น เพราะเขาไม่ทำตามคำสั่งของเรา 7จงสั่งเขาเหล่านั้นให้เตรียมดินและน้ำไว้ให้พร้อมdแสดงว่ายอมจำนน เรากำลังจะยกทัพมาโจมตีเขาด้วยความโกรธ เราจะให้เท้าของทหารของเราเหยียบย่ำแผ่นดินของเขา จะให้กองทัพของเราปล้นทรัพย์สินทุกอย่างของเขา 8หุบเขาจะเต็มไปด้วยผู้บาดเจ็บของเขา แม่น้ำและลำธารจะเต็มไปด้วยศพจนล้นฝั่ง 9เราจะจับเขาเป็นเชลย เนรเทศเขาไปจนสุดปลายแผ่นดิน 10จงไปยึดแผ่นดินทั้งหมดเหล่านั้นให้เรา ถ้าเขายอมจำนน ท่านจงไว้ชีวิตเขาจนถึงวันที่เราจะมาลงโทษเขา 11แต่ถ้าเขาไม่ยอมจำนน ก็อย่าได้สงสารเขาเลย จงฆ่าเขาและปล้นแผ่นดินทั้งหมดของเขา 12เราขอสาบานว่าตราบใดที่เรายังมีชีวิตและมีอำนาจปกครองอาณาจักรของเรา เราจะจัดการกับเขาดังที่ได้ลั่นวาจาไว้ 13ส่วนท่าน ท่านอย่าได้ฝ่าฝืนคำสั่งใดของเจ้านายของท่าน จงปฏิบัติตามคำสั่งของเราอย่างเคร่งครัดโดยไม่ชักช้า”

          14โฮโลเฟอร์เนสทูลลากษัตริย์ออกไปเรียกบรรดาแม่ทัพ ผู้บังคับบัญชาและนายทหารในกองทัพอัสซีเรีย 15เขารวมพลทหารชำนาญศึกจำนวนหนึ่งแสนสองหมื่นคน และทหารม้ายิงธนูอีกหนึ่งหมื่นสองพันคนตามคำสั่งของเจ้านาย 16และจัดแบ่งเป็นกองกำลังเพื่อออกศึก 17เขารวบรวมอูฐ ลาและล่อจำนวนมากเพื่อใช้เป็นพาหนะขนส่งยุทธสัมภาระ พร้อมทั้งจัดหาแกะ โคและแพะจำวนนับไม่ถ้วนเพื่อเป็นเสบียงอาหาร 18จัดให้ทหารแต่ละคนได้รับเสบียงอาหารอย่างเต็มที่ นำทองคำและเงินจำนวนมากจากท้องพระคลังของกษัตริย์

          19แล้วเขากับกองทัพทั้งหมด ได้ออกเดินทางล่วงหน้ากษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ ไปทำสงคราม มีรถศึก กองทหารม้าและทหารราบชำนาญศึกจนเต็มแผ่นดินทางทิศตะวันตก 20นอกจากนี้ยังมีกำลังพลจากหลายชนชาติจำนวนนับไม่ถ้วน เปรียบเสมือนฝูงตั๊กแตนหรือฝุ่นบนพื้นดินติดตามไปด้วย

เส้นทางเดินทัพของโฮโลเฟอร์เนส e

            21กองทัพของโฮโลเฟอร์เนสเดินทางออกจากกรุงนีนะเวห์ไปได้สามวัน ก็มาถึงที่ราบเบ็คทิเลธ จากเบ็คทิเลธ เขาเดินทางต่อไปตั้งค่ายอยู่ใกล้ภูเขาทางทิศเหนือของแคว้นซีลิเชียตอนบน 22จากที่นั่น โฮโลเฟอร์เนสนำกองทัพทั้งหมด คือทหารราบ ทหารม้าและรถศึก ไปยังแถบภูเขา 23เข้าโจมตีแคว้นฟูดและลูด ปล้นชาวเมืองราซีสและชาวอิชมาเอลผู้อาศัยอยู่ชายทะเลทรายทางทิศใต้ของเคเลโอน 24ข้ามแม่น้ำยูเฟรติส ผ่านแคว้นเมโสโปเตเมียไปทำลายเมืองป้อมตามแม่น้ำอาโบรนาจนถึงทะเล 25แล้วจึงยึดครองดินแดนแคว้นซีลิเชีย ฆ่าทุกคนที่ต่อต้าน มาถึงเขตแดนทางใต้ของยาเฟท ตรงชายแดนติดกับแคว้นอาระเบีย 26ล้อมชาวมีเดียไว้ทั้งหมด จุดไฟเผากระโจมและปล้นฝูงสัตว์ของเขา 27กองทัพของโฮโลเฟอร์เนสเดินทางลงไปยังที่ราบเมืองดามัสกัสในฤดูเก็บเกี่ยวข้าวสาลีf จุดไฟเผาไร่นา ทำลายล้างฝูงแพะแกะ ฝูงโค ปล้นเมือง ทำลายที่เพาะปลูกให้รกร้าง และใช้ดาบฆ่าชายหนุ่มทุกคน 28ประชาชนที่อาศัยอยู่ตามชายฝั่งทะเลก็หวาดกลัวจนตัวสั่น ชาวเมืองไซดอน ไทระ ซูร์ โอกีนา ยัมเนีย อาโซทัสและอัสคาโลน ต่างหวาดกลัวมาก

2 a “ปีที่สิบแปด” ในรัชสมัยของกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ตรงกับปี 587 ก.ค.ศ. เป็นปีเดียวกับที่กษัตริย์พระองค์นี้ทรงยึดกรุงเยรูซาเล็ม ผู้เขียนหนังสือยูดิธอาจต้องการเล่าเรื่องชัยชนะของนางยูดิธให้เป็นการแก้หน้าความพ่ายแพ้ของชาวยิว วิธีเล่าเรื่องเลียนแบบการเขียนบรรยายการยกทัพของกษัตริย์ชาวอัสซีเรียและบาบิโลนไปโจมตีประเทศต่างๆทางตะวันตกที่เป็นกบฏ

b “โฮโลเฟอร์เนส” และ “บาโกอัส” (12:11) เป็นชื่อเปอร์เซีย แม่ทัพสองคนของกษัตริย์อาร์ทาเซอร์ซิสที่ 3 โอคัสมีชื่อนี้ ผู้แต่งคงต้องการรวมการรบของกษัตริย์พระองค์นี้ให้เข้ามาเป็นการรบของกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ด้วย

c “เจ้านายเหนือแผ่นดินทั้งหมด” เป็นตำแหน่งทางการของกษัตริย์ชาวเปอร์เซีย

d “ดินและน้ำไว้ให้พร้อม” เป็นสำนวนในภาษาเปอร์เซีย สั่งให้ประเทศราชทั้งหลายเตรียมทุกสิ่งที่จำเป็นสำหรับกองทัพของกษัตริย์ที่กำลังจะยกทัพผ่านมา

e เส้นทางเดินทัพของโฮโลเฟอร์เนสที่เล่านี้มีชื่อสถานที่หลายแห่งที่เราไม่รู้จัก นอกจากนั้นชื่อสถานที่ที่รู้จักแล้วนั้น ถ้าเรียงลำดับตามที่อยู่ในหนังสือยังสับสนจนลำดับเส้นทางการเดินทางเป็นไปไม่ได้ ผู้เขียนอาจไม่รู้จักภูมิศาสตร์ หรือมิฉะนั้นก็ไม่สนใจในความถูกต้องทางภูมิศาสตร์ของสถานที่ต่างๆที่กล่าวถึง

f “ฤดูเก็บเกี่ยวข้าวสาลี” ชาวยิวแยกฤดูเก็บเกี่ยวข้าวบาร์เลย์ในเดือนเมษายน (ดู 2 ซมอ 21:9) กับฤดูเก็บเกี่ยวข้าวสาลีปลายเดือนพฤษภาคม (ดู ปฐก 30:14)

3       1ชาวเมืองต่างๆเหล่านี้จึงส่งผู้ถือสารไปเจรจาสงบศึกกับเขา พูดว่า 2”พวกเราเป็นผู้รับใช้ของกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ผู้ยิ่งใหญ่ เรากราบลงต่อหน้าท่าน จงทำกับเราตามที่ท่านเห็นควรเถิด 3บ้านเรือนของเรา แผ่นดินทั้งหมด นาข้าวสาลี ฝูงแพะแกะ ฝูงโคและฝูงสัตว์อื่นๆที่อยู่ในดินแดนของเราล้วนเป็นของท่าน 4เมืองของเราและผู้อาศัยในเมืองเป็นผู้รับใช้ของท่าน จงมาจัดการกับเราตามที่ท่านเห็นสมควรเถิด” 5เมื่อผู้ถือสารมาถึงโฮโลเฟอร์เนสและแจ้งสารนี้ 6โฮโลเฟอร์เนสก็ยกทัพไปยังชายฝั่งทะเล ยึดเมืองป้อม และเลือกเอาชายฉกรรจ์มาเสริมกำลังรบ 7ชาวเมืองต่างๆเหล่านี้และเมืองโดยรอบต่างออกมาต้อนรับเขาอย่างดี สวมพวงมาลัยให้ และตีรำมะนาเต้นรำ  8แต่เขาทำลายวิหารทุกแห่งa และตัดต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ทุกต้น เพราะได้รับคำสั่งให้ทำลายบรรดาเทพเจ้าของแผ่นดินต่างๆ เพื่อชนทุกชาติจะได้กราบไหว้กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์เพียงพระองค์เดียว ชนทุกชาติทุกภาษาจะได้เรียกขานพระองค์เป็นพระเจ้าb

          9ต่อมา โฮโลเฟอร์เนสมาถึงที่ราบเอสเดรโลนซึ่งอยู่ใกล้เมืองโดธาน ตรงทางเข้าไปสู่สันเขาใหญ่ของแคว้นยูเดีย 10เขาตั้งค่ายอยู่ระหว่างเมืองเกบาและเมืองสิโธโปลิส และพักอยู่ที่นั่นหนึ่งเดือนเต็ม เพื่อจัดหาสิ่งจำเป็นสำหรับกองทัพเพิ่มเติม

3 a “วิหาร” แปลตามสำนวนแปลโบราณภาษาซีเรียค ต้นฉบับภาษากรีกว่า “ดินแดน”

b “เป็นพระเจ้า” กษัตริย์ของชาวอัสซีเรียและบาบิโลนไม่เคยทรงเรียกร้องเช่นนี้เลย ในภายหลัง กษัตริย์ราชวงศ์เซเลวซิดจะทรงเริ่มเรียกร้องให้ประชาชนกราบไหว้ตนเป็น “พระเจ้า”

ชาวยูเดียเตรียมป้องกันตน

4       1ชาวอิสราเอลที่อาศัยอยู่ทั่วแคว้นยูเดียได้ยินเรื่องราวที่โฮโลเฟอร์เนส แม่ทัพของกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ของชาวอัสซีเรียกระทำกับชนชาติต่างๆ รู้ข่าวว่าเขาได้ปล้นและทำลายวิหารของชนเหล่านั้น 2ต่างก็หวาดกลัวเขามาก และเป็นห่วงถึงกรุงเยรูซาเล็มและพระวิหารขององค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของตน 3เขาทั้งหลายกลับมาจากการเนรเทศ และประชาชนรวมตัวกันในแคว้นยูเดียได้ไม่นาน ชำระมลทินพระวิหาร พระแท่นบูชาและภาชนะที่ใช้ในพิธีกรรม ถวายแด่พระเจ้าaเรียบร้อยแล้ว เพราะศัตรูเคยทำให้สิ่งเหล่านี้เป็นมลทิน

          4เขาจึงส่งผู้ถือสารไปทั่วแคว้นสะมาเรีย เมืองโกนา เบธ-โฮโรน เบลมาอิน เยริโค โคบาและเอโสรา จนถึงหุบเขาซาเลม 5ชาวเมืองต่างๆวางยามไว้ตามยอดเขาสูง สร้างกำแพงล้อมรอบหมู่บ้านตามภูเขาเหล่านี้ เตรียมเสบียงอาหารไว้สำหรับการสงคราม เขาเพิ่งเก็บเกี่ยวพืชผลในไร่นา 6โยอาคิมมหาสมณะที่กรุงเยรูซาเล็มในขณะนั้นเขียนสารไปถึงชาวเมืองเบธูเลียและเบโธเมสธาอิมb ซึ่งอยู่ตรงข้ามที่ราบเอสเดรโลน ริมทางที่ไปยังที่ราบใกล้เมืองโดธาน  7สั่งให้ยึดช่องเขาเข้าสู่แคว้นยูเดีย เพราะช่องเขานั้นแคบพอให้คนเดินเรียงสองผ่านไปได้เท่านั้น จึงเป็นการง่ายที่จะขัดขวางกำลังทัพของข้าศึก 8ชาวอิสราเอลปฏิบัติตามที่มหาสมณะโยอาคิมและสภาผู้อาวุโสของประชากรอิสราเอลซึ่งประชุมกันที่กรุงเยรูซาเล็มc สั่งไว้         

ชาวอิสราเอลอธิษฐานภาวนา

            9ชายชาวอิสราเอลทุกคนร้องหาพระเจ้าอย่างแข็งขัน และถ่อมตนอย่างจริงจังd 10เขาเหล่านั้น รวมทั้งภรรยาและบุตร สัตว์เลี้ยง คนต่างด้าวที่อาศัยอยู่ด้วย ทั้งลูกจ้างและทาส ต่างก็สวมเสื้อผ้ากระสอบแสดงความทุกข์ใจ 11ชาวอิสราเอลทุกคน ทั้งชายหญิงและเด็กที่อาศัยอยู่ในกรุงเยรูซาเล็มต่างกราบลงต่อหน้าพระวิหาร ใช้ขี้เถ้าโรยศีรษะ ชูมือขึ้นe เฉพาะพระพักตร์องค์พระผู้เป็นเจ้า 12เขายังนำผ้ากระสอบคลุมพระแท่นบูชาด้วยf และร่วมใจกันร้องหาพระเจ้าแห่งอิสราเอลว่าอย่าได้ทรงปล่อยให้ลูกหลานของตนต้องถูกจับเป็นเชลย อย่าให้ภรรยาต้องถูกจับเป็นทาส อย่าให้เมืองที่เป็นมรดกของตนต้องถูกทำลาย อย่าให้พระวิหารต้องถูกชนต่างชาติลบหลู่ดูหมิ่น 13องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงฟังเสียงของเขา ทอดพระเนตรเห็นความทุกข์ของเขา เพราะประชาชนทั่วแคว้นยูเดียและกรุงเยรูซาเล็มร่วมใจกันจำศีลอดอาหารเป็นเวลาหลายวัน หน้าพระวิหารขององค์พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงสรรพานุภาพ 14มหาสมณะโยอาคิม บรรดาสมณะผู้รับใช้อยู่เฉพาะพระพักตร์องค์พระผู้เป็นเจ้า และผู้ช่วยพิธีกรรมถวายแด่องค์พระผู้เป็นเจ้า ต่างคาดสะเอวด้วยผ้ากระสอบขณะที่ถวายเครื่องเผาบูชาประจำวัน ถวายเครื่องบูชาแก้บน และเครื่องบูชาที่ประชาชนถวายตามความสมัครใจ 15เขาใช้ขี้เถ้าโรยบนผ้าโพกศีรษะของตน แล้วร้องหาองค์พระผู้เป็นเจ้าสุดกำลัง ขอให้พระองค์ทรงพระทัยดีเสด็จมาช่วยเหลือประชากรอิสราเอล

4 a ผู้เขียนสับสนเรื่องลำดับเวลาของเหตุการณ์ที่เล่า เขากล่าวถึงการกลับจากเนรเทศที่กรุงบาบิโลนและประชาชนทยอยกันกลับมาอาศัยที่กรุงเยรูซาเล็ม (ปี 539-400 ก.ค.ศ.) และอาจกล่าวถึงการชำระพระวิหารในสมัยมัคคาบีและรัชสมัยของกษัตริย์อันทิโอคัสที่ 4 เอปีฟาเนส (ปี 165 ก.ค.ศ.) มารวมไว้เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในรัชสมัยของกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ (605-562 ก.ค.ศ.)

b “เมืองเบธูเลียและเมืองเบโธเมสธาอิม” ไม่มีกล่าวถึงในพระคัมภีร์ตอนอื่นอีกเลย

c “สภาผู้อาวุโส” ที่ร่วมกับมหาสมณะเป็นสภาสูงสุดของประชากรอิสราเอลนั้นเริ่มมีขึ้นในสมัยชาวกรีกปกครองเท่านั้น ยังไม่มีสถาบันเช่นนี้ในสมัยก่อนเนรเทศ ดังที่กล่าวไว้ในหนังสือยูดิธ

d “อย่างจริงจัง” ในภาษากรีกใช้คำเดียวกันกับที่เราแปลว่า “อย่างแข็งขัน” – การที่วลีหรือคำนี้ซ้ำกันสองครั้งในข้อเดียวกันทำให้บางคนคิดว่าผู้คัดลอกเขียนซ้ำ จึงละวลีนี้เสีย

e “ชูมือขึ้น” แปลโดยคาดคะเน – ต้นฉบับภาษากรีกว่า “คลี่ผ้ากระสอบ”

f “นำผ้ากระสอบคลุมพระแท่นบูชา”  ตามปรกติ เสื้อผ้ากระสอบเป็นเครื่องแต่งกายแสดงการไว้ทุกข์ แต่การนำผ้ากระสอบมาคลุมพระแท่นบูชานับเป็นเรื่องแปลกประหลาด เพราะไม่มีกล่าวถึงในพระคัมภีร์ตอนใดเลยนอกจากที่นี่ บางคนจึงแปลว่า “นำผ้ากระสอบมาปูรอบพระแท่นบูชา” เพื่อให้ผู้อธิษฐานภาวนาต่อพระยาห์เวห์อาจนอนค้างคืนที่นั่นได้

โฮโลเฟอร์เนสประชุมวางแผนการสงคราม

5       1โฮโลเฟอร์เนส ผู้บัญชาการสูงสุดของกองทัพอัสซีเรีย ได้รับข่าวว่าชาวอิสราเอลกำลังเตรียมรับศึกสงคราม ปิดกั้นทางผ่านหุบเขา สร้างป้อมตามยอดภูเขาทุกแห่ง และยังวางเครื่องกีดขวางไว้ในที่ราบด้วย 2เขาจึงโกรธมาก เรียกประชุมบรรดาหัวหน้าชาวโมอับ บรรดาแม่ทัพของชาวอัมโมน และเจ้าประเทศราชตามชายฝั่งทะเล 3ถามคนเหล่านี้ว่า “ท่านทั้งหลายที่เป็นชาวคานาอัน จงอธิบายให้ข้าพเจ้าซิว่าคนซึ่งอยู่แถบภูเขาเหล่านี้เป็นคนชนิดใด เมืองที่เขาอยู่เป็นอย่างไรบ้าง กองทัพของเขาใหญ่โตเพียงใด กำลังและอำนาจของเขาอยู่ที่ไหน ใครตั้งตนเป็นกษัตริย์และนำกองทัพของเขา 4ทำไมเขาจึงไม่ยอมออกมาพบข้าพเจ้า ต่างจากชนชาติอื่นๆทางภาคตะวันตกเล่าa

            5อาคิออร์b ผู้นำของชาวอัมโมนตอบว่า “ขอเจ้านายได้โปรดฟังถ้อยคำจากปากของผู้รับใช้ของท่านเถิด ข้าพเจ้าจะบอกให้ท่านรู้ความจริงเกี่ยวกับประชาชนนี้ที่อยู่บนภูเขาใกล้กับที่ที่ท่านอยู่ในขณะนี้ ผู้รับใช้ของท่านจะไม่พูดเท็จเลย 6ประชาชนพวกนี้สืบตระกูลมาจากชาวเคลเดีย 7แต่เดิมเขาเคยไปอยู่ในแคว้นเมโสโปเตเมีย เพราะไม่ต้องการนับถือเทพเจ้าของบรรพบุรุษที่อยู่ในดินแดนของชาวเคลเดีย 8เขาได้ละทิ้งศาสนาของบรรพบุรุษมานมัสการพระเจ้าแห่งสวรรค์cที่เขามารู้จัก บรรพบุรุษจึงขับไล่เขาไปให้พ้นจากเทพเจ้าที่เขาเคยนับถือ เขาจึงหนีไปในแคว้นเมโสโปเตเมียและอยู่ที่นั่นเป็นเวลานาน 9พระเจ้าของเขาทรงบัญชาให้เขาออกจากแผ่นดินที่เขาอยู่ เดินทางไปยังแผ่นดินคานาอัน เขาตั้งถิ่นฐานอยู่ที่นี่จนร่ำรวยมีเงินทองและฝูงสัตว์มากมาย 10ต่อมาเมื่อเกิดกันดารอาหารทั่วแผ่นดินคานาอัน เขาจึงลงไปที่อียิปต์ อยู่ที่นั่นตลอดเวลาที่มีอาหารอุดมสมบูรณ์ ที่นั่นเขาเพิ่มจำนวนขึ้นมากมายจนเหลือคณานับ 11แต่กษัตริย์ของอียิปต์ทรงเป็นอริกับเขา ทรงบังคับเขาให้ทำอิฐ ทรงกดขี่ข่มเหงเขา ทำให้เขาต้องเป็นทาส 12เขาร้องหาพระเจ้าของตน พระองค์ทรงส่งภัยพิบัติมาลงโทษแผ่นดินอียิปต์ทั้งหมดโดยที่ไม่มีผู้ใดช่วยเหลือได้ ชาวอียิปต์จึงขับไล่เขาออกจากแผ่นดิน 13พระเจ้าทรงทำให้ทะเลแดงแห้งdต่อหน้าเขา 14ทรงนำเขาไปตามทางสู่ซีนายและคาเดช-บารเนอา เขาขับไล่ทุกคนในถิ่นทุรกันดาร 15เขาตั้งบ้านเรือนอยู่ในดินแดนของชาวอาโมไรต์ ทำลายล้างชาวเฮชโบน แล้วจึงข้ามแม่น้ำจอร์แดน เข้ายึดครองดินแดนแถบภูเขาทั้งสิ้น 16เขาขับไล่ชาวคานาอัน ชาวเปริสซี ชาวเยบุส ชาวเชเคมและชาวเกอร์กาซีออกไป แล้วเข้าอาศัยในแผ่นดินนั้นเป็นเวลานาน 17ตราบใดที่เขาไม่ได้ทำบาปต่อพระเจ้าของตน เขาก็มีความเจริญรุ่งเรือง เพราะพระเจ้าผู้ทรงเกลียดชังความชั่วทรงอยู่กับเขา 18แต่เมื่อเขาออกนอกลู่นอกทางที่พระองค์ทรงกำหนดให้เขาแล้ว เขาก็ถูกบดขยี้อย่างน่าอนาถในสงครามหลายครั้ง และถูกจับเป็นเชลยไปต่างแดน วิหารของพระเจ้าของเขาถูกทำลายจนราบเป็นหน้ากลอง และเมืองต่างๆก็ถูกศัตรูเข้ายึดครอง 19แต่บัดนี้ เขาคืนดีกับพระเจ้า กลับจากดินแดนต่างๆที่เขาถูกเนรเทศกระจัดกระจายไปอยู่ มายึดครองกรุงเยรูซาเล็มได้อีก พระวิหารของเขาอยู่ที่นี่ เขาตั้งภูมิลำเนาอยู่ในแถบภูเขาซึ่งยังไม่เคยมีผู้คนอาศัยมาก่อน 20บัดนี้ ขอให้เจ้านายผู้ยิ่งใหญ่รู้เถิดว่า ถ้าประชาชนนี้หลงทำผิดและทำบาปต่อพระเจ้าของตน และเราแน่ใจว่าเขาทำผิดเช่นนั้นจริงๆเสียก่อน เราจึงจะยกทัพไปโจมตีเขาได้ 21แต่ถ้าเขาเป็นชนชาติที่ไม่มีความผิด ขอเจ้านายผ่านไปที่อื่นเถิด  เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของเขาจะทรงคุ้มครองปกป้องเขา และเราก็จะเป็นที่หัวเราะเยาะของทั่วแผ่นดิน”

          22เมื่ออาคิออร์พูดจบ ทหารทั้งหลายที่ยืนอยู่รอบกระโจมก็เริ่มบ่น นายทหารของโฮโลเฟอร์เนส ทหารที่มาจากดินแดนชายฝั่งทะเลและชาวโมอับ ต่างก็เห็นว่าอาคิออร์ควรถูกสับเป็นชิ้นๆ 23เขาพูดว่า “พวกเราไม่กลัวชาวอิสราเอล เขาเป็นชนชาติที่ไม่มีกองทัพ ไม่มีกำลังพล จึงไม่อาจต่อต้านพวกเราได้ 24ท่านโฮโลเฟอร์เนสผู้ยิ่งใหญ่ พวกเราจงขึ้นไปโจมตีเขาเถิด  กองทัพของท่านจะกลืนเขาจนหมดสิ้น”e

5 a การที่ชาวยิวไม่ยอมปฏิบัติเหมือนกับชนชาติต่างๆ ดู อสธ 3:8 เชิงอรรถ e

b “อาคิออร์” ชาวอัมโมนผู้นี้ดูเหมือนจะมีคุณสมบัติคล้ายกับอาหิคาร์ในเรื่องโทบิต (ดู ทบต 1:21 เชิงอรรถ i) ผู้เขียนหนังสือยูดิธทำให้อาคิออร์สรุปประวัติศาสตร์ของอิสราเอลโดยเน้นพระราชกิจของพระเจ้า แม้เขาจะไม่นับถือพระยาห์เวห์ ความคิดนี้เป็นความคิดหลักในพันธสัญญาเดิม ดู สดด 78; 105; 106; ปชญ 10ฯ; อสค 16:20 และ  กจ 7 ในพันธสัญญาใหม่ –    เทียบเรื่องบาลาอัม ผู้ทำนาย ซึ่งก็ไม่นับถือพระยาห์เวห์เช่นกัน  กดว 22-24   * การสรุปประวัติศาสตร์ของอิสราเอลที่อาคิออร์กล่าวนี้เกริ่นนำคำปราศรัยของนางยูดิธใน ยดธ 11:5-19

c “พระเจ้าแห่งสวรรค์” เป็นสำนวนภาษาเปอร์เซีย ดู อศร 5:11ฯ; 6:9ฯ และเอกสารโบราณที่พบบนเกาะเอเลฟันไตน์ในแม่น้ำไนล์ของอียิปต์ พระคัมภีร์ใช้สำนวนนี้บ่อยๆเมื่อคนต่างชาติกล่าวถึงพระเจ้าของอิสราเอล ดู ดนล 2:18 เชิงอรรถ d

d “ทะเลแดง” – “ทะเล” ที่ชาวอิสราเอลข้ามเมื่ออพยพออกจากประเทศอียิปต์อย่างอัศจรรย์นั้น ในเอกสารโบราณเรียกว่า “ทะเลต้นกก” (Sea of Reeds) หรือ “ทะเล” เฉยๆ (ดู อพย 13:18 เชิงอรรถ g)

e นายทหารของโฮโลเฟอร์เนสไม่ยอมรับคำอธิบายประวัติศาสตร์ของอาคิออร์ ที่ว่าพระเจ้าทรงคุ้มครองชาวยิว เขาคิดว่าพลังของมนุษย์เป็นสิ่งกำหนดเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์มากกว่า หนังสือยูดิธทั้งเล่มต้องการพิสูจน์ว่าคำกล่าวของอาคิออร์นั้นถูกต้อง และนางยูดิธจะขยายความคิดนี้ต่อไปใน ยดธ 11:10 เชิงอรรถ b

โฮโลเฟอร์เนสมอบอาคิออร์ให้ชาวอิสราเอล

6       1เมื่อบรรดาทหารที่ยืนอยู่รอบกระโจมที่ประชุมสงบเสียงลง โฮโลเฟอร์เนสผู้บัญชาการสูงสุดของกองทัพอัสซีเรีย พูดกับอาคิออร์ต่อหน้าชนต่างชาติและชาวโมอับaที่มาชุมนุมกันว่า 2”อาคิออร์เอ๋ย ท่านและทหารรับจ้างชาวเอฟราอิมเป็นใครเล่า จึงบังอาจมาตั้งตนเป็นผู้ทำนายในหมู่เรา ดังที่ท่านทำในวันนี้ กล้าบอกเราไม่ให้ทำสงครามกับชนชาติอิสราเอล เพราะพระเจ้าของเขาทรงปกป้องเขาหรือ  ใครเล่าเป็นพระเจ้านอกจากเนบูคัดเนสซาร์ กษัตริย์พระองค์นี้จะทรงส่งกำลังพลของพระองค์ไปทำลายล้างเขาให้หมดสิ้นจากพื้นแผ่นดิน พระเจ้าของเขาจะไม่อาจช่วยเขาให้รอดพ้นได้เลย 3แต่พวกเราผู้รับใช้พระเจ้าเนบูคัดเนสซาร์จะโค่นเขาลงเหมือนคนคนเดียว เขาจะต่อต้านการจู่โจมของกองทหารม้าของเราไม่ได้เลย 4พวกเราจะเผาพวกเขาทั้งเป็น เลือดจะไหลนองภูเขา และที่ราบของเขาจะเต็มไปด้วยซากศพ เขาจะไม่มีกำลังยืนหยัดต่อต้านพวกเราได้ แต่จะถูกทำลายจนหมดสิ้น กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ เจ้านายของทั่วแผ่นดิน ตรัสดังนี้ เมื่อพระองค์ตรัสไว้แล้ว พระวาจาของพระองค์จะต้องสำเร็จเป็นจริง 5ส่วนท่าน อาคิออร์ ทหารรับจ้างชาวอัมโมน เพราะท่านพูดถ้อยคำนี้ในวันอัปมงคล ท่านจะไม่ได้เห็นหน้าข้าพเจ้าจนกว่าข้าพเจ้าจะได้แก้แค้นชนชาตินี้ที่มาจากอียิปต์แล้ว 6เมื่อนั้น ดาบของทหารและหอกbของนายทหารของข้าพเจ้าจะแทงสีข้างของท่าน   ท่านจะล้มลงในหมู่คนตาย เมื่อข้าพเจ้าจะกลับมา 7ผู้รับใช้ของข้าพเจ้าจะนำท่านไปยังแถบภูเขา     และทิ้งท่านไว้ใกล้เมืองหนึ่งตามทางขึ้นภูเขา 8ท่านจะไม่ตายจนกว่าจะถูกทำลายพร้อมกับพวกเขา 9ท่านยังมีใบหน้าเศร้าหมองทำไม ถ้าท่านยังหวังในใจว่าเขาจะไม่ถูกจับเป็นเชลย ข้าพเจ้าลั่นวาจาไว้แล้ว และถ้อยคำของข้าพเจ้าจะไม่มีวันผิดพลาดไปได้เลย”

          10แล้วโฮโลเฟอร์เนสสั่งผู้รับใช้ที่ยืนอยู่ในกระโจมให้จับอาคิออร์ นำตัวไปยังเมืองเบธูเลีย และมอบเขาให้ชาวอิสราเอล 11บรรดาผู้รับใช้จึงคุมตัวเขา นำออกไปจากค่าย ผ่านที่ราบไปยังแถบภูเขา ถึงบ่อน้ำซึ่งอยู่เบื้องล่างของเมืองเบธูเลีย 12เมื่อคนในเมืองเห็นเข้า ก็รีบไปหยิบอาวุธและวิ่งออกนอกเมืองไปยังยอดเขา ทุกคนที่ถือสลิงก็ใช้สลิงขว้างก้อนหิน กั้นมิให้ทหารของโฮโลเฟอร์เนสขึ้นภูเขาได้ 13เขาเหล่านั้นจึงหาที่กำบังอยู่ที่เชิงเขา มัดอาคิออร์ปล่อยไว้ที่นั่น แล้วกลับไปหาเจ้านายของตน

          14ชาวอิสราเอลลงจากเมืองมาพบอาคิออร์ แก้มัดให้แล้วนำเขาไปยังเมืองเบธูเลีย พาไปพบบรรดาผู้ปกครองเมือง 15ผู้ปกครองเมืองในขณะนั้นคืออุสซียาห์ บุตรของมีคาห์ จากเผ่าสิเมโอนc คาบริสบุตรของโกโธนิเอล และคาร์มิสบุตรของเมลคิเอล 16เขาจึงเรียกประชุมบรรดาผู้อาวุโสของเมือง คนหนุ่มสาวก็รีบมายังที่ประชุมด้วย เขาให้อาคิออร์มายืนอยู่ตรงกลางที่ประชุม และอุสซียาห์ไต่ถามเขาถึงสิ่งที่เกิดขึ้น 17อาคิออร์ก็ตอบโดยเล่าถึงเรื่องที่พูดกันในที่ประชุมของโฮโลเฟอร์เนส เล่าถึงถ้อยคำที่โฮโลเฟอร์เนสพูดต่อหน้านายทหารชาวอัสซีเรีย และคำขู่ที่หยิ่งยโสของโฮโลเฟอร์เนสต่อชนชาติอิสราเอล 18ประชาชนจึงกราบลงนมัสการพระเจ้า ร้องว่า 19”ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าแห่งสวรรค์ โปรดทอดพระเนตรความหยิ่งยโสของพวกเขา โปรดทรงพระกรุณาต่อประชากรที่ถ่อมตน วันนี้ ขอทรงโปรดปรานผู้ที่ถวายตนแด่พระองค์เถิดd 20เขาปลอบใจอาคิออร์และยกย่องเขาอย่างมาก 21เมื่อเสร็จการประชุมแล้ว อุสซียาห์เชิญอาคิออร์ไปที่บ้าน จัดงานเลี้ยงแก่บรรดาผู้อาวุโส ตลอดคืนนั้นเขาวอนขอพระเจ้าแห่งอิสราเอลให้ทรงช่วยเหลือ

6 a “ชาวโมอับ” สำเนาโบราณฉบับหนึ่งว่า “ชาวอัมโมน”

b “หอก” แปลตามสำนวนแปลโบราณภาษาละตินและภาษาซีเรียค – ต้นฉบับภาษากรีกว่า “ประชาชน”

c “เผ่าสิเมโอน” ผู้เขียนหนังสือยูดิธสนใจเป็นพิเศษต่อเผ่าสิเมโอน ซึ่งมีบทบาทน้อยมากในประวัติศาสตร์ของอิสราเอล – ชื่อ “อุสซียาห์” ชวนให้ระลึกถึงชื่อ “อุสซีเอล” (1 พศด 4:42)   ต่อมานางยูดิธจะให้เกียรติแก่บรรพบุรุษสิเมโอนอีกครั้งหนึ่ง (ยดธ 9:2-4)        หนังสือปฐมกาลเคยประณามสิเมโอนใน ปฐก 34:30 และ 49:5-7

d “ผู้ที่ถวายแด่พระองค์” หมายถึงชนชาติอิสราเอลทั้งหมด เพราะพันธสัญญาที่พระเจ้าทรงกระทำกับเขา

II. การล้อมเมืองเบธูเลีย

โฮโลเฟอร์เนสทำสงครามกับชาวอิสราเอล

7       1วันต่อมา โฮโลเฟอร์เนสออกคำสั่งให้กองทัพทั้งหมด และทุกคนที่มาเป็นพันธมิตรกับเขา เดินทัพออกไปโจมตีเมืองเบธูเลีย ยึดทางขึ้นไปยังแถบภูเขา และเข้าโจมตีชาวอิสราเอล 2วันนั้น นักรบทุกคนออกเดินทาง กองทัพมีทหารราบหนึ่งแสนเจ็ดหมื่นคนa และทหารม้าหนึ่งหมื่นสองพันคน ไม่นับกองเสบียงและผู้เดินตามไปด้วยอีกจำนวนมาก 3เขาตั้งค่ายที่บ่อน้ำในหุบเขาใกล้เมืองเบธูเลีย กระจายกำลังออกเป็นแนวกว้างจากเมืองโดธานจนถึงเมืองบัลบาอิม และแนวยาวจากเมืองเบธูเลียจนถึงเมืองคียาโมนซึ่งอยู่ตรงหน้าที่ราบเอสเดรโลน 4เมื่อชาวอิสราเอลเห็นข้าศึกจำนวนมากก็ตกใจ พูดกันว่า “ในไม่ช้าเขาจะกลืนแผ่นดินทั้งหมด แม้ภูเขาสูงที่สุด หุบเขาลึกและเนินเขาก็ไม่อาจต้านทานน้ำหนักของเขาได้” 5แต่ละคนต่างหยิบอาวุธ จุดไฟไว้บนป้อมปราการ ยืนยามเฝ้าอยู่ตลอดทั้งคืน

          6วันที่สอง โฮโลเฟอร์เนสนำทหารม้าทั้งหมดออกมาให้ชาวอิสราเอลที่อยู่ในเมืองเบธูเลียได้เห็น 7เขาสำรวจทางเข้าเมือง เสาะหาแหล่งน้ำและยึดไว้ ตั้งหมวดทหารเฝ้าอยู่ แล้วกลับไปยังฐานทัพ 8บรรดาหัวหน้าชาวเอโดม หัวหน้าชาวโมอับb และแม่ทัพจากดินแดนชายฝั่งทะเลมาพบโฮโลเฟอร์เนส พูดว่า 9”ขอเจ้านายฟังถ้อยคำของพวกเราเถิด แล้วกองทำลังของท่านจะไม่ต้องสูญเสียอะไร 10ชาวอิสราเอลเหล่านี้ไม่ได้พึ่งหอก แต่พึ่งยอดภูเขาที่เขาอยู่ เราจะขึ้นไปถึงยอดภูเขาก็ไม่ใช่เรื่องง่าย

11”เพราะฉะนั้น ขอเจ้านายอย่าเข้าโจมตีเขาเป็นแนวรบอย่างที่เคย แล้วทหารของท่านจะไม่ล้มตายแม้แต่คนเดียว 12จงอยู่ในค่ายเถิด และให้ทหารของท่านอยู่ในค่ายด้วย ให้ผู้รับใช้ของท่านคุมแหล่งน้ำที่ไหลมาจากเชิงเขา 13เพราะชาวเมืองเบธูเลียทุกคนมาตักน้ำที่นั่น เมื่อเขาจะอดน้ำตาย เขาก็จะยอมจำนนและมอบเมืองให้แก่พวกเรา ส่วนเราและคนของเราจะขึ้นไปยึดยอดเขาที่อยู่ใกล้ๆ ตั้งค่ายอยู่ที่นั่นเพื่อคอยเฝ้าไม่ให้ผู้ใดออกจากเมืองไปได้ 14ความหิวจะทำให้เขา ภรรยาและลูกๆหมดกำลัง   ก่อนที่คมดาบจะมาถึงเขา เขาก็จะนอนตายอยู่ในลานบ้านแล้ว 15ดังนี้ ท่านก็จะลงโทษเขาอย่างสาสมกับการกบฏ ไม่ยอมออกมาพบท่านอย่างสันติ”

16โฮโลเฟอร์เนสและนายทหารทุกคนพอใจถ้อยคำเหล่านี้ เขาจึงสั่งให้ปฏิบัติตามคำแนะนำของคนเหล่านั้น 17ทหารชาวโมอับcพร้อมกับทหารชาวอัสซีเรียห้าพันคนจึงย้ายค่ายไปตั้งอยู่ในหุบเขา ยึดแหล่งน้ำและบ่อน้ำของชาวอิสราเอลไว้ 18ส่วนชาวเอโดมและชาวอัมโมนพร้อมกับทหารชาวอัสซีเรียหนึ่งหมื่นสองพันคนขึ้นไปตั้งค่ายอยู่บนภูเขาตรงข้ามกับเมืองโดธาน เขาส่งคนจำนวนหนึ่งไปทางใต้และทางตะวันออกตรงข้ามกับเมืองเอเกรเบลใกล้เมืองคูช ซึ่งอยู่ริมห้วยมคมูร์ กองทัพทหารอัสซีเรียที่เหลือตั้งค่ายอยู่ในที่ราบ ปกคลุมพื้นที่ทั้งหมด เพราะกระโจมและสัมภาระมีจำนวนมากมายเพื่อสนองความต้องการของกองทัพยิ่งใหญ่เช่นนี้

19ชาวอิสราเอลร้องหาองค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของตน เขาท้อใจเพราะถูกศัตรูล้อมไว้ทุกด้าน ไม่มีทางหนีไปจากวงล้อมได้ 20กองทัพอัสซีเรียทั้งหมด ทหารราบ รถศึกและทหารม้าล้อมเขาไว้เป็นเวลาสามสิบสี่วัน น้ำที่ชาวเบธูเลียทุกคนตักเก็บไว้ก็หมด 21บ่อเก็บน้ำแห้งขอด เขาไม่มีน้ำดื่มจนอิ่มแม้สักวันเดียว เพราะต้องมีการปันส่วนน้ำ 22เด็กๆหมดแรงจนยืนไม่ไหว บรรดาสตรีและชายหนุ่มต่างอดน้ำจนเป็นลมล้มลงตามลานเมืองและประตูเมือง เพราะไม่มีกำลังเหลืออีก

23ประชาชนทั้งหมด รวมทั้งชายหนุ่ม สตรีและเด็กๆพากันไปพบอุสซียาห์และบรรดาผู้ปกครองเมือง ร้องตะโกนต่อหน้าผู้อาวุโสทุกคนว่า 24”ขอให้พระเจ้าทรงตัดสินระหว่างพวกท่านกับพวกเราเถิด เพราะท่านทั้งหลายได้นำความเสียหายใหญ่หลวงมาให้เราโดยไม่ยอมเจรจาสงบศึกกับชาวอัสซีเรีย 25บัดนี้ ไม่มีใครมาช่วยเหลือเราได้ พระเจ้าทรงขายพวกเราให้อยู่ในเงื้อมมือของศัตรู ให้เราต้องหมอบราบต่อหน้าเขาเพราะความกระหายและความพินาศใหญ่หลวง 26จงเรียกพวกเขามาเถิด แล้วจงมอบเมืองทั้งเมืองให้เป็นของเชลยแก่บรรดาทหารของโฮโลเฟอร์เนสและกองทัพทั้งหมดของเขา 27พวกเราเป็นเหยื่อของเขายังดีกว่า ถึงแม้จะต้องตกเป็นทาส แต่อย่างน้อยเราก็ยังรอดชีวิต ไม่ต้องเห็นลูกๆต้องตายไปต่อหน้าต่อตาเรา หรือเห็นบุตรภรรยาของเราต้องสิ้นใจ 28พวกเราขอร้องท่านในนามของสวรรค์และแผ่นดิน ในพระนามของพระเจ้าของเรา องค์พระผู้เป็นเจ้าของบรรพบุรุษ ผู้ทรงลงโทษพวกเราเพราะบาปของเราและเพราะความผิดของบรรพบุรุษ ขอให้ท่านทำตามข้อเสนอของเราในวันนี้เถิด”d

30อุสซียาห์ตอบเขาว่า “พี่น้องทั้งหลาย จงทำใจให้ดีไว้เถิด ให้เราอดทนต่อไปอีกสักห้าวัน ภายในเวลาห้าวันนี้ องค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของเราจะทรงแสดงพระเมตตาต่อเราอีก พระองค์จะไม่ทรงทอดทิ้งเราตลอดไป 31ถ้าช่วงเวลานี้ผ่านไปโดยที่พวกเราไม่ได้รับความช่วยเหลือ ข้าพเจ้าจะทำตามข้อเสนอของท่าน” 32แล้วอุสซียาห์ก็ให้ประชาชนกลับไปประจำที่มั่นของตน เขาก็กลับไปยังกำแพงและป้อมปราการของเมือง และส่งพวกผู้หญิงและเด็กๆกลับไปบ้าน แต่ทุกคนในเมืองต่างท้อแท้หมดกำลังใจ

7 a “หนึ่งแสนเจ็ดหมื่นคน” – สำนวนแปลภาษาละตินฉบับ Vulgate ว่า “หนึ่งแสนสองหมื่นคน” – เทียบ ยดธ 2:15

b ชาวเอโดมและชาวโมอับเป็นศัตรูถาวรของชาวอิสราเอล

c “ชาวโมอับ” แปลตามสำนวนแปลโบราณภาษาละตินและภาษาซีเรียค ต้นฉบับภาษากรีกว่าว่า “ชาวอัมโมน”

d แปลตามสำนวนแปลโบราณภาษาละตินและภาษาซีเรียค ต้นฉบับภาษากรีกไม่ชัดเจน * ชาวอิสราเอลในสมัยโบราณคิดว่าความผิดของคนใดคนหนึ่งอาจทำให้พระเจ้าทรงลงโทษชนทั้งชาติ

III. นางยูดิธ

 

ความเป็นมาของนางยูดิธ

8       1ครั้งนั้นนางยูดิธaได้ยินเรื่องที่เกิดขึ้น นางเป็นบุตรสาวของเมรารี บุตรของโอ๊กซ์ บุตรของโยเซฟ บุตรของโอศิเอล บุตรของเอลคิยาห์ บุตรของอานาเนีย บุตรของกิเดโอน บุตรของราฟาอิม บุตรของอาหิโทบ บุตรของเอลียาห์ บุตรของฮิลคียาห์ บุตรของเอลีอับ บุตรของนาธานาเอล บุตรของสาลามิเอล บุตรของสาราสาดาย บุตรของสิเมโอนb บุตรของอิสราเอล 2มนัสเสห์สามีของนางเป็นคนในเผ่าและตระกูลเดียวกันกับนาง เสียชีวิตในฤดูเก็บเกี่ยวข้าวบาร์เลย์ 3ขณะที่เขากำลังคุมคนงานที่มัดฟ่อนข้าวอยู่ในทุ่งนา เขาถูกแดดเผาจนต้องไปนอนบนเตียงและตายที่เบธูเลียเมืองของตน เขาถูกฝังอยู่รวมกับบรรพบุรุษในทุ่งนาซึ่งอยู่ระหว่างเมืองโดธานกับเมืองบาลาโมน 4นางยูดิธจึงเป็นม่าย อยู่ในบ้านเป็นเวลาสามปีกับสี่เดือน 5นางตั้งกระโจมสำหรับตนไว้บนดาดฟ้า  คาดสะเอวด้วยผ้ากระสอบและสวมเสื้อไว้ทุกข์ของหญิงม่าย 6นางจำศีลอดอาหารทุกวันตั้งแต่เป็นม่าย เว้นแต่วันก่อนวันสับบาโตและวันสับบาโต วันก่อนวันต้นเดือนและวันต้นเดือน วันฉลองและเทศกาลฉลองต่างๆของประชากรอิสราเอล 7นางมีรูปร่างงดงาม ใบหน้าชวนมอง มนัสเสห์สามีของนางทิ้งทองคำและเงิน ผู้รับใช้ชายหญิง ฝูงสัตว์และที่ดินไว้ให้นางดูแลรักษาต่อไป 8ไม่มีผู้ใดพูดจากล่าวร้ายนางได้ เพราะนางยำเกรงพระเจ้าอย่างยิ่ง

 

นางยูดิธพบผู้อาวุโสของเมืองเบธูเลีย

          9นางยูดิธได้ยินถ้อยคำรุนแรงซึ่งประชาชนพูดต่อว่าบรรดาผู้ปกครองเมืองเพราะหมดกำลังใจที่ขาดน้ำ และได้ยินคำตอบของอุสซียาห์ที่สาบานว่าจะมอบเมืองแก่ชาวอัสซีเรียเมื่อครบกำหนดห้าวันแล้ว 10นางจึงส่งหญิงรับใช้ผู้ดูแลทรัพย์สินทั้งหมดของนางไปเรียกอุสซียาห์    คาบริสและคารมิส ผู้อาวุโสของเมืองมาพบ 11เมื่อคนเหล่านี้มาถึง นางพูดว่า

          “โปรดฟังดิฉันเถิด ท่านผู้ปกครองชาวเมืองเบธูเลีย คำพูดที่ท่านพูดกับประชาชนวันนี้ไม่เหมาะสมเลย ท่านไม่ควรสาบานอ้างพระนามของพระเจ้าว่าจะมอบเมืองให้ศัตรู ถ้าองค์พระผู้เป็นเจ้าไม่เสด็จมาช่วยเหลือภายในวันที่กำหนด 12ท่านเป็นใครกันจึงบังอาจทดลองพระเจ้าในวันนี้ ตั้งตนเหนือพระเจ้าทั้งๆที่เป็นเพียงมนุษย์ 13ท่านต้องการทดสอบองค์พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงสรรพานุภาพ แต่ท่านไม่เข้าใจสิ่งใดเลย 14ท่านไม่อาจหยั่งรู้ความลึกล้ำในดวงใจมนุษย์หรือเข้าใจความคิดของมนุษย์ได้ ท่านจะหยั่งรู้ถึงองค์พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงสร้างทุกสิ่งเหล่านี้ รู้ความคิดของพระองค์ และเข้าใจแผนการของพระองค์ได้อย่างไร  พี่น้อง อย่าทำให้องค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของเราทรงพระพิโรธ 15ถ้าพระองค์ไม่ทรงปรารถนาจะช่วยเหลือเราภายในห้าวัน พระองค์ก็ยังทรงมีพระอำนาจอย่างเต็มเปี่ยมที่จะปกป้องพวกเราตามที่ทรงประสงค์ หรือทรงมีพระอำนาจที่จะทำลายพวกเราต่อหน้าศัตรู 16ท่านทั้งหลายไม่มีสิทธิ์วางเงื่อนไขต่อแผนการขององค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของเราเลย เพราะพระเจ้าไม่ทรงเป็นเหมือนมนุษย์ที่อาจถูกข่มขู่หรือบังคับให้ทำตามใจได้  17เพราะฉะนั้น เราจงวอนขอให้พระองค์ทรงช่วยเหลือเรา พระองค์จะทรงฟังเสียงของเรา ถ้าพอพระทัยc

          18พวกเราไม่กราบไหว้รูปเคารพที่ทำจากมือมนุษย์ ทุกวันนี้ในสมัยของเรา ไม่มีเผ่า ตระกูล ครอบครัวหรือเมืองใดที่กราบไหว้รูปเคารพดังที่บรรพบุรุษของเราเคยทำในอดีต 19การกราบไหว้เช่นนี้ทำให้บรรพบุรุษของเราต้องถูกฆ่า ถูกปล้น และพ่ายแพ้ศัตรูอย่างยับเยิน 20แต่พวกเราไม่ยอมรับนับถือพระเจ้าอื่นใดนอกจากองค์พระผู้เป็นเจ้า เราจึงหวังว่าพระองค์จะไม่ทรงรังเกียจเรา หรือทรงละทิ้งชนชาติของเราd

          21”ถ้าพวกเราพ่ายแพ้ แคว้นยูเดียทั้งหมดก็จะพ่ายแพ้ด้วย สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของเราจะถูกปล้น และพระเจ้าจะทรงทำให้เราต้องหลั่งเลือดชดใช้การถูกลบหลู่เช่นนี้ 22พวกเราจะต้องรับผิดชอบที่บรรดาพี่น้องต้องถูกฆ่า ประชาชนต้องถูกจับเป็นเชลย แผ่นดินที่เป็นมรดกของเราต้องถูกทิ้งร้าง พวกเราจะถูกจับไปเป็นทาสในหมู่ชนต่างชาติ ผู้ที่เป็นเจ้าของของเราจะเยาะเย้ยดูถูกเรา 23การที่เราตกเป็นทาสจะไม่ให้ประโยชน์อะไรแก่เรา องค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของเราจะทรงทำให้การเป็นทาสเช่นนี้เป็นความอัปยศแก่เรา 24ดังนั้น พี่น้อง เราจงเป็นแบบอย่างแก่บรรดาพี่น้องของเราว่าชีวิตของเราขึ้นอยู่กับเรา เราเท่านั้นจะปกป้องสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ พระวิหารและพระแท่นบูชาไว้ได้

          25”นอกจากนั้น เราจงขอบพระคุณองค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของเรา ผู้ทรงทดสอบเราดังที่เคยทรงทดลองบรรพบุรุษของเราe 26จงระลึกเถิดว่าพระองค์ทรงกระทำกับอับราฮัมอย่างไร ทรงทดลองอิสอัคอย่างไร จงระลึกว่าอะไรเกิดขึ้นกับยาโคบในแคว้นเมโสโปเตเมียแห่งซีเรีย ขณะที่เขากำลังเลี้ยงฝูงแกะของลาบัน พี่ชายของมารดา 27พระองค์ทรงลองใจเขาดุจทดสอบโลหะในเบ้าหลอมฉันใด บัดนี้พระองค์ก็ไม่ทรงแก้แค้นพวกเรา แต่ทรงตักเตือนพวกเราฉันนั้น องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงตีสอนผู้ที่อยู่ใกล้ชิดกับพระองค์”

          28อุสซียาห์ตอบนางว่า “ทุกสิ่งที่ท่านพูดมานี้ ท่านก็พูดด้วยใจจริง ไม่มีผู้ใดคัดค้านคำพูดของท่านได้ 29ความปรีชาฉลาดของท่านปรากฏไม่เพียงวันนี้เท่านั้น ตั้งแต่ท่านยังเยาว์วัย ประชาชนทุกคนก็รับรู้ความรอบคอบของท่านแล้ว และรับรู้นิสัยใจคอที่ดีของท่านด้วย 30แต่ประชาชนต้องถูกทรมานเพราะกระหายน้ำ จึงบังคับพวกเราให้พูดดังที่เราได้ทำไป เราจึงพูดโดยสาบานผูกมัดตนจนไม่อาจละเมิดได้ 31บัดนี้ท่านซึ่งเป็นผู้ยำเกรงพระเจ้า จงอธิษฐานภาวนาเพื่อเรา ขอองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงบันดาลให้ฝนตก ทำให้บ่อเก็บน้ำของเราเต็ม เพื่อเราจะไม่ต้องอ่อนกำลังต่อไปอีก”

          32นางยูดิธตอบเขาว่า “โปรดฟังดิฉันเถิด ดิฉันจะทำกิจการที่ประชากรของเราจะจดจำไว้ตลอดไปไม่มีวันลืม 33คืนนี้ท่านทั้งหลายจงยืนอยู่ที่ประตูเมือง ปล่อยให้ดิฉันกับหญิงรับใช้ผ่านออกไป และภายในระยะเวลาที่ท่านกำหนดว่าจะมอบเมืองแก่ศัตรู องค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงช่วยให้อิสราเอลรอดพ้นด้วยมือของดิฉัน 34ท่านอย่าถามว่าดิฉันกำลังจะทำอะไร เพราะดิฉันจะไม่บอกท่านจนกว่าแผนการของดิฉันจะสำเร็จ”

          35อุสซียาห์และบรรดาผู้ปกครองเมืองตอบว่า “จงไปอย่างสันติ ขอองค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของเรา ทรงนำท่านไปแก้แค้นศัตรูของเราเถิด” 36แล้วเขาเหล่านั้นก็ลาจากกระโจมของนางกลับไปยังที่มั่นของตน

8 a คำ “ยูดิธ” แปลว่า “หญิงชาวยิว” เป็นชื่อเฉพาะที่พบได้ไม่กี่ครั้งในพระคัมภีร์ (ดู ปฐก 26:34) ผู้แต่งหนังสือเลือกชื่อนี้เป็นชื่อของวีรสตรีในเรื่องเพื่อเป็นสัญลักษณ์หมายถึงประชากรอิสราเอลทั้งหมด วีรกรรมของนางยูดิธคล้ายกับวีรกรรมของนางยาเอล (วนฉ 4:17-22) เป็นแบบอย่างของหญิงชาวอิสราเอลตามอุดมการณ์ * ในบทเพลงฉลองชัย (ยดธ 16:2,4 ฯลฯ) เสียงของนางยูดิธก็คือเสียงของประชากรอิสราเอลทั้งชาติที่นางเป็นผู้แทน

b “บุตรของสิเมโอน” แปลตามสำเนาโบราณบางฉบับ และสำนวนแปลโบราณต่างๆ (ดู ยดธ 9:2)

c ผู้อาวุโสของเมืองเบธูเลีย เช่นเดียวกับโยบ ทำผิดที่ถามพระเจ้าว่าทำไมทรงกระทำกับตนเช่นนี้ (โยบ 38:2ฯ) ตรงกันข้าม เขาควรยอมรับสภาพนี้โดยดุษฎี แต่ผู้เขียนหนังสือยูดิธสอนเราให้มีความวางใจต่อพระเจ้าเยี่ยงบุตรมากกว่าที่โยบเคยมี และยังเน้นอย่างน่าประทับใจถึงประสิทธิภาพของการอธิษฐานภาวนา

d ความมั่นใจเช่นนี้ที่อาคิออร์เคยยืนยันแล้ว นางยูดิธจะกล่าวย้ำอีกแก่โฮโลเฟอร์เนส นางยูดิธพร้อมกับชาวอิสราเอลยืนยันความซื่อสัตย์ต่อพระยาห์เวห์ว่า ชนชาติของตนได้ละทิ้งการนมัสการรูปเคารพ ดังที่บรรดาประกาศกเคยประณามมานานแล้ว ตั้งแต่ที่ชาวอิสราเอลกลับจากเนรเทศมาสร้างพระวิหารหลังที่สอง

e ประวัติศาสตร์ของบรรพบุรุษสอนว่า การที่ผู้ชอบธรรมต้องรับความทุกข์ไม่ใช่การลงโทษจากพระเจ้า แต่เป็นการทดสอบจากพระองค์ ผู้เขียนหนังสือโยบยังไม่เข้าใจคำสอนเรื่องนี้

คำอธิษฐานของนางยูดิธ

9      1นางยูดิธกราบลงกับพื้น ใช้ขี้เถ้าโรยศีรษะ ถอดเสื้อชั้นนอกออกให้เห็นเสื้อผ้ากระสอบที่สวมอยู่ เย็นวันนั้น ในเวลาที่ถวายกำยานในพระวิหารของพระเจ้าที่กรุงเยรูซาเล็มa นางยูดิธวอนขอองค์พระผู้เป็นเจ้าด้วยเสียงดังว่า

          2”ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของสิเมโอน บรรพบุรุษของข้าพเจ้า

          พระองค์ทรงมอบดาบให้เขาเพื่อแก้แค้นชนต่างชาติ

          ที่ปลดเข็มขัดของหญิงสาวซึ่งยังเป็นพรหมจารีb

          เปลื้องเสื้อผ้าให้เธอต้องอับอาย

          และล่วงเกินร่างกายของเธออย่างน่าอดสู

          เขาเหล่านั้นทำเช่นนี้ แม้พระองค์ตรัสไว้ว่า “อย่าทำ”

          3เพราะเหตุนี้ พระองค์ทรงมอบผู้ปกครองของเขาให้ถูกประหารด้วยเล่ห์กล

          ทรงบันดาลให้โลหิตของเขาไหลนองเตียงที่เขาใช้หลอกลวงหญิงสาว

          พระองค์ทรงตีทั้งทาสและเจ้านาย

          ทรงตีผู้ทรงอำนาจบนบัลลังก์c

          4พระองค์ทรงปล่อยให้ภรรยาของเขาตกเป็นของเชลย

          ให้บุตรสาวถูกจับเป็นทาส

          และให้ทรัพย์สินของเขาถูกแบ่งปันในหมู่บุตรที่พระองค์โปรดปราน

          บุตรเหล่านี้มีความกระตือรือร้นต่อพระองค์

          ขยะแขยงที่เลือดเนื้อเชื้อไขของตนต้องถูกลบหลู่

          เขาจึงเรียกหาความช่วยเหลือจากพระองค์

          “ข้าแต่พระเจ้า พระเจ้าของข้าพเจ้า

          โปรดทรงฟังข้าพเจ้าผู้เป็นหญิงม่าย

          5พระองค์ทรงกระทำให้เหตุการณ์เหล่านั้นเกิดขึ้น

          ทั้งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนและหลังเหตุการณ์นั้นด้วย

          พระองค์ทรงกำหนดเหตุการณ์ทั้งในปัจจุบันและในอนาคต

          6ทุกสิ่งที่ทรงดำริไว้ก็เกิดขึ้น

          ทุกสิ่งที่ตั้งพระทัยไว้ก็มาหา

          ทูลว่า “พวกเราอยู่ที่นี่แล้ว”

          เพราะทางทุกสายของพระองค์เตรียมพร้อม

          และทรงล่วงรู้พระวินิจฉัยอยู่แล้ว

          7พระองค์ทรงเห็นชาวอัสซีเรียเหล่านี้ยกมาเป็นกองทัพใหญ่

          เขาหยิ่งผยองเพราะม้าและทหารม้า

          เขาอวดกำลังของทหารราบ

          เขาวางใจในโล่และหอก

          ในคันธนูและสลิง

          แต่เขาไม่รู้ว่าพระองค์ทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า

          ผู้ทรงบดขยี้การสงครามd

          8พระนามของพระองค์คือ “องค์พระผู้เป็นเจ้า”

          โปรดทรงใช้พระอานุภาพทำลายกำลังของเขาทั้งหลายให้หมดสิ้น

          ทรงใช้พระพิโรธบดขยี้ความแข็งแกร่งของเขา

          เขาวางแผนจะลบหลู่สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์

          ทำให้ที่ประทับแห่งพระนามและพระสิริรุ่งโรจน์ของพระองค์เป็นมลทิน

          และใช้เหล็กทุบเชิงงอนของพระแท่นบูชา

          9โปรดทอดพระเนตรความหยิ่งยโสของเขา

          โปรดส่งพระพิโรธให้ตกบนศีรษะของเขา

          โปรดให้มือของข้าพเจ้าผู้เป็นหญิงม่าย

          มีพลังทำตามแผนการของข้าพเจ้า

          10ขอพระองค์ทรงใช้ถ้อยคำหลอกลวงจากปากของข้าพเจ้า

          เพื่อทำลายทั้งทาสและเจ้านาย

          ทำลายทั้งเจ้านายและผู้รับใช้ของเขา

          โปรดทรงใช้มือของหญิงคนหนึ่งบดขยี้ความเย่อหยิ่งของเขา

          11พละกำลังของพระองค์ไม่ขึ้นอยู่กับจำนวน

          พระอานุภาพของพระองค์ไม่ขึ้นอยู่กับกำลังกองทัพ

          แต่พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าของผู้ต่ำต้อย

          ทรงช่วยเหลือผู้ถูกกดขี่

          ทรงค้ำจุนผู้อ่อนแอ

          ทรงคุ้มครองผู้ถูกทอดทิ้ง

          ทรงกอบกู้ผู้สิ้นหวังe

          12โปรดเถิด โปรดเถิด ข้าแต่พระเจ้าของบรรพบุรุษของข้าพเจ้า

          พระเจ้าแห่งอิสราเอลซึ่งเป็นมรดกของพระองค์

          พระองค์ทรงเป็นเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดิน

          ผู้ทรงเนรมิตทะเล

          ทรงเป็นพระราชาของสิ่งสร้างทั้งมวล

          โปรดทรงฟังคำอธิษฐานภาวนาของข้าพเจ้า

          13โปรดให้ถ้อยคำหลอกลวงของข้าพเจ้าเป็นประดุจดาบที่ฟาดฟันและประหาร

          ผู้ที่วางแผนร้ายต่อพันธสัญญาของพระองค์

          ต่อพระวิหารศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์

          ต่อภูเขาศิโยน

และต่อบ้านเรือนที่พำนักของบรรดาบุตรของพระองค์

14โปรดให้ประชากรของพระองค์และชนทุกเผ่ายอมรับว่า

พระองค์ทรงเป็นพระเจ้า พระเจ้าผู้ทรงพลังและสรรพานุภาพ

ไม่มีผู้ใดที่ปกป้องชนชาติอิสราเอลได้นอกจากพระองค์

9 a ผู้เขียนหนังสือยูดิธอ้างเสมอถึงกรุงเยรูซาเล็ม พระวิหาร พิธีกรรม และมหาสมณะ (4:2-3,6-8; 5:19; 8:21-24; 9:8,13; 15:8; 16:18)

b “ปลดเข็มขัดของหญิงสาว” แปลโดยคาดคะเน (“mitra” ในภาษากรีก) – ต้นฉบับภาษากรีกว่า “metra” = หน้าอก – สำนวน “ปลดเข็มขัด” มีความหมายว่า “แต่งงาน” หรือ “มีเพศสัมพันธ์”

c “บนบัลลังก์” บางคนแปลว่า “และผู้รับใช้ของเขา” ให้สอดคล้องกับ 9:10 ดู ปชญ 18:11

d “บดขยี้การสงคราม” ชาวอิสราเอลรู้สึกขัดเคืองเมื่อคิดว่าศัตรูอวดตัวว่ามีกำลังพลเหนือกว่าตนมาก เขาจึงวางใจว่าพระเจ้าจะทรงลงโทษศัตรูที่อวดตัวและวางใจในกำลังพลของตนเช่นนี้ ดู อสย 30:15; 31:1-3; ฮบก 1:12-17

e “ทรงกอบกู้ผู้สิ้นหวัง” เป็นข้อความที่พบเสมอในพระคัมภีร์ บรรยายลักษณะของพระเจ้าผู้ทรงช่วยเหลือผู้ต่ำต้อยและถูกข่มเหง ดู ศฟย 2:3 เชิงอรรถ d.

IV. นางยูดิธกับโฮโลเฟอร์เนส

นางยูดิธเข้าไปในค่ายของโฮโลเฟอร์เนส

10    1นางยูดิธอธิษฐานภาวนาต่อพระเจ้าแห่งอิสราเอล  และเมื่ออธิษฐานภาวนาจบแล้ว 2นางก็ลุกขึ้นจากพื้น เรียกหญิงรับใช้เข้ามา และลงไปในบ้านที่นางอาศัยอยู่ในวันสับบาโตและวันฉลองเท่านั้น 3นางถอดเสื้อผ้ากระสอบและเสื้อชุดหญิงม่ายออก อาบน้ำ ชโลมร่างกายด้วยน้ำมันหอมอย่างดี หวีผมและใช้ผ้าโพกศีรษะให้สวยงาม สวมเสื้อผ้าวันฉลองที่เคยใช้เมื่อมนัสเสห์สามีของนางยังมีชีวิตอยู่ 4นางสวมรองเท้าสาน สวมสร้อยคอ สร้อยข้อมือ แหวน ต่างหูและเครื่องเพชรอื่นๆที่มี แต่งตัวอย่างงดงามเพื่อยั่วยวนตาชายทุกคนที่เห็นนาง 5นางมอบถุงหนังใส่เหล้าองุ่นและขวดน้ำมันให้หญิงรับใช้ถือไว้ ใส่ข้าวคั่ว ผลมะเดื่อแห้ง ขนมปังและเนยแข็งa ลงในถุงจนเต็ม มัดสิ่งเหล่านี้ทั้งหมด ส่งให้หญิงรับใช้ถือไว้ด้วย 6แล้วทั้งสองคนก็ไปที่ประตูเมืองเบธูเลีย พบอุสซียาห์กำลังรออยู่ที่นั่นพร้อมกับคาบริสและคาร์มิสผู้อาวุโสของเมือง 7เมื่อทั้งสามคนเห็นนางยูดิธเปลี่ยนรูปโฉมและแต่งกายต่างจากเดิมก็ประหลาดใจอย่างยิ่งในความสวยงามของนาง จึงพูดกับนางว่า

          8”ขอพระเจ้าแห่งบรรพบุรุษโปรดปรานท่าน

          โปรดให้แผนการของท่านบรรลุผลสำเร็จ

          เพื่อเป็นเกียรติแก่ชาวอิสราเอล

          และเป็นสิริรุ่งโรจน์แห่งกรุงเยรูซาเล็ม”

9นางกราบลงนมัสการพระเจ้าแล้วพูดว่า “จงสั่งให้เปิดประตูเมืองให้ข้าพเจ้าออกไปทำภารกิจให้สำเร็จตามคำที่ท่านอวยพรข้าพเจ้าเถิด” คนเหล่านั้นก็สั่งให้ชายหนุ่มเปิดประตูเมืองตามที่นางขอ 10เมื่อเขาเปิดประตูแล้ว นางยูดิธก็ออกไปพร้อมกับหญิงรับใช้ พวกผู้ชายที่อยู่ในเมืองต่างก็มองนางเดินลงไปตามภูเขา ข้ามหุบเขาจนลับตาไป

          11นางยูดิธกับหญิงรับใช้เดินข้ามหุบเขาตรงไป ก็พบยามกลุ่มแรกชาวอัสซีเรีย 12เขาจับกุมนางไว้ ถามว่า “ท่านเป็นชนชาติใด มาจากไหน และกำลังไปไหน” นางตอบว่า “ข้าพเจ้าเป็นบุตรสาวของชาวฮีบรู กำลังหลบหนีจากพวกเขา เพราะเขากำลังจะตกเป็นเหยื่อของท่าน 13ข้าพเจ้าต้องการพบโฮโลเฟอร์เนส ผู้บัญชาการสูงสุดของกองทัพของท่านเพื่อแจ้งข่าวน่าเชื่อถือb ข้าพเจ้าจะชี้ทางผ่านให้เขาไปยึดครองดินแดนแถบภูเขาได้โดยที่ทหารของเขาไม่ต้องบาดเจ็บหรือเสียชีวิตแม้แต่คนเดียว” 14เมื่อพวกทหารได้ยินคำพูดเหล่านี้ และจ้องมองใบหน้าของนาง เขาก็ประหลาดใจในความสวยงาม กล่าวกับนางว่า 15”การที่ท่านรีบลงมาพบเจ้านายของพวกเราเช่นนี้ทำให้ท่านรอดชีวิต จงไปที่กระโจมของเขาเถิด พวกเราบางคนจะคอยคุ้มกันท่านและนำท่านไปพบเขา 16เมื่อท่านยืนอยู่ต่อหน้าเขา จิตใจของท่านอย่าหวาดกลัวเลย จงรายงานเรื่องราวที่ท่านบอกพวกเรา และเขาจะปฏิบัติต่อท่านเป็นอย่างดี” 17พวกทหารจึงแบ่งกำลังพลหนึ่งร้อยคนให้คุ้มกันนางยูดิธกับหญิงรับใช้ และนำไปยังกระโจมของโฮโลเฟอร์เนส

          18ข่าวการมาของนางแพร่จากกระโจมหนึ่งถึงอีกกระโจมหนึ่ง คนจำนวนมากจึงมาชุมนุมกันอยู่ในค่าย มายืนอยู่รอบๆนาง ขณะที่นางรออยู่นอกกระโจมของโฮโลเฟอร์เนส และมีผู้ไปรายงานให้เขารู้ 19ทุกคนตะลึงในความสวยงามของนาง ประทับใจในชาวอิสราเอลเพราะนางและพูดกันว่า “ใครอาจดูหมิ่นประชาชนซึ่งมีหญิงงามเช่นนี้ได้ ไม่ดีเลยที่จะปล่อยให้พวกนี้รอดชีวิตได้แม้สักคนเดียว เพราะถ้ามีผู้ใดรอดชีวิต เขาคงจะทำให้คนทั้งโลกต้องหลงใหล”

          20ทหารองครักษ์ของโฮโลเฟอร์เนสและผู้รับใช้ทุกคนออกมาพานางเข้าไปในกระโจม 21โฮโลเฟอร์เนสกำลังนอนอยู่บนเตียงใต้เพดานดาดด้วยผ้าทอสีม่วงแดงขลิบทอง ประดับด้วยมรกตและเพชรพลอยต่างๆ 22เมื่อทหารองครักษ์แจ้งให้โฮโลเฟอร์เนสรู้ว่านางมาถึงแล้ว เขาก็ออกมาพบนางที่ทางเข้า มีผู้ถือตะเกียงเงินนำหน้าc

          23เมื่อโฮโลเฟอร์เนสและผู้รับใช้เห็นนางยูดิธ ต่างก็ประหลาดใจในความสวยงามของนาง นางกราบลงศีรษะจรดพื้นต่อหน้าเขา แต่ผู้รับใช้พยุงนางให้ลุกขึ้น

10 a ”ขนมปังและเนยแข็ง” แปลตามสำเนาโบราณภาษากรีกหลายฉบับ และตามสำนวนแปลภาษาละตินต่างๆ เช่น ฉบับ Vulgata -- ต้นฉบับภาษากรีกว่า “ขนมปังไร้มลทิน” ซึ่งเป็นวลีที่ไม่เคยพบที่อื่นเลยในพระคัมภีร์ แต่บางคนคิดว่าผู้เขียนใช้วลีนี้โดยเจตนา เพื่อเน้นว่านางยูดิธปฏิบัติตามธรรมบัญญัติอย่างเคร่งครัดมากกว่าที่ธรรมบัญญัติกำหนดไว้เสียด้วย และเคร่งครัดยิ่งกว่าพระนางเอสเธอร์ ดู ยดธ 11:17; 12:6-9

b “ข่าวน่าเชื่อถือ” นางยูดิธยืนยันว่านางจะพูดความจริงกับโฮโลเฟอร์เนส (ดู 11:5) ทั้งๆที่นางมีเจตนาจะหลอกลวงเขา (11:12-19) การกระทำเช่นนี้ในสมัยของบรรพบุรุษ (ดู ปฐก 27:1-25; 34:13-29; 37:32-34) ยังไม่คิดว่าเป็นความผิด เพราะความคิดทางศีลธรรมยังไม่พัฒนา และการกล่าวเช่นนี้จะทำให้แผนการของพระเจ้าประสบความสำเร็จ หรือในสมัยของผู้วินิจฉัย (ดู ยชว 2:1-7; วนฉ 4:17-22) ซึ่งคิดว่าผู้ที่กล่าวเช่นนี้ทำไปเพื่อทำลายศัตรูของพระยาห์เวห์

c กระโจมของโฮโลเฟอร์เนสมีขนาดใหญ่ มีหลายห้อง และประดับประดาอย่างงดงาม (ดู 12:1; 13:1-3; 14:14-15) สมกับตำแหน่งผู้บัญชาการสูงสุด

นางยูดิธพบโฮโลเฟอร์เนสครั้งแรก

11     1โฮโลเฟอร์เนสพูดกับนางยูดิธว่า “นางเอ๋ย ทำใจให้ดีไว้ อย่ากลัวเลย ข้าพเจ้าไม่เคยทำร้ายผู้ใดที่ยอมรับใช้เนบูคัดเนสซาร์ กษัตริย์ของทั่วแผ่นดิน 2ถ้าประชาชนของท่านที่อาศัยอยู่ในแถบภูเขานี้ไม่ได้ดูหมิ่นข้าพเจ้า ข้าพเจ้าก็คงจะไม่ต้องยกหอกต่อสู้กับเขา แต่เขาทำเช่นนี้เป็นผลร้ายต่อตนเอง 3จงบอกข้าพเจ้าสิว่าทำไมท่านจึงหนีจากเขามาหาพวกเรา บัดนี้ท่านมาอยู่ในที่ปลอดภัยแล้ว จงทำใจให้ดีเถิด ชีวิตของท่านจะปลอดภัยในคืนนี้และในอนาคต 4ไม่มีผู้ใดจะทำร้ายท่าน แต่ท่านจะได้รับการดูแลอย่างดีเหมือนกับทุกคนที่รับใช้กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์เจ้านายของข้าพเจ้า”

          5นางยูดิธตอบว่า “โปรดฟังถ้อยคำของผู้รับใช้ของท่านเถิด ขอให้ผู้รับใช้ของท่านพูดต่อหน้าท่าน ข้าพเจ้าจะไม่พูดเท็จกับเจ้านายของข้าพเจ้าในคืนนี้ 6ถ้าท่านปฏิบัติตามถ้อยคำของผู้รับใช้ของท่าน พระเจ้าจะทรงบันดาลให้กิจการของท่านประสบความสำเร็จ เจ้านายของข้าพเจ้าจะไม่ผิดพลาดในแผนการที่ตั้งใจไว้เลยa 7ข้าพเจ้าสาบานว่า เนบูคัดเนสซาร์ กษัตริย์ของทั่วแผ่นดินทรงพระชนม์และทรงพระอานุภาพ ส่งท่านมาจัดระเบียบสิ่งมีชีวิตทั้งหลาย มนุษย์รับใช้พระองค์อาศัยท่าน แม้กระทั่งสัตว์ป่า สัตว์เลี้ยงและบรรดานกในอากาศจะมีชีวิตอยู่ก็เพราะอำนาจของท่าน เพื่อเป็นเกียรติแด่กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์และพระราชวงศ์ของพระองค์”

          8”พวกเราได้ยินถึงปรีชาญาณและความเฉลียวฉลาดของท่าน ทั่วแผ่นดินรู้ว่าท่านเป็นคนดีที่สุดทั่วอาณาจักร มีความสามารถ มีความรู้เชี่ยวชาญ ทุกคนพิศวงในความชำนาญศึกของท่าน 9ถ้อยคำที่อาคิออร์กล่าวในที่ประชุมของท่านพวกเราก็ได้ยินแล้ว เพราะชาวเมืองเบธูเลียไว้ชีวิตเขา และเขาได้เล่าให้พวกนั้นฟังเรื่องราวที่เขาพูดกับท่าน 10บัดนี้ ข้าแต่เจ้านายผู้ยิ่งใหญ่ อย่าเมินเฉยต่อถ้อยคำที่เขาพูด แต่จงจดจำไว้ เพราะเขาพูดความจริงb ประชาชนของเราจะไม่ถูกลงโทษ และดาบจะทำร้ายเขาไม่ได้ เว้นแต่เขาจะทำบาปผิดต่อพระเจ้าของเขา 11แต่บัดนี้ เจ้านายของข้าพเจ้าจะไม่พ่ายแพ้และกลับมามือเปล่า ความตายกำลังจะตกเหนือเขาเพราะบาปที่เขาทำ ทุกครั้งที่เขาทำบาป เขาก็ยั่วยุพระพิโรธของพระเจ้า 12เขากำลังขาดแคลนอาหาร น้ำกำลังจะหมด เขาจึงตัดสินใจฆ่าสัตว์เลี้ยง และตั้งใจจะกินสิ่งที่พระเจ้าทรงบัญญัติไว้ไม่ให้กิน 13เขาถึงกับตกลงจะกินแม้กระทั่งข้าวสาลีผลิตผลแรก รวมทั้งหนึ่งในสิบของเหล้าองุ่นและน้ำมันมะกอกเทศซึ่งต้องถวายแด่พระเจ้า และแยกเก็บไว้สำหรับสมณะผู้รับใช้เฉพาะพระพักตร์พระเจ้าของเราที่กรุงเยรูซาเล็ม สิ่งเหล่านี้ฆราวาสไม่อาจใช้มือแตะต้องได้c 14เขาส่งคนไปกรุงเยรูซาเล็มเพื่อขออนุญาตจากสภาผู้อาวุโส เพราะชาวกรุงเยรูซาเล็มก็ทำเช่นนี้อยู่แล้ว 15ในวันที่คำตอบจะไปถึงมือของเขาและเขาจะปฏิบัติตาม ในวันนั้นเขาจะถูกมอบให้ท่านทำลาย”

          16”เมื่อข้าพเจ้าผู้รับใช้ของท่านรู้เรื่องนี้ จึงหลบหนีออกมา พระเจ้าทรงส่งข้าพเจ้าให้มาร่วมมือกับท่านเพื่อทำกิจการที่ทั่วแผ่นดินจะประหลาดใจเมื่อได้ยิน 17ผู้รับใช้ของท่านเป็นผู้ยำเกรงพระเจ้า รับใช้พระเจ้าแห่งสวรรค์ทั้งวันทั้งคืน บัดนี้ ข้าแต่เจ้านาย ข้าพเจ้าจะอยู่กับท่าน แต่ผู้รับใช้ของท่านจะออกจากค่ายไปที่หุบเขาทุกคืนเพื่ออธิษฐานภาวนาต่อพระเจ้า พระองค์จะตรัสให้ข้าพเจ้ารู้ว่าชาวเมืองเบธูเลียได้ทำบาปแล้วเมื่อใด 18เมื่อนั้น ข้าพเจ้าจะกลับมาบอกให้ท่านรู้ เพื่อท่านจะได้ยกกองทัพทั้งหมดของท่านเข้าโจมตีเมือง และจะไม่มีผู้ใดต่อต้านท่านได้ 19ข้าพเจ้าจะนำท่านเดินผ่านแคว้นยูเดียไปจนถึงกรุงเยรูซาเล็ม แล้วข้าพเจ้าจะตั้งบัลลังก์พิพากษาให้ท่านกลางเมือง ท่านจะต้อนเขาทั้งหลายเหมือนฝูงแกะที่ไม่มีผู้เลี้ยง แม้สุนัขสักตัวก็จะไม่กล้าเห่าท่าน ข้าพเจ้าได้รับข่าวสารนี้ล่วงหน้า ข้าพเจ้าได้รับการเปิดเผย และถูกส่งมาบอกท่าน”

          20ถ้อยคำของนางเป็นที่พอใจของโฮโลเฟอร์เนสและบรรดานายทหาร ทุกคนพิศวงในความเฉลียวฉลาดของนาง พูดว่า 21”ไม่มีหญิงคนใดจากฟากหนึ่งถึงอีกฟากหนึ่งของแผ่นดินมีใบหน้าสวยงามและมีคำพูดเฉลียวฉลาดเช่นนี้” 22โฮโลเฟอร์เนสจึงพูดกับนางว่า “พระเจ้าทรงกระทำดีแล้วที่ทรงส่งท่านมาล่วงหน้าประชากรของท่าน เพื่อนำชัยชนะมาไว้ในมือของพวกเรา และนำหายนะมาสู่ผู้ที่ดูหมิ่นเจ้านายของข้าพเจ้า 23ท่านมีใบหน้าสวยงามและพูดจาน่าฟัง ถ้าท่านทำตามที่พูดไว้ พระเจ้าของท่านจะเป็นพระเจ้าของข้าพเจ้า และท่านจะไปอยู่ในพระราชวังของกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ จะมีชื่อเสียงไปทั่วแผ่นดิน”

11 a นางยูดิธกล่าวถ้อยคำกำกวมโดยเจตนา คำว่า “กิจการ” และ “เจ้านาย” มีความหมายคลุมเครือ นางยูดิธพูดเช่นนี้หมายความว่าพระเจ้าจะทรงทำให้กิจการของโฮโลเฟอร์เนส “ประสบความสำเร็จ” หรือ “จบลง” คือ “เขาจะจบชีวิต” และกิจการของพระยาห์เวห์จะไม่ผิดพลาด ส่วนโฮโลเฟอร์เนสเข้าใจว่ากิจการ “ที่จะไม่ผิดพลาด” นี้คือชัยชนะของตน – ในข้อ 16 ก็ยังมีคำพูดกำกวมเช่นเดียวกันอีก และในข้อ 8 ขณะที่นางยูดิธชมความเฉลียวฉลาดของโฮโลเฟอร์เนส นางกำลังพูดหลอกลวงเขาโดยที่เขาไม่รู้ตัวเลย

b นี่ก็เป็นถ้อยคำกำกวมอีก คำพูดของอาคิออร์เป็นความจริง แต่สิ่งที่นางยูดิธกล่าวว่าชาวยิวจะทำนั้นไม่เป็นความจริง

c ผู้เขียนกล่าวอ้างถึงข้อห้ามของธรรมบัญญัติเกินความจริง แต่ข้อห้ามเช่นนี้อาจเป็นความเห็นแบบเคร่งครัดของชาวฟาริสีก็ได้

12    1โฮโลเฟอร์เนสสั่งให้นำนางยูดิธเข้าไปที่โต๊ะอาหารซึ่งจัดไว้ด้วยภาชนะเงิน และนำอาหารเลิศรสกับเหล้าองุ่นอย่างดีของตนมาให้นาง 2แต่นางยูดิธพูดว่า “ข้าพเจ้าจะไม่กินอาหารเหล่านี้ เกรงว่าจะเป็นโอกาสให้ทำผิด ข้าพเจ้าจะกินแต่อาหารที่ข้าพเจ้านำมาเท่านั้น 3โฮโลเฟอร์เนสถามว่า “ถ้าเสบียงอาหารที่ท่านนำมาหมดแล้ว พวกเราจะไปหาอาหารชนิดนั้นได้อย่างไร ไม่มีเพื่อนร่วมชาติของท่านสักคนเดียวอยู่กับพวกเราที่นี่ 4นางยูดิธตอบว่า “ข้าแต่เจ้านาย ข้าพเจ้าผู้รับใช้ของท่านขอสาบานว่า ท่านมีชีวิตอยู่แน่ฉันใด ข้าพเจ้าจะไม่ใช้เสบียงอาหารที่ข้าพเจ้านำมาจนหมดสิ้น ก่อนที่องค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงใช้มือของข้าพเจ้ากระทำตามแผนการที่ทรงกำหนดไว้ฉันนั้น 5บรรดานายทหารของโฮโลเฟอร์เนสนำนางไปที่กระโจม นางนอนหลับอยู่จนถึงเที่ยงคืน แล้วจึงลุกขึ้นเมื่อมีการเปลี่ยนยามครั้งสุดท้าย 6ส่งคนไปบอกโฮโลเฟอร์เนสว่า “ขอเจ้านายสั่งให้ผู้รับใช้ของท่านออกไปอธิษฐานภาวนาด้วยเถิด” 7โฮโลเฟอร์เนสสั่งทหารยามไม่ให้ขัดขวางนาง นางอยู่ในค่ายสามวัน ทุกคืนนางออกไปที่หุบเขาใต้เมืองเบธูเลีย อาบน้ำที่พุน้ำใกล้ค่าย 8เมื่ออาบน้ำแล้ว นางก็อธิษฐานภาวนาขอองค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าแห่งอิสราเอล ให้ทรงนำกิจการของนางจนประชากรของพระองค์ประสบชัยชนะ 9หลังจากทำพิธีชำระตนแล้ว นางก็กลับมาในค่าย อยู่ในกระโจมตลอดวัน ครั้นเวลาเย็น หญิงรับใช้ก็นำอาหารมาให้

นางยูดิธกินเลี้ยงกับโฮโลเฟอร์เนส

            10วันที่สี่ โฮโลเฟอร์เนสจัดงานเลี้ยงสำหรับผู้รับใช้ของตนโดยเฉพาะ ไม่เชิญนายทหารคนใดเลย 11เขาบอกบาโกอัส ขันทีต้นห้องของตนว่า “จงไปเชิญหญิงชาวฮีบรูที่ท่านดูแลให้มากินและดื่มร่วมกับเราที่นี่ 12เราจะต้องอับอาย ถ้าเราไม่ฉวยโอกาสมีความสุขกับนางa ถ้าเราไม่ชนะใจนาง นางจะหัวเราะเยาะเราได้” 13บาโกอัสจึงจากโฮโลเฟอร์เนส ออกไปพบนางยูดิธ พูดว่า “หญิงสวยอย่างท่านไม่ควรลังเลใจที่จะมาพบเจ้านายของข้าพเจ้า เจ้านายจะได้ให้เกียรติแก่ท่าน ท่านจะดื่มเหล้าองุ่นสนุกสนานกับพวกเรา จะเป็นเหมือนหญิงชาวอัสซีเรียที่อยู่ในพระราชวังของกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์” 14นางยูดิธตอบว่า “ข้าพเจ้าเป็นใครเล่าที่จะกล้าปฏิเสธเจ้านายของข้าพเจ้า สิ่งใดเป็นที่พอใจของเขา ข้าพเจ้าจะทำทันที และการทำเช่นนี้จะเป็นความยินดีของข้าพเจ้าจนวันตาย”

15นางจึงลุกขึ้น สวมเสื้อผ้าวันฉลองและเครื่องประดับสตรีทั้งหมดที่นางมี หญิงรับใช้ของนางเดินล่วงหน้าไปปูหนังแกะต่อหน้าโฮโลเฟอร์เนส บาโกอัสได้จัดหาหนังแกะผืนนี้ไว้ให้นางใช้ทุกวันเพื่อเอนกายกินอาหารb

16นางยูดิธเข้ามาเอนกายบนหนังแกะผืนนั้น ใจของโฮโลเฟอร์เนสเคลิบเคลิ้มเมื่อเห็นนาง จิตใจปั่นป่วน มีความปรารถนาแรงกล้าที่จะหลับนอนกับนาง เขาหาโอกาสที่จะชนะใจนางตั้งแต่วันแรกที่เห็นนางแล้ว 17โฮโลเฟอร์เนสจึงเชิญนางว่า “จงดื่มและร่วมสนุกสนานกับเราเถิด” 18นางยูดิธตอบว่า “ถูกแล้วเจ้านาย ข้าพเจ้ายินดีดื่มกับท่าน เพราะตั้งแต่เกิดมา ข้าพเจ้าไม่เคยสนุกสนานเหมือนในวันนี้เลย” 19นางนำสิ่งที่หญิงรับใช้เตรียมไว้ออกมา กินและดื่มต่อหน้าเขา 20โฮโลเฟอร์เนสมีความสุขมากที่ได้อยู่กับนาง เขาดื่มเหล้าองุ่นมาก มากกว่าทุกวันที่เคยดื่มในชีวิตของตน

12 a “มีความสุขกับนาง” เป็นวิธีพูดถึงเพศสัมพันธ์โดยหลีกเลี่ยงสำนวนที่กล่าวถึงเรื่องนี้โดยตรง ดู ดนล 13:54,58 (“นอนอยู่ใต้ต้นไม้....”)

b เช่นเดียวกับในเรื่องของพระนางเอสเธอร์ ชะตากรรมของชาวอิสราเอลถูกกำหนดในระหว่างการเลี้ยงอาหาร

13    1ครั้นเวลาดึก ผู้รับใช้ของโฮโลเฟอร์เนสก็รีบออกไป บาโกอัสปิดกระโจมจากด้านนอก สั่งยามให้ไปพ้นสายตาของเจ้านาย ทุกคนจึงไปนอน เหนื่อยล้าเพราะดื่มจนเมามาย 2นางยูดิธอยู่ตามลำพังในกระโจมกับโฮโลเฟอร์เนส ซึ่งนอนแผ่อยู่บนเตียง เพราะดื่มเหล้าองุ่นจนดื่มไม่ได้อีกแล้ว 3นางสั่งหญิงรับใช้ให้ยืนรออยู่นอกห้องนอนจนกว่านางจะออกมา ดังที่เคยปฏิบัติอยู่ทุกวัน นางเคยบอกว่าจะออกไปอธิษฐานภาวนา นางพูดเช่นเดียวกันกับบาโกอัส

          4เมื่อทุกคนจากไปแล้ว และไม่มีผู้ใดอยู่ในห้องนอน นางยูดิธไปยืนอยู่ข้างเตียงของโฮโลเฟอร์เนส อธิษฐานภาวนาในใจว่า

          “ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าผู้ทรงสรรพานุภาพ

          โปรดทรงพระเมตตาทอดพระเนตรข้าพเจ้าในเวลานี้เถิด

          โปรดทรงช่วยเหลือกิจการที่ข้าพเจ้ากำลังจะทำเพื่อเทิดเกียรติกรุงเยรูซาเล็ม

          5บัดนี้ ถึงเวลาแล้วที่พระองค์จะทรงช่วยประชากรที่เป็นมรดกของพระองค์

          และบันดาลให้แผนการของข้าพเจ้า

          ที่จะทำลายศัตรูซึ่งลุกขึ้นมาโจมตีข้าพเจ้าทั้งหลาย ได้สำเร็จลุล่วงไป”

          6แล้วนางจึงไปที่เสาเตียงใกล้ศีรษะของโฮโลเฟอร์เนส ดึงดาบของเขาออกจากฝัก 7เดินเข้าไปใกล้เตียงมากขึ้น ใช้มือจับผมของเขา ดึงศีรษะขึ้น อธิษฐานภาวนาว่า “ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าแห่งอิสราเอล โปรดประทานกำลังแก่ข้าพเจ้าในวันนี้เถิด” 8แล้วนางก็ฟันลงบนลำคอของเขาสุดกำลังสองครั้ง ตัดศีรษะของเขาจนขาดออกมา 9นางผลักร่างของเขากลิ้งลงจากเตียง ดึงผ้าดาดจากเสาคลุมไว้ แล้วนางก็ออกมา นำศีรษะของโฮโลเฟอร์เนสส่งให้หญิงรับใช้ 10หญิงรับใช้ใส่ศีรษะลงในย่ามอาหาร ทั้งสองคนก็ออกไปอธิษฐานภาวนาเช่นเคย เดินผ่านค่าย อ้อมหุบเขา ขึ้นภูเขาไปยังเมืองเบธูเลียและมาถึงประตูเมือง

นางยูดิธนำศีรษะของโฮโลเฟอร์เนสมาที่เมืองเบธูเลีย

            11นางยูดิธตะโกนแต่ไกลเรียกทหารยามที่เฝ้าประตูเมืองว่า “เปิดประตู เปิดประตู พระเจ้า พระเจ้าของเราทรงอยู่กับเรา พระองค์ยังทรงสำแดงพละกำลังในอิสราเอล และทรงสำแดงพระอานุภาพต่อสู้ศัตรูของเราอีก ดังที่ทรงกระทำในวันนี้” 12เมื่อชาวเมืองได้ยินเสียงของนาง ก็รีบลงมาที่ประตูเมือง และไปเรียกผู้อาวุโสของเมืองให้มาด้วย 13ทุกคนต่างวิ่งมา ไม่เชื่อว่านางกลับมาแล้ว เขาเปิดประตูเมืองต้อนรับหญิงทั้งสองคน จุดไฟให้มีแสงสว่างแล้วห้อมล้อมหญิงทั้งสองคน 14นางยูดิธร้องเสียงดังเชิญชวนทุกคนว่า “จงสรรเสริญพระเจ้าเถิด จงสรรเสริญพระองค์ จงสรรเสริญพระเจ้าเถิด เพราะพระองค์ไม่ทรงละเว้นที่จะแสดงพระเมตตาต่อประชากรอิสราเอล แต่ได้ทรงใช้มือของข้าพเจ้าบดขยี้ศัตรูของเราในคืนนี้”    15แล้วนางก็ดึงศีรษะของโฮโลเฟอร์เนสออกมาจากย่าม ชูขึ้นให้ทุกคนเห็น พลางพูดว่า “นี่คือศีรษะของโฮโลเฟอร์เนส ผู้บังคับบัญชาสูงสุดของกองทัพอัสซีเรีย นี่คือผ้าดาดเหนือเตียงที่เขานอนหลับใหลเพราะเมามาย องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงใช้มือหญิงคนหนึ่งประหารเขา ขอองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงพระเจริญเทอญ พระองค์ทรงปกป้องข้าพเจ้าระหว่างทางที่ข้าพเจ้าเดินไป ใบหน้าของข้าพเจ้าทำให้เขาหลงใหลจนต้องพบกับความหายนะ เขาไม่ได้ล่วงเกินทำบาปกับข้าพเจ้า ไม่ได้ทำให้ข้าพเจ้าต้องเสื่อมเสียหรืออับอาย”a

          17ประชาชนทุกคนประหลาดใจอย่างยิ่ง กราบลงนมัสการพระเจ้า ร้องเป็นเสียงเดียวกันว่า “ข้าแต่พระเจ้าของข้าพเจ้าทั้งหลาย ขอถวายพระพรแด่พระองค์ เพราะทรงทำลายล้างศัตรูประชากรของพระองค์ในวันนี้” 18อุสซียาห์พูดกับนางว่า

          “ลูกรัก พระเจ้าผู้สูงสุดประทานพระพรแก่ท่าน

มากกว่าแก่หญิงใดๆบนแผ่นดิน

          ขอองค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าผู้ทรงสร้างสวรรค์และแผ่นดิน จงได้รับพระพร

          พระองค์ทรงนำท่านไปตัดศีรษะของหัวหน้าศัตรูของเรา

          19ความวางใจที่ท่านมีต่อพระเจ้า

          จะไม่ลบเลือนไปจากความทรงจำของมนุษย์

          ซึ่งจะระลึกถึงพระอานุภาพของพระเจ้าตลอดไป

          20ขอพระเจ้าทรงบันดาลให้การกระทำครั้งนี้

เป็นเกียรติแก่ท่านตลอดไป

ขอพระองค์ประทานพระพรแก่ท่านอย่างเต็มเปี่ยม

เพื่อตอบแทนที่ท่านดำเนินชีวิตอย่างเที่ยงตรงเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า

และยอมเสี่ยงชีวิตช่วยเพื่อนร่วมชาติที่ถูกกดขี่

ให้พ้นจากหายนะที่คุกคามเขาอยู่”

ประชาชนทุกคนตอบว่า “อาเมน อาเมน”

13 a สำนวนแปลภาษาละตินฉบับ Vulgata ให้นางยูดิธกล่าวขอบคุณพระเจ้าดังต่อไปนี้ แทนข้อ 16 ว่า “ขอองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงพระเจริญ เพราะทูตสวรรค์ของพระองค์ปกป้องข้าพเจ้า เมื่อข้าพเจ้าเข้าไปพบโฮโลเฟอร์เนส พักอยู่กับเขา และกลับมา องค์พระผู้เป็นเจ้าไม่ทรงอนุญาตให้ผู้รับใช้ของพระองค์ต้องเป็นมลทิน แต่ทรงนำข้าพเจ้ากลับมาอย่างบริสุทธิ์ ปราศจากบาป มีความยินดีที่ได้ชัยชนะ หนีมาได้ และปลดปล่อยท่านทั้งหลาย ท่านทั้งหลายจงขอบพระคุณพระองค์เถิด เพราะพระองค์พระทัยดี ความรักมั่นคงของพระองค์ดำรงอยู่เป็นนิตย์  (สดด 136:1)

V. ชัยชนะ

 

ชาวยิวเข้าโจมตีค่ายชาวอัสซีเรีย

14    1นางยูดิธบอกเขาทั้งหลายว่า “พี่น้อง โปรดฟังข้าพเจ้าเถิด จงนำศีรษะนี้ไปแขวนไว้ที่กำแพงเมือง 2พรุ่งนี้ เมื่อดวงอาทิตย์ขึ้นส่องแสงเหนือแผ่นดิน ทุกคนจงจับอาวุธ และชายฉกรรจ์ทุกคนจงออกไปจากเมือง จงแต่งตั้งผู้นำคนหนึ่ง ทำเหมือนกับว่ากำลังลงไปโจมตีด่านแรกของกองทัพอัสซีเรียบนที่ราบ แต่จริงๆแล้วไม่ต้องลงไปจนถึงที่นั่น 3ชาวอัสซีเรียจะจับอาวุธ รีบเข้าค่ายไปปลุกบรรดานายทหาร นายทหารจะรีบไปที่กระโจมของโฮโลเฟอร์เนส เมื่อพบว่าเขาตายแล้วก็จะตกใจกลัว และจะหนีไปต่อหน้าท่าน 4แล้วท่านและผู้อาศัยอยู่ในแผ่นดินอิสราเอลทั้งหมดก็จะไล่ตามและฆ่าฟันเขาตามทาง”

          5”แต่ก่อนจะทำเช่นนี้ จงเรียกอาคิออร์มาพบข้าพเจ้า เพื่อเขาจะได้เห็นและจำหน้าผู้ที่ดูหมิ่นประชากรอิสราเอลและส่งเขามาหาเรา เพื่อจะให้เราฆ่าเขา” 6เขาทั้งหลายจึงเรียกอาคิออร์มาจากบ้านของอุสซียาห์ เมื่ออาคิออร์มาถึงและเห็นศีรษะของโฮโลเฟอร์เนสในมือของชายคนหนึ่งที่มาชุมนุม เขาก็เป็นลมล้มลงกับพื้น 7เมื่อประชาชนพยุงเขาขึ้นมาแล้ว เขาก็กราบลงแทบเท้าของนางยูดิธ พูดว่า

          “ขอท่านจงได้รับพระพรจากชาวยูดาห์ทุกบ้าน

          และจากชนทุกชาติ

          ผู้ใดได้ยินชื่อของท่าน

          จะรู้สึกหวั่นไหว”

          8”บัดนี้ จงเล่าให้ข้าพเจ้าฟังทุกสิ่งที่ท่านได้ทำในวันเหล่านี้เถิด” นางยูดิธก็เล่าให้เขาฟังต่อหน้าประชาชนถึงสิ่งที่นางได้ทำตั้งแต่วันที่นางออกไปจนถึงเวลาที่นางกำลังพูดอยู่ 9เมื่อนางเล่าจบ ประชาชนก็โห่ร้องแสดงความยินดีจนดังสนั่นไปทั่วเมือง 10เมื่ออาคิออร์เห็นสิ่งที่พระเจ้าแห่งอิสราเอลทรงกระทำ ก็เชื่อมั่นในพระเจ้า รับพิธีสุหนัตเข้าเป็นสมาชิกของประชากรอิสราเอล และลูกหลานของเขายังเป็นประชากรอิสราเอลจนถึงวันนี้”a

          11ครั้นรุ่งเช้า ชาวเมืองเบธูเลียนำศีรษะของโฮโลเฟอร์เนสไปแขวนไว้บนกำแพงเมือง ทุกคนถืออาวุธเดินลงไปตามลาดเขาเป็นกลุ่มๆ 12เมื่อชาวอัสซีเรียเห็นเข้า ก็ส่งคนไปบอกหัวหน้าของตน บรรดาหัวหน้าจึงไปบอกผู้บังคับบัญชากองพันและนายทหารอื่นๆ 13เขาเหล่านี้จึงไปชุมนุมกันหน้ากระโจมของโฮโลเฟอร์เนส และบอกผู้รับใช้ต้นห้องว่า “จงไปปลุกเจ้านายของเราเถิด เพราะทาสเหล่านั้นกล้าลงมาทำศึกกับเรา เขาจะได้ถูกทำลายล้างโดยสิ้นเชิง” 14บาโกอัสเข้าไปข้างใน เคาะที่ทางเข้ากระโจม เพราะคิดว่าโฮโลเฟอร์เนสกำลังนอนอยู่กับนางยูดิธ 15เมื่อไม่มีเสียงตอบ เขาก็เปิดม่านเข้าไปในห้องนอน พบโฮโลเฟอร์เนสนอนอยู่บนพื้นเป็นศพไม่มีศีรษะ 16เขาจึงตะโกนเสียงดัง ร้องไห้สะอึกสะอื้น คร่ำครวญและฉีกเสื้อผ้าแสดงความทุกข์ 17รีบไปยังกระโจมที่นางยูดิธอาศัยอยู่ เมื่อไม่พบนาง เขาก็วิ่งไปหาพวกทหาร ร้องว่า 18”พวกทาสเป็นกบฏ หญิงฮีบรูเพียงคนเดียวนำความอับอายมาสู่ราชวงศ์ของกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ มาดูสิ โฮโลเฟอร์เนสนอนตายหัวขาดอยู่บนพื้น”

          19เมื่อบรรดาผู้บังคับบัญชากองทัพชาวอัสซีเรียได้ยินดังนี้ ก็พากันฉีกเสื้อผ้าแสดงความทุกข์และตกใจกลัวอย่างยิ่ง เสียงร่ำไห้และคร่ำครวญดังก้องไปทั่วค่าย

14 a “และลูกหลาน.......จนถึงวันนี้” แปลตามตัวอักษรว่า “จนถึงวันนี้” ซึ่งเป็นวลีที่ใช้บ่อยๆในเรื่องเล่าหลายเรื่องในพระคัมภีร์ เพื่อบอกว่าเหตุการณ์ที่กำลังกล่าวถึงยังมีผลคงอยู่จนถึงสมัยของผู้เขียน - วลี “จนถึงวันนี้” ที่นี่มิได้หมายความว่าอาคิออร์ยังมีชีวิตอยู่ในสมัยของผู้เขียน แต่ลูกหลานของเขาซึ่งเป็นชาวอัมโมนยังถูกนับเป็นสมาชิกของประชากรอิสราเอล ซึ่งดูจะขัดกับข้อกำหนดใน ฉธบ 23:4-5

15    1บรรดาทหารที่อยู่ในกระโจมได้ยินเรื่องที่เกิดขึ้นก็ตกตะลึง 2กลัวจนตัวสั่น ไม่มีผู้ใดยอมอยู่ด้วยกัน ต่างหนีกระจัดกระจายไปทุกทิศทางตามถนนในหุบเขาและภูเขา 3ทหารที่รักษาการณ์อยู่ในแถบภูเขารอบเมืองเบธูเลียก็หนีไปด้วย นักรบชาวอิสราเอลทุกคนบุกเข้าโจมตีข้าศึก 4อุสซียาห์ส่งผู้ถือสารไปยังเมืองเบโทมัสธาอิม เบบัย โคบา โคลา และทั่วดินแดนอิสราเอล เพื่อแจ้งเรื่องที่เกิดขึ้นให้รู้ ชักชวนทุกคนให้รีบไล่ตามศัตรูและทำลายล้างให้หมดสิ้น  5เมื่อชาวอิสราเอลได้ยินดังนี้ ก็พร้อมใจกันเข้าโจมตีศัตรู ฆ่าฟันเขาไปจนถึงเมืองโคบา แม้กระทั่งชาวกรุงเยรูซาเล็มและผู้อาศัยอยู่ในแถบภูเขาaก็เข้าร่วมโจมตีด้วย เพราะได้รับข่าวแจ้งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในค่ายของข้าศึก ชาวแคว้นกีเลอาดและชาวแคว้นกาลิลีเข้าสกัดกองทัพของข้าศึกที่กำลังถอยหนี ฆ่าศัตรูจำนวนมาก ไล่ตามไปจนถึงเมืองดามัสกัสและบริเวณรอบๆ 6ส่วนชาวเมืองเบธูเลียที่เหลืออยู่ก็บุกเข้าไปในค่ายของชาวอัสซีเรีย ปล้นสะดมและยึดข้าวของที่มีค่าได้จำนวนมาก 7ชาวอิสราเอลที่กลับจากการฆ่าฟันศัตรูเข้ายึดสิ่งของที่ยังเหลืออยู่มากมาย ส่วนชาวเมืองและหมู่บ้านแถบภูเขาและที่ราบก็ยึดของเชลยได้ เพราะที่นั่นมีของมากมาย

การขอบพระคุณ

                8มหาสมณะโยอาคิมและสภาผู้อาวุโสของชาวอิสราเอลซึ่งอยู่ที่กรุงเยรูซาเล็ม มาดูกิจการยิ่งใหญ่ที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงกระทำแก่อิสราเอล และมาพบนางยูดิธเพื่อแสดงความยินดีกับนาง 9เมื่อมาถึงบ้าน เขาพร้อมใจอวยพรนางเป็นเสียงเดียวกันว่า

          “ท่านเป็นสิริรุ่งโรจน์ของกรุงเยรูซาเล็ม

          เป็นความภาคภูมิใจยิ่งใหญ่ของอิสราเอล

          ท่านเป็นศักดิ์ศรีรุ่งโรจน์ของชนชาติของเรา

          10ท่านทำกิจการทั้งหมดนี้ด้วยมือของท่าน

          ท่านได้สร้างความดีแก่อิสราเอล

          องค์พระผู้เป็นเจ้าพอพระทัยกิจการที่ท่านทำ

          ขอองค์พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงสรรพานุภาพประทานพระพรแก่ท่านตลอดไป”

และประชาชนทุกคนพูดเสริมว่า “อาเมน”

          11ประชาชนทุกคนเข้าปล้นค่ายของข้าศึกตลอดเวลาสามสิบวัน เขามอบกระโจมของโฮโลเฟอร์เนสแก่นางยูดิธ พร้อมกับเครื่องเงิน เตียงนอน ถ้วยชามและเครื่องเรือนทั้งหมด นางก็รับไว้ บรรทุกสิ่งของบางอย่างบนหลังล่อ จัดเตรียมเกวียนมาขนข้าวของอื่นๆ 12หญิงชาวอิสราเอลทุกคนต่างวิ่งออกมาดูนาง สรรเสริญและเต้นรำเป็นเกียรติแก่นาง นางหยิบกิ่งไม้พันด้วยเถาวัลย์มาถือไว้ แจกให้แก่บรรดาหญิงที่ห้อมล้อมนางอยู่b 13นางและเพื่อนหญิงนำกิ่งมะกอกเทศมาสวมเป็นมงกุฎ นางเต้นรำนำหน้าหญิงทุกคนโดยมีขบวนประชาชนทั้งหมดตามมา ชายชาวอิสราเอลทุกคนต่างถืออาวุธ สวมมาลัยและร้องเพลงสรรเสริญพระเจ้า 14นางยูดิธเริ่มร้องเพลงขอบคุณพระเจ้าในหมู่ชาวอิสราเอลทั้งหมด ประชาชนทุกคนต่างร้องรับเพลงสรรเสริญบทนี้ด้วยc

15 a “แถบภูเขา” หมายถึงดินแดนแถบภูเขาของแคว้นยูเดีย

b การเดินแห่เป็นขบวนเช่นนี้เป็นที่รู้จักดีในหมู่ชาวอิสราเอล แต่การสวมมงกุฎใบมะกอกเทศในข้อ 13 เป็นธรรมเนียมของชาวกรีก เช่นเดียวกับการถือท่อนไม้พันด้วยเถาวัลย์ เราพบธรรมเนียมนี้ในพระคัมภีร์เพียงครั้งเดียวใน 2 มคบ 10:7 ส่วนขนบประเพณีของชาวยิวเพื่อแสดงความยินดีคือ “การโบกกิ่งไม้” มากกว่า ดู ลนต 23:40; ยน 12:13; วว 7:9

c เพลงสรรเสริญพระเจ้าบทนี้มีรูปแบบคล้ายเพลงสดุดีประเภท “คำสรรเสริญ” ข้อ 13-16 ใช้สำนวนที่พบบ่อยๆในเพลงสดุดี

16    1นางยูดิธร้องว่า

          “จงขับร้องเพลงสรรเสริญพระเจ้าด้วยรำมะนา

          จงขับร้องถวายองค์พระผู้เป็นเจ้าด้วยเสียงฉาบ

          จงขับร้องเพลงสดุดีประสานเพลงสรรเสริญพระองค์

          จงเทิดเกียรติและเรียกขานพระนามของพระองค์

          2เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าคือพระเจ้าผู้ทรงพิชิตสงคราม

          ทรงตั้งaกระโจมประทับในหมู่ประชากรของพระองค์

          ทรงช่วยข้าพเจ้าให้พ้นเงื้อมมือของผู้เบียดเบียนข้าพเจ้า

          3ชาวอัสซีเรียลงมาจากภูเขาทางเหนือ

          ลงมาพร้อมกับกำลังพลนับหมื่นนับแสน

          มีจำนวนมากจนกั้นธารน้ำไว้ได้

          ม้าของเขามากมายจนปกคลุมเนินเขาต่างๆ

          4เขาขู่จะเผาดินแดนของข้าพเจ้า

          จะฆ่าคนหนุ่มของข้าพเจ้าด้วยดาบ

          จะฟาดเด็กทารกของข้าพเจ้าลงกับพื้น

          จะยึดเด็กๆของข้าพเจ้าเป็นของเชลย

          จะจับหญิงสาวของข้าพเจ้าไป

          5แต่องค์พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงสรรพานุภาพทรงผลักไสเขา

          ด้วยมือของหญิงคนหนึ่ง

          6ผู้ทรงพลังของเขาไม่ได้ล้มลงเพราะชายหนุ่ม

          มิใช่มนุษย์ร่างใหญ่ที่โค่นเขาลง

          มิใช่มนุษย์ยักษ์ที่โจมตีเขา

          แต่เป็นนางยูดิธ บุตรสาวของเมรารี

          ที่ใช้ใบหน้าสวยงามทำให้เขาหมดกำลัง

          7นางถอดเสื้อชุดหญิงม่าย

          เพื่อเชิดชูผู้ตกทุกข์ได้ยากในอิสราเอล

          นางเจิมใบหน้าด้วยน้ำมันหอม

          8ผูกผมด้วยผ้าประดับ

          สวมเสื้อผ้าป่านเพื่อทำให้เขาหลงใหล

          9รองเท้าสานของนางสะดุดตาของเขา

          ความงามของนางผูกมัดใจของเขา

          แต่ดาบตัดคอของเขา

          10ชาวเปอร์เซียกลัวความกล้าหาญของนางจนตัวสั่น

          ชาวมีเดียหวั่นไหวในความห้าวหาญของนาง

          11คนต่ำต้อยของข้าพเจ้าโห่ร้องสัญญาณรบ เขาก็ตกใจกลัว

          ผู้อ่อนแอของข้าพเจ้าร้องตะโกน เขาก็กลัวจนตัวสั่น

          เมื่อได้ยินเสียงสัญญาณรบ เขาก็หนีไป

          12เขาถูกลูกๆของหญิงทาสแทงทะลุ

          ถูกแทงเหมือนลูกคนหนีทัพ

          เขาล้มตาย เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าของข้าพเจ้าทรงสู้รบกับเขา

          13ข้าพเจ้าจะขับร้องเพลงบทใหม่ถวายพระเจ้าของข้าพเจ้า

          ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า พระองค์ทรงยิ่งใหญ่ ทรงรุ่งโรจน์

          ทรงพระอานุภาพน่าพิศวง ไม่มีใครชนะพระองค์ได้

          14สิ่งสร้างทั้งมวลจงรับใช้พระองค์

          เพราะพระองค์ตรัส ทุกสิ่งก็ถูกเนรมิตขึ้นมา

          ทรงส่งพระจิตของพระองค์ ทุกสิ่งก็ถูกสร้างขึ้น

          ไม่มีผู้ใดต้านทานพระสุรเสียงของพระองค์ได้

          15เฉพาะพระพักตร์พระองค์ ภูเขาจะสั่นสะเทือนจนถึงราก

          และถูกโยนลงไปในทะเล

          หินผาจะละลายเหมือนขี้ผึ้ง

          แต่สำหรับผู้ที่ยำเกรงพระองค์

          พระองค์ยังทรงสำแดงพระกรุณาเสมอ

          16แม้กลิ่นหอมของเครื่องบูชาเป็นสิ่งเล็กน้อยเฉพาะพระพักตร์

          และไขมันของเครื่องเผาบูชาเป็นสิ่งไร้ค่า

          แต่ผู้ยำเกรงองค์พระผู้เป็นเจ้าย่อมเป็นผู้ยิ่งใหญ่ตลอดไป

          17วิบัติจงเกิดแก่ชนชาติที่ลุกขึ้นต่อต้านประชากรของข้าพเจ้า

          องค์พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงสรรพานุภาพจะทรงลงโทษเขาในวันพิพากษา

          พระองค์จะทรงส่งไฟและหนอนมาไชเนื้อหนังของเขา

          เขาจะร้องไห้ด้วยความเจ็บปวดตลอดไป”

          18เมื่อประชาชนมาถึงกรุงเยรูซาเล็ม เขาก็กราบนมัสการพระเจ้า ชำระตนให้พ้นมลทิน แล้วถวายเครื่องเผาบูชา ถวายเครื่องถวายด้วยใจสมัคร และถวายบรรณาการ 19นางยูดิธถวายสิ่งของทั้งหมดของโฮโลเฟอร์เนส ซึ่งประชาชนมอบให้นาง รวมทั้งผ้าดาดที่นางนำมาจากเตียงของเขา เป็นเครื่องถวายแก้บนแด่พระเจ้า 20ประชาชนยังฉลองต่อไปที่กรุงเยรูซาเล็มหน้าพระวิหารเป็นเวลาสามเดือน นางยูดิธอยู่กับเขาด้วย

นางยูดิธสิ้นชีวิตในวัยชรา

          21เมื่อเสร็จสิ้นวันฉลองเช่นนี้แล้ว ทุกคนก็กลับไปยังถิ่นฐานของตน นางยูดิธกลับไปที่เมืองเบธูเลียและอยู่ในที่ดินซึ่งเป็นทรัพย์สมบัติของตน ชื่อเสียงของนางเป็นที่เลื่องลือไปทั่วแผ่นดินตลอดชีวิตของนาง 22ชายหลายคนปรารถนาจะแต่งงานกับนาง แต่นางไม่ยอมแต่งงานกับผู้ใดตลอดชีวิต หลังจากมนัสเสห์สามีของนางสิ้นชีวิตและถูกฝังไว้กับบรรพบุรุษ 23นางมีชีวิตในบ้านของสามี มีอายุยืนนานจนถึงหนึ่งร้อยห้าปี b  ปล่อยหญิงรับใช้ให้เป็นอิสระ นางยูดิธสิ้นชีวิตที่เมืองเบธูเลียและถูกฝังไว้ในคูหาของมนัสเสห์สามีของนาง 24ประชากรอิสราเอลไว้ทุกข์ให้นางเป็นเวลาเจ็ดวัน ก่อนตาย นางได้แจกจ่ายทรัพย์สมบัติทั้งหมดให้ญาติพี่น้องของมนัสเสห์สามี และให้ญาติพี่น้องของตน

          25ตลอดชีวิตของนางยูดิธ และเป็นเวลานานหลังจากที่นางสิ้นชีวิตไปแล้ว ไม่มีผู้ใดรเบียดเบียนชาวอิสราเอลอีกเลย

16 a “ทรงตั้งกระโจม” แปลตามสำนวนแปลโบราณภาษาละตินและภาษาซีเรียค ต้นฉบับภาษากรีกไม่สมบูรณ์ อ่านว่า “ยังค่าย”

b อายุยืนยาวของนางยูดิธชวนให้คิดถึงอายุยืนยาวของบรรพบุรุษ ดู ปฐก 23:1; 35:28; 50:26

เช้าวันใหม่ใส่ใจพระวาจา

Lectio Divina-Daily 2022

Sinapis เมล็ดพันธุ์แห่งพระวาจา

เช้าวันเสาร์เราคิดถึงพระวาจา

Video อบรมพระคัมภีร์

ความรู้พื้นฐานพระคัมภีร์และหนังสือปฐมกาล

หนังสืออพยพและเลวีนิติ

หนังสือกันดารวิถีและเฉลยธรรมบัญญัติ

หนังสือโยชูวา ผู้วินิจฉัยและนางรูธ

หนังสือซามูแอล ฉบับที่ 1 และ ฉบับที่ 2

หนังสือพงศ์กษัตริย์ ฉบับที่ 1 และ ฉบับที่ 2

หนังสือพงศาวดาร เอสราและเนหะมีย์

หนังสือโทบิต ยูดิธ เอสเธอร์และมัคคาบี 1 และ 2

ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับประกาศกและประกาศกอาโมส

หนังสือประกาศกโฮเชยาและมีคาห์

หนังสือประกาศกอิสยาห์

หนังสือประกาศกโยนาห์และประกาศกเศฟันยาห์

หนังสือประกาศกนาฮูมและฮาบากุก

หนังสือประกาศกเยเรมีห์-เพลงคร่ำครวญ-บารุค

หนังสือประกาศกเอเสเคียลและดาเนียล

บทเทศน์บนภูเขา มธ. 5-7

พระวรสารนักบุญมัทธิว 10,13,18

พระวรสารนักบุญมาระโก

หนังสือกิจการอัครสาวก