"เราประกาศให้ท่านรู้ถึงสิ่งที่เราได้เห็น" (1ยน. 1:3)

หนังสือบารุค

  1. บทที่ 1
  2. บทที่ 2
  3. บทที่ 3
  4. บทที 4
  5. บทที่ 5
  6. บทที่ 6

หนังสือบารุค

 

อารัมภบท

บารุคกับชาวยิวที่กรุงบาบิโลน a
1.           1ต่อไปนี้เป็นข้อความของหนังสือที่บารุค บุตรของเนริยาห์ บุตรของมาอาเสยาห์ บุตรของเศเดคียาห์ บุตรของฮาสาดียาห์ บุตรของฮิลคียาห์ เขียนที่กรุงบาบิโลน 2วันที่เจ็ดของเดือน ซึ่งตรงกับวันครบรอบห้าปีb ที่ชาวเคลเดียยึดกรุงเยรูซาเล็มได้แล้วจุดไฟเผาเมือง

          3บารุคอ่านข้อความในหนังสือม้วนนี้ถวายกษัตริย์เยโคนียาห์c โอรสของกษัตริย์เยโฮยาคิมแห่งยูดาห์ และต่อหน้าประชาชนทั้งปวงที่มาประชุมกันเพื่อฟัง 4ได้แก่บรรดาเจ้านาย พระโอรสทั้งหลายd บรรดาผู้อาวุโสและประชาชนทั้งใหญ่น้อยซึ่งอยู่ที่กรุงบาบิโลน ริมแม่น้ำ “ซุด” 5เมื่อได้ยินถ้อยคำเหล่านี้ทุกคนก็ร้องไห้ จำศีลอดอาหารและอธิษฐานภาวนาต่อองค์พระผู้เป็นเจ้า                 6แล้วรวบรวมเงินตามที่แต่ละคนจะให้ได้  7ส่งไปยังกรุงเยรูซาเล็มให้แก่สมณะเยโฮยาคิมe บุตรของฮิลคียาห์ บุตรของชัลลุม และให้แก่สมณะอื่นๆ รวมทั้งแก่ประชากรที่อยู่กับเยโฮยาคิมที่กรุงเยรูซาเล็ม 8นอกจากนี้ในวันที่สิบของเดือนสิวาน บารุคยังได้รับภาชนะศักดิ์สิทธิ์ที่ถูกยึดไปจากพระวิหาร เพื่อนำไปคืนfแก่แผ่นดินยูดาห์  ภาชนะเงินเหล่านี้ กษัตริย์เศเดคียาห์ โอรสของกษัตริย์โยสิยาห์แห่งยูดาห์ทรงสั่งให้ทำไว้ 9หลังจากที่กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์แห่งบาบิโลนทรงจับกษัตริย์เยโคนียาห์จากกรุงเยรูซาเล็มไปเป็นเชลยที่กรุงบาบิโลนแล้ว พร้อมกับบรรดาเจ้านาย ช่างฝีมือg ผู้มีอำนาจ และสามัญชน

          10เขาทั้งหลายส่งข่าวไปด้วยว่า “เราส่งเงินจำนวนนี้มาให้ท่านทั้งหลายเพื่อจัดหาสัตว์มาเผาเป็นเครื่องบูชา จัดการถวายบูชาชดเชยบาป ถวายกำยานและธัญบูชาบนแท่นบูชาขององค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของเรา 11จงอธิษฐานภาวนาเพื่อกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์แห่งกรุงบาบิโลน และเพื่อกษัตริย์เบลชัสซาร์พระโอรส ให้ทรงมีพระชนมายุยืนนานอยู่ชั่วฟ้าดินสลาย 12จงอธิษฐานภาวนาขอให้องค์พระผู้เป็นเจ้าประทานพละกำลังและทรงส่องสว่างดวงตาของเรา เพื่อเราจะได้มีชีวิตอยู่ภายใต้การคุ้มครองของกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์แห่งกรุงบาบิโลน และใต้ความคุ้มครองของกษัตริย์เบลชัสซาร์พระโอรส รับใช้ทั้งสองพระองค์เป็นเวลานานและเป็นที่โปรดปรานของทั้งสองพระองค์ 13จงอธิษฐานภาวนาขอองค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของเราสำหรับพวกเราด้วย เพราะเราได้ทำบาปผิดต่อองค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของเรา ความกริ้วและพระพิโรธขององค์พระผู้เป็นเจ้ายังคงอยู่กับเราจนถึงวันนี้ 14จงอ่านหนังสือม้วนนี้ที่เราส่งมาให้คนทั้งปวงที่มาประชุมกันในพระวิหารขององค์พระผู้เป็นเจ้าในวันฉลองh และในวันที่เหมาะสม 15ท่านทั้งหลายต้องอธิษฐานภาวนาดังนี้”

I. คำอธิษฐานภาวนาของผู้ถูกเนรเทศ

การสารภาพบาป

            “องค์พระผู้เป็นเจ้าของเราทรงความเที่ยงธรรม ส่วนเราต้องอับอายดังที่เห็นได้ในวันนี้ ชาวยูดาห์และชาวกรุงเยรูซาเล็มก็ต้องอับอาย 16รวมทั้งบรรดากษัตริย์ บรรดาผู้ปกครอง บรรดาสมณะ บรรดาประกาศกและบรรพบุรุษของเราด้วย 17เพราะเราได้ทำบาปผิดต่อองค์พระผู้เป็นเจ้า 18ไม่เชื่อฟังพระองค์ ไม่ฟังพระสุรเสียงขององค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของเรา และไม่เดินตามบทบัญญัติที่องค์พระผู้เป็นเจ้าประทานแก่เรา 19ตั้งแต่วันที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงนำบรรพบุรุษของเราออกจากแผ่นดินอียิปต์จนถึงทุกวันนี้ เราไม่เชื่อฟังองค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของเรา  เราละเลยiไม่ยอมฟังพระสุรเสียงของพระองค์ 20เหตุร้ายและคำสาปแช่งที่องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสสำทับไว้กับโมเสสผู้รับใช้ของพระองค์ เมื่อทรงนำบรรพบุรุษของเราออกจากแผ่นดินอียิปต์เพื่อประทานแผ่นดินที่มีน้ำนมและน้ำผึ้งไหลอย่างบริบูรณ์ ยังคงติดตามเรามาจนถึงทุกวันนี้ 21เราทั้งหลายไม่ฟังพระสุรเสียงขององค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของเรา ซึ่งตรัสไว้โดยทางประกาศกที่ทรงส่งมาพบเรา 22เราแต่ละคนกลับทำตามความคิดจากใจชั่วร้ายของเรา ไปนับถือเทพเจ้าอื่นๆ และทำความชั่วเฉพาะพระพักตร์องค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของเรา”

1 a หนังสือนี้รวบรวมข้อความมาจากหลายแหล่ง ดู “ความรู้ทั่วไป....”

b “ครบรอบห้าปี” คงจะเป็นปี 582 ก.ค.ศ. – ตัวบทเขียนว่า “วันที่เจ็ดของเดือน” แต่ไม่บอกว่าเดือนอะไร คงจะเป็น “เดือนที่ห้า” ด้วย เพราะกรุงเยรูซาเล็มแตกในเดือนนั้น (เทียบ 2 พกษ 25:8) -- ชาวยิวทั้งในถิ่นเนรเทศและที่ยังตกค้างอยู่ในปาเลสไตน์คงทำพิธีระลึกถึงเหตุการณ์น่าเศร้านี้เป็นประจำ ดู ศคย 7:3

c “กษัตริย์เยโคนียาห์” ยังทรงพระนามอีกว่า “เยโฮยาคิน”

d “พระราชโอรสทั้งหลาย” คำภาษากรีกอาจหมายถึงทั้ง “พระราชโอรส” และ “ข้าราชบริพารชั้นสูง” ด้วย ดู ยรม 36:26; 38:6.

e “สมณะเยโฮยาคิม” คงเป็นสมณะชั้นรองๆที่ยังอยู่ที่กรุงเยรูซาเล็ม (เทียบ 2 พกษ 25:18) ส่วนมหาสมณะเยโฮซาดัคถูกจับเป็นเชลยไปกรุงบาบิโลนแล้ว (1 พศด 5:41) หลังจากที่พระวิหารถูกทำลายในปี 587 ก.ค.ศ. แม้ว่าที่กรุงเยรูซาเล็มไม่มีพระวิหาร แต่ชาวยิวบางคนคงยังมาประชุมกันประกอบพิธีกรรมในโอกาสต่างๆท่ามกลางซากปรักหักพังของพระวิหาร -- พระคัมภีร์จะไม่กล่าวถึงสมณะเยโฮยาคิมผู้นี้อีกเลย

f “นำไปคืน” หนังสือประวัติศาสตร์เล่าว่าภาชนะศักดิ์สิทธิ์ที่ถูกชาวบาบิโลนยึดมา ถูกนำมาคืนให้พระวิหารที่กรุงเยรูซาเล็มในรัชสมัยของกษัตริย์ไซรัสเท่านั้น (ดู อสร 1:7-11)

g “ช่างฝีมือ” – แปลตาม ยรม 24:1; ต้นฉบับภาษากรีกว่า “ทาส”

h “วันฉลอง” คงจะเป็นการฉลองเทศกาลอยู่เพิง (ดู อพย 23:14 เชิงอรรถ d) เมื่อประชาชนมาชุมนุมกัน 2 ครั้ง คือในวันแรกและวันที่แปดของเทศกาล (ดู ลนต 23:35-36)

i “ละเลย” – แปลโดยคาดคะเน – ต้นฉบับว่า “ปฏิบัติโดยไม่คิด”

 2.        1“องค์พระผู้เป็นเจ้าจึงทรงทำตามพระวาจาที่ตรัสคาดโทษพวกเราไว้ คาดโทษบรรดาผู้วินิจฉัยที่ปกครองชาวอิสราเอล คาดโทษบรรดากษัตริย์และเจ้านายของเรา และคาดโทษชาวอิสราเอลและชาวยูดาห์ 2ภายใต้ท้องฟ้ายังไม่เคยปรากฏเหตุร้ายเช่นที่ทรงกระทำที่กรุงเยรูซาเล็มตามที่มีเขียนไว้ในธรรมบัญญัติของโมเสส 3พวกเราแต่ละคนจะต้องกินแม้แต่เนื้อบุตรชายหญิงของตน 4องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงมอบเขาทั้งหลายไว้ใต้อำนาจของอาณาจักรต่างๆโดยรอบ ให้เป็นที่เยาะเย้ยและดูหมิ่นของชนชาติต่างๆที่พระองค์ทรงบันดาลให้เขากระจัดกระจายไปอยู่ด้วย 5เขาเคยอยู่เหนือผู้อื่น แต่กลับต้องเป็นทาส เพราะพวกเราได้ทำบาปผิดต่อองค์พระผู้เป็นเจ้า ไม่ฟังพระสุรเสียงของพระองค์

          6องค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของเราแต่พระองค์เดียวทรงความเที่ยงธรรม ส่วนพวกเราแม้ทุกวันนี้ยังต้องอับอายเช่นเดียวกับบรรพบุรุษของเรา 7เหตุร้ายทั้งปวงที่องค์พระผู้เป็นเจ้าเคยตรัสไว้ก็เกิดขึ้นกับเราแล้ว 8เราไม่ยอมวอนขอองค์พระผู้เป็นเจ้า แต่ละคนไม่ยอมเลิกทำตามใจชั่วร้ายของตน 9องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงรอคอยเวลาที่จะลงโทษ และทรงลงโทษเราเพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงความเที่ยงธรรม และกิจการทั้งหลายที่ทรงบัญชาให้เราทำก็ถูกต้อง 10แต่เราไม่ยอมฟังพระสุรเสียงของพระองค์ ไม่ยอมปฏิบัติตามบทบัญญัติที่ทรงกำหนดไว้ให้เราทำ

คำอธิษฐานภาวนา

            11“บัดนี้ ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าแห่งอิสราเอล พระองค์ทรงนำประชากรของพระองค์ออกจากแผ่นดินอียิปต์ด้วยพระหัตถ์ทรงฤทธิ์ ด้วยเครื่องหมายอัศจรรย์และปาฏิหาริย์ ด้วยพระอานุภาพยิ่งใหญ่และพระกรที่ทรงพลัง พระองค์จึงทรงพระนามรุ่งเรืองจนถึงทุกวันนี้ 12ข้าพเจ้าทั้งหลายได้ทำบาป ขาดศรัทธา ได้ฝ่าฝืนบทบัญญัติทั้งปวงของพระองค์ ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของข้าพเจ้าทั้งหลาย 13ขอทรงระงับพระพิโรธต่อข้าพเจ้าทั้งหลายเถิด เพราะข้าพเจ้าทั้งหลายเหลืออยู่เป็นจำนวนน้อยในหมู่ชนชาติทั้งหลาย ที่พระองค์ทรงบันดาลให้ข้าพเจ้าทั้งหลายต้องกระจัดกระจายไปอยู่ด้วย 14ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า โปรดทรงฟังคำอธิษฐานและคำวอนขอของข้าพเจ้าทั้งหลาย โปรดทรงช่วยให้เป็นอิสระเพราะเห็นแก่พระองค์เถิด ขอทรงบันดาลให้ได้รับความโปรดปรานจากผู้ที่นำข้าพเจ้าทั้งหลายมาเป็นเชลย 15เพื่อคนทั่วแผ่นดินจะได้รับรู้ว่าพระองค์ทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของข้าพเจ้าทั้งหลาย และรู้ด้วยว่าชาวอิสราเอลและเชื้อสายทั้งหมดเรียกขานพระนามของพระองค์ 16ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า โปรดทอดพระเนตรจากที่ประทับศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์ และทรงคิดถึงข้าพเจ้าทั้งหลายเถิด ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า โปรดเงี่ยพระกรรณฟังข้าพเจ้าทั้งหลายเถิด 17ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า โปรดทอดพระเนตรและทรงระลึกว่าบรรดาผู้ตายที่อยู่ในแดนมรณะและไม่มีชีวิต สรรเสริญและขอบพระคุณพระองค์ไม่ได้ 18แต่ผู้มีชีวิตที่ต้องทนทุกข์หนัก เดินคอตก อ่อนระโหย มีดวงตาเศร้าหมองและหิวโหยa จะสรรเสริญและขอบพระคุณพระองค์ได้ ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า

          19ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของข้าพเจ้าทั้งหลาย ข้าพเจ้าวอนขอพระกรุณา มิใช่เพราะบุญกุศลของบรรพบุรุษหรือกษัตริย์ของข้าพเจ้า 20แต่เพราะพระองค์ทรงพระพิโรธเคืองพระทัยต่อข้าพเจ้าทั้งหลาย ดังที่เคยตรัสไว้ทางบรรดาประกาศกผู้รับใช้ของพระองค์ว่า 21“องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสดังนี้ ‘จงก้มหน้ารับใช้กษัตริย์แห่งกรุงบาบิโลน แล้วท่านทั้งหลายจะได้อยู่ในแผ่นดินที่เรามอบให้แก่บรรพบุรุษของท่าน 22แต่ถ้าท่านไม่ยอมฟังเสียงขององค์พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงสั่งให้รับใช้กษัตริย์แห่งกรุงบาบิโลน 23เราจะทำให้เมืองต่างๆแห่งยูดาห์และถนนของกรุงเยรูซาเล็มไม่มีเสียงแสดงความรื่นเริงยินดี ไม่มีเสียงของเจ้าบ่าวเจ้าสาว ทั่วแผ่นดินจะร้างไม่มีผู้คนอาศัย’ 24แต่ข้าพเจ้าทั้งหลายไม่ได้ฟังพระสุรเสียง ไม่ยอมรับใช้กษัตริย์แห่งกรุงบาบิโลน พระองค์จึงทรงทำตามที่ตรัสไว้ทางบรรดาประกาศกผู้รับใช้ของพระองค์ว่า พระอัฐิของกษัตริย์และกระดูกของบรรพบุรุษจะถูกนำออกไปจากหลุมฝังศพ 25และบัดนี้กระดูกเหล่านั้นก็ถูกทิ้งไว้ตากแดดตอนกลางวัน และตากน้ำค้างตอนกลางคืน เขาทั้งหลายต้องตายด้วยความทรมานอย่างสาหัสด้วยความหิวโหย ด้วยคมดาบและโรคระบาด 26ส่วนพระวิหารสถานที่ประทับ ซึ่งประชากรมาเรียกขานพระนามของพระองค์ ก็ถูกทำลายดังที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ เพราะความชั่วร้ายของประชากรอิสราเอลและประชากรยูดาห์

          27ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของข้าพเจ้าทั้งหลาย พระองค์ทรงปฏิบัติต่อข้าพเจ้าตามพระกรุณาและความรักมั่นคงยิ่งใหญ่ของพระองค์ 28ดังที่เคยตรัสไว้ทางโมเสสผู้รับใช้ของพระองค์ ในวันที่ทรงบัญชาให้เขาเขียนธรรมบัญญัติต่อหน้าชาวอิสราเอล ตรัสว่า 29ถ้าท่านทั้งหลายไม่ยอมฟังเสียงของเรา ประชากรนี้แม้จะยิ่งใหญ่และมีจำนวนมากจะถูกตัดให้เหลือจำนวนน้อยในหมู่ประชาชนที่เราจะทำให้เขากระจัดกระจายไปอยู่ด้วย 30เรารู้ดีว่าเขาทั้งหลายจะไม่ยอมฟังเสียงของเรา เพราะเขาเป็นคนดื้อดึง แต่เขาจะกลับใจเมื่อต้องตกเป็นเชลยในต่างแดน 31เขาจะยอมรับรู้ว่าเราคือพระยาห์เวห์ พระเจ้าของเขา เราจะให้เขามีใจใหม่และมีหูที่ยอมฟัง 32เขาจะสรรเสริญเราและระลึกถึงนามของเราในแผ่นดินที่เขาถูกเนรเทศไปอยู่ 33เขาจะเลิกดื้อดึง เลิกประพฤติชั่วร้าย เมื่อระลึกถึงความประพฤติของบรรพบุรุษที่ได้ทำบาปผิดต่อเรา 34แล้วเราจะนำเขากลับสู่แผ่นดินซึ่งเราได้สาบานกับบรรพบุรุษของเขา คืออับราฮัม อิสอัคและยาโคบ เขาทั้งหลายจะครอบครองแผ่นดินนั้นอีก เราจะบันดาลให้เขาทวีจำนวนขึ้นและจะไม่ลดลงอีกเลย 35เราจะทำพันธสัญญาถาวรกับเขา เราจะเป็นพระเจ้าของเขา และเขาจะเป็นประชากรของเรา เราจะไม่ขับไล่อิสราเอลประชากรของเราออกไปจากแผ่นดินที่เรามอบให้เขาอีกเลย”

2 a “ผู้มีชีวิต.......หิวโหย” ข้อความนี้กล่าวพาดพิงถึงการดำเนินชีวิตปฏิบัติศาสนกิจของ “ผุ้ยากจน(ของพระยาห์เวห์)” พระองค์ทรงสัญญาจะประทานความรอดพ้นแก่บุคคลที่มีสภาพจิตใจเช่นนี้ (ดู ศฟย 2:3 เชิงอรรถ d)

3.      1“ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงสรรพานุภาพ พระเจ้าของอิสราเอล ข้าพเจ้าทั้งหลายเป็นทุกข์ใจ ร้องหาพระองค์ด้วยจิตใจตรอมตรม 2ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า โปรดทรงฟังและทรงพระเมตตาเถิด ข้าพเจ้าทั้งหลายได้ทำบาปผิดต่อพระองค์ 3พระองค์ทรงครองราชย์ตลอดนิรันดร ส่วนข้าพเจ้าทั้งหลายต้องพินาศอยู่เป็นนิตย์ 4ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงสรรพานุภาพ พระเจ้าของอิสราเอล โปรดทรงฟังคำอธิษฐานภาวนาของชาวอิสราเอลที่ใกล้จะตายa ชาวอิสราเอลเป็นบุตรหลานของผู้ที่ทำบาปผิดต่อพระองค์ เขาไม่เชื่อฟังพระสุรเสียงขององค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของเขา ความหายนะจึงตกแก่ข้าพเจ้าทั้งหลาย 5โปรดอย่าทรงระลึกถึงความชั่วร้ายของบรรพบุรุษของข้าพเจ้าทั้งหลาย แต่โปรดระลึกถึงพระอานุภาพและพระนามของพระองค์เถิด 6พระองค์ทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของข้าพเจ้าทั้งหลาย ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ข้าพเจ้าจะสรรเสริญพระองค์ 7เพราะพระองค์ทรงบันดาลให้ข้าพเจ้าทั้งหลายมีใจยำเกรงพระองค์และเรียกขานพระนามของพระองค์ ข้าพเจ้าทั้งหลายสรรเสริญพระองค์ในถิ่นเนรเทศ ข้าพเจ้าทั้งหลายได้กลับใจ ละทิ้งความชั่วร้ายของบรรพบุรุษผู้ทำบาปผิดต่อพระองค์ 8บัดนี้ ข้าพเจ้ายังอยู่ในถิ่นเนรเทศที่พระองค์ทรงบันดาลให้ข้าพเจ้าทั้งหลายแตกกระจัดกระจายไปอยู่ ข้าพเจ้าทั้งหลายต้องอับอาย ถูกสาปแช่งและถูกลงโทษเพราะกิจการชั่วร้ายทั้งหมดของบรรพบุรุษผู้ได้ละทิ้งองค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของข้าพเจ้าทั้งหลาย”

II. ปรีชาญาณเป็นพระพรที่พระเจ้าประทานแก่อิสราเอล

 

          9อิสราเอลเอ๋ย จงฟังบทบัญญัติที่ให้ชีวิต

          จงตั้งใจฟังเถิด จะได้เรียนรู้ความรอบคอบ

          10อิสราเอลเอ๋ย ทำไมท่านจึงต้องมาอยู่ในแผ่นดินของศัตรู

          ต้องแก่ชราลงในแผ่นดินของชนต่างชาติ

          11ทำไมท่านจึงเป็นมลทินอยู่กับคนตายb

          และถูกนับว่าเป็นคนหนึ่งที่ต้องไปอยู่ในแดนมรณะ

          12ท่านได้ละทิ้งบ่อเกิดแห่งปรีชาญาณ

          13ถ้าท่านเดินในหนทางของพระเจ้า

          ท่านก็คงจะมีชีวิตอยู่อย่างสงบสุขตลอดไป

          14จงเรียนรู้ว่าความรอบคอบอยู่ที่ใด

          พละกำลังอยู่ที่ใด ปัญญาอยู่ที่ใด

          ท่านจะได้เข้าใจอีกว่าอายุยืนและชีวิตอยู่ที่ใด

          แสงสว่างของดวงตาและสันติสุขอยู่ที่ใดด้วย

          15ผู้ใดเล่าค้นพบที่พำนักของปรีชาญาณ

          ผู้ใดเล่าเข้าไปถึงคลังcแห่งปรีชาญาณ

          16บรรดาผู้นำชนชาติต่างๆอยู่ที่ใด

          บรรดาผู้ควบคุมสัตว์ร้ายที่อยู่บนแผ่นดินอยู่ที่ใด

          17ผู้ที่ชอบล่านกเป็นการหย่อนใจอยู่ที่ใด

          ผู้สะสมเงินทองที่ทุกคนอยากได้และไม่มีวันเพียงพอ อยู่ที่ใด

          18บรรดาช่างฝีมือที่ทำเครื่องเงิน

          ปิดบังความชำนาญของตนไว้ไม่ให้ผู้ใดรู้ อยู่ที่ใด

          19คนเหล่านี้ทุกคนหายสาบสูญไปอยู่ในแดนมรณะ

          คนอื่นก็ขึ้นมาแทนที่ของเขา

          20อนุชนรุ่นแล้วรุ่นเล่าแลเห็นแสงสว่าง

          พำนักอาศัยอยู่บนแผ่นดิน

          แต่เขาก็ไม่รู้จักหนทางของปรีชาญาณ

          21เขาไม่ได้แสวงหาหนทางของปรีชาญาณ จึงไม่ได้พบ

          บุตรหลานของเขายิ่งอยู่ห่างจากหนทางของบรรพบุรุษd

          22ไม่มีผู้ใดได้ยินคนพูดถึงปรีชาญาณในแผ่นดินคานาอัน

          ไม่มีผู้ใดเห็นปรีชาญาณในแคว้นเทมาน

          23บรรดาบุตรหลานของนางฮาการ์ที่แสวงหาความรู้บนแผ่นดิน

          บรรดาพ่อค้าชาวมีเดียนeและเทมาน

          บรรดานักเล่านิทานและผู้แสวงหาความรู้

          ก็ไม่พบหนทางไปสู่ปรีชาญาณ

          หรือไม่คิดจะแสวงหาหนทางนั้นด้วย

          24อิสราเอลเอ๋ย บ้านของพระเจ้าf ยิ่งใหญ่เพียงใด

          สถานที่ที่ทรงครอบครองกว้างใหญ่เพียงใด

          25กว้างใหญ่และไม่มีขอบเขต

          ทั้งสูงและวัดไม่ได้

          26ที่นั่นเกิดยักษ์มีชื่อเสียงในสมัยโบราณ

          มีรูปร่างสูงใหญ่และเชี่ยวชาญการสงคราม

          27แต่พระเจ้าไม่ทรงเลือกคนเหล่านี้

          ไม่ประทานหนทางไปสู่ปรีชาญาณให้เขา

          28เขาจึงต้องพินาศเพราะขาดปรีชาญาณ

          เขาต้องตายเพราะความโง่เขลา

          29ผู้ใดเล่าขึ้นไปบนสวรรค์เพื่อนำปรีชาญาณลงมา

          ผู้ใดเล่านำปรีชาญาณลงมาจากเมฆ

          30ผู้ใดเล่าข้ามทะเลไปพบปรีชาญาณ

          ผู้ใดเล่าจะซื้อปรีชาญาณด้วยทองคำบริสุทธิ์

          31ไม่มีผู้ใดรู้จักหนทางไปสู่ปรีชาญาณ

          ไม่มีผู้ใดสนใจแสวงหาหนทางนั้น

          32แต่พระเจ้าทรงทราบทุกสิ่ง ทรงรู้จักปรีชาญาณ

          ทรงค้นพบปรีชาญาณด้วยพระปัญญา

          พระองค์ทรงตั้งแผ่นดินให้คงอยู่ตลอดไป

          ทรงบันดาลให้มีสัตว์สี่เท้าอยู่เต็มแผ่นดิน

          33เมื่อทรงส่งแสงสว่าง แสงสว่างก็ไป

          เมื่อทรงเรียกแสงสว่างขึ้นมา แสงสว่างก็เชื่อฟังจนตัวสั่น

          34ดวงดาวส่องแสงจากที่ซ่อนด้วยความยินดี

          35พระองค์ทรงเรียกดวงดาว ดวงดาวก็ตอบว่า “พวกเราอยู่ที่นี่”

          แล้วส่องแสงด้วยความยินดีสำหรับพระผู้สร้าง

          36พระองค์ผู้นี้คือพระเจ้าของเรา

          ไม่มีผู้ใดเทียมเท่าพระองค์ได้

           37พระองค์ทรงค้นพบหนทางทั้งหมดของปรีชาญาณ

         พระองค์ประทานปรีชาญาณแก่ยาโคบผู้รับใช้ของพระองค์

         แก่อิสราเอล ประชากรที่ทรงรัก

          38เพราะเหตุนี้ ปรีชาญาณจึงปรากฏบนแผ่นดิน

         มาอยู่กับมวลมนุษย์g

3 a “ที่ใกล้จะตาย” แปลตามตัวอักษรว่า “ที่ตายแล้ว” เป็นการเปรียบเทียบสภาพของชาวอิสราเอลในถิ่นเนรเทศ (เทียบ อสย 59:10; พคค 3:6; อสค 37:11-14)

b “เป็นมลทินอยู่กับคนตาย” การคบค้ากับคนต่างชาติทำให้ชาวอิสราเอลในถิ่นเนรเทศเป็นมลทิน เช่นเดียวกับการสัมผัสศพผู้ตาย (ดู ลนต 5:2)

c “ใครเล่า.......ถึงคลังแห่งปรีชาญาณ” – เช่นเดียวกับใน โยบ 28:13-28 คำถามนี้ทีแรกได้รับคำตอบในแง่ลบว่าไม่มีใครบรรลุถึงปรีชาญาณได้ ถ้าไม่ได้รับความช่วยเหลือจากพระเจ้า (บรค 3:16-31) – ต่อมาได้รับคำตอบในแง่บวกว่าปรีชาญาณเป็นสมบัติของพระเจ้า พระองค์ประทานปรีชาญาณให้เป็นสมบัติของอิสราเอลเมื่อทรงมอบธรรมบัญญัติให้เขาเป็นของประทาน (บรค 3:32 – 4:4)

d “หนทางของบรรพบุรุษ” – สำเนาโบราณภาษาซีเรียคและภาษากรีกบางฉบับว่า “หนทางของปรีชาญาณ”

e “มีเดียน” แปลโดยคาดคะเน – ต้นฉบับว่า “เมราน”

f “บ้านของพระเจ้า” ในที่นี้หมายถึง “สกลจักรวาล” ไม่ใช่ “พระวิหาร” (ดังที่เข้าใจกันตามปรกติ)

g “อยู่กับมวลมนุษย์” หมายความว่าพระเจ้าประทานปรีชาญาณของพระองค์ให้มนุษย์ เมื่อทรงมอบธรรมบัญญัติให้แก่ประชากรอิสราเอลทางโมเสสบนภูเขาซีนาย (“มวลมนุษย์” ในที่นี้หมายถึงเพียงชาวอิสราเอลเท่านั้น) – ในสมัยต่อมา บรรดาปิตาจารย์คิดว่าข้อความนี้กล่าวพาดพิงถึง “พระวจนาตถ์” (= ปรีชาญาณ) ที่จะรับสภาพมนุษย์มาประทับอยู่กับมวลมนุษย์

4.       1ปรีชาญาณเป็นหนังสือข้อกำหนดของพระเจ้า

          เป็นธรรมบัญญัติที่ดำรงอยู่ตลอดไป

          ผู้ที่ยึดปรีชาญาณมั่นไว้ก็จะมีชีวิต

          ผู้ใดละทิ้งปรีชาญาณก็จะตาย

          2ยาโคบเอ๋ย จงกลับมารับปรีชาญาณไว้เถิด

          จงดำเนินในแสงสว่างของปรีชาญาณไปสู่ความรุ่งโรจน์

          3อย่าให้สิริรุ่งโรจน์ของท่านแก่ผู้อื่น

          อย่าให้อภิสิทธิ์ของท่านแก่ชนต่างชาติ

          4อิสราเอลเอ๋ย พวกเราช่างเป็นสุข

          เพราะพระเจ้าทรงเปิดเผยสิ่งที่พอพระทัยให้เรารู้

III. คำเตือนใจกรุงเยรูซาเล็มให้มีความหวังa

          5ประชากรของข้าพเจ้าเอ๋ย จงทำใจดีๆไว้

          ท่านทั้งหลายซึ่งทำให้ทุกคนยังคงระลึกถึงอิสราเอลb

          6พระเจ้าทรงขายท่านทั้งหลายให้แก่ชนต่างชาติ

          มิใช่เพื่อให้ท่านต้องพินาศ

          แต่พระองค์ทรงมอบท่านให้ศัตรู

          เพราะท่านทำให้พระองค์กริ้ว

          7ท่านถวายบูชาแก่ปีศาจ ไม่ใช่ถวายแด่พระเจ้า

          ท่านจึงทำให้พระผู้สร้างทรงพิโรธ

          8ท่านลืมพระเจ้านิรันดรผู้ประทานอาหารแก่ท่าน

          ท่านทำให้กรุงเยรูซาเล็มที่เลี้ยงดูท่านต้องโศกเศร้า

          9นครนี้จึงเห็นพระพิโรธจากพระเจ้าลงมาเหนือท่าน และพูดว่า         

           “บรรดาเมืองรอบๆศิโยนเอ๋ย จงฟังเถิด

         พระเจ้าทรงส่งความทุกข์ยิ่งใหญ่ให้ข้าพเจ้า

          10เพราะข้าพเจ้าได้เห็นพระเจ้านิรันดร

         ทรงนำบุตรชายหญิงของข้าพเจ้าไปเป็นเชลย

         11ข้าพเจ้าเคยเลี้ยงดูเขามาด้วยความยินดี

        แต่ต้องร้องไห้เป็นทุกข์เมื่อเขาต้องจากไป

        12อย่าให้ผู้ใดยินดีเมื่อเห็นข้าพเจ้าต้องเป็นม่าย

       ถูกทุกคนทอดทิ้ง

       ข้าพเจ้าต้องอยู่โดดเดี่ยวเพราะบาปของบรรดาบุตร

       ที่หันหลังให้ธรรมบัญญัติของพระเจ้า

       13เขาไม่เอาใจใส่ข้อกำหนดของพระองค์

      ไม่ดำเนินตามทางบทบัญญัติของพระเจ้า

      ละทิ้งหนทางคำสั่งสอนให้บรรลุถึงความชอบธรรมของพระองค์

      14บรรดาเมืองรอบๆศิโยน จงมาเถิด

     จงพิจารณาถึงการที่พระเจ้านิรันดรทรงนำบุตรชายหญิงของข้าพเจ้าไปเป็นเชลย

     15พระองค์ทรงนำชนชาติจากแดนไกลมาโจมตีเขา

    เป็นชนชาติชั่วร้ายต่างภาษา

    ที่ไม่เคารพผู้อาวุโส ไม่มีความเมตตาต่อเด็กๆ

     16ชนชาตินี้มาพรากบุตรชายหญิงที่รักไปจากหญิงม่าย

    และปล่อยให้นางอยู่โดดเดี่ยว ไม่มีบุตรเหลืออยู่เลย

     17ข้าพเจ้าจะช่วยท่านทั้งหลายได้อย่างไร

     18พระองค์ผู้ทรงนำภัยพิบัติมาเหนือท่าน

     จะทรงช่วยท่านให้พ้นจากเงื้อมมือของศัตรูได้

     19ลาก่อน ลูกเอ๋ย จงไปเถิด

     ข้าพเจ้าต้องถูกทอดทิ้งให้อยู่โดดเดี่ยว

     20ข้าพเจ้าได้ถอดเสื้อผ้าที่สวมใส่ในยามสันติ

    แล้วสวมเสื้อกระสอบชุดไว้ทุกข์เพื่ออธิษฐานภาวนา

    ข้าพเจ้าจะร้องหาพระเจ้านิรันดรทุกวันที่ข้าพเจ้ายังมีชีวิตอยู่

     21ลูกเอ๋ย จงทำใจให้ดี จงร้องหาพระเจ้าเถิด

    พระองค์จะทรงช่วยท่านให้พ้นเงื้อมมือศัตรูที่กดขี่ข่มเหงท่าน

      22ข้าพเจ้าหวังว่าพระเจ้านิรันดรจะทรงช่วยท่านให้รอดพ้น

     พระเจ้าผู้ศักดิ์สิทธิ์จะประทานความยินดียิ่งใหญ่ให้ท่าน

     พระเจ้านิรันดรจะทรงพระเมตตาประทานความรอดพ้นแก่ท่านโดยเร็ว

     23ข้าพเจ้าเป็นทุกข์ร้องไห้เมื่อเห็นท่านทั้งหลายจากไป

     แต่พระเจ้าจะทรงนำท่านกลับมาหาข้าพเจ้า และข้าพเจ้าจะร่าเริงยินดีตลอดไป

     24บัดนี้ บรรดาเมืองรอบๆศิโยนได้เห็นท่านทั้งหลายถูกจับเป็นเชลยฉันใด

     ในไม่ช้าเขาก็จะเห็นพระเจ้าทรงช่วยท่านให้รอดพ้นฉันนั้น

     พระเจ้านิรันดรจะประทานความรอดพ้นแก่ท่าน

     โดยทรงสำแดงพระสิริรุ่งโรจน์ที่สว่างสุกใส

     25ลูกเอ๋ย จงพากเพียรอดทนการลงโทษที่พระเจ้าทรงส่งมาให้ท่านเถิด

     ศัตรูได้ข่มเหงท่าน

     แต่ในไม่ช้า ท่านจะเห็นความพินาศของเขา

     และจะเหยียบคอของเขา

      26ลูกที่บอบบางของข้าพเจ้าต้องเดินตามทางขรุขระ

     ถูกศัตรูกวาดต้อนไปเหมือนแกะที่ถูกปล้น

      27ลูกเอ๋ย จงทำใจให้ดี จงร้องหาพระเจ้าเถิด

     เพราะพระองค์ผู้ทรงทดลองท่านจะทรงระลึกถึงท่าน

      28ใจของท่านเคยออกห่างจากพระเจ้าฉันใด

      จงกลับมาแสวงหาพระองค์เป็นสิบเท่าฉันนั้นเถิด

      29เพราะพระองค์ผู้ทรงนำความชั่วร้ายมาเหนือท่าน

      จะประทานความรอดพ้นและความยินดีแก่ท่านตลอดไป”

      30กรุงเยรูซาเล็มเอ๋ย จงทำใจให้ดีเถิด

      พระองค์ผู้ประทานนามให้ท่านก็จะประทานกำลังใจแก่ท่านc

      31วิบัติจงเกิดแก่ผู้ที่ทำร้ายท่าน

      และยินดีเมื่อเห็นท่านล้มลง

      32วิบัติจงเกิดแก่เมืองทั้งหลายที่จับลูกของท่านไปเป็นทาส

     วิบัติจงเกิดแก่เมืองที่รับบุตรของท่านไว้เป็นทาส

      33เมืองนั้นยินดีเพราะท่านล้มลง

     และร่าเริงเพราะท่านพินาศฉันใด

     เมืองนั้นก็จะเป็นทุกข์เพราะจะถูกทำลายลงฉันนั้น

     34เราจะทำให้เมืองนั้นสูญเสียความยินดีที่มีพลเมืองมากมาย

     ความโอหังของเมืองนั้นจะกลับเป็นการไว้ทุกข์

     35พระเจ้านิรันดรจะทรงส่งไฟลงมาเหนือเมืองนั้นนานหลายวัน

     บรรดาปีศาจจะอาศัยอยู่ในเมืองนั้นเป็นเวลานานกว่านั้นอีก

     36กรุงเยรูซาเล็มเอ๋ย จงมองไปทางทิศตะวันออกเถิด

     จงดูความยินดีที่พระเจ้าจะประทานให้

     37ดูซิ บรรดาบุตรที่ท่านเคยเห็นจากไปนั้นกำลังกลับมา

     เขาทั้งหลายจะกลับมารวมกันทั้งจากทิศตะวันออกและทิศตะวันตก

     ตามพระดำรัสของพระเจ้าผู้ศักดิ์สิทธิ์

     เขาจะโห่ร้องยินดีเมื่อเห็นพระสิริรุ่งโรจน์ของพระเจ้า

4 a คำเตือนใจนี้แบ่งได้เป็น 3 ตอน คือ (1) ข้อ 5-9ก เป็นอารัมภบท (2) ข้อ  9ข-29 กรุงเยรูซาเล็มซึ่งเป็นเสมือนหญิงหม้ายพูดกับประชาชนที่อยู่ตามเมืองโดยรอบ และกับชาวอิสราเอลซึ่งเป็นเสมือนบุตรชายหญิงที่ถูกเนรเทศไปที่กรุงบาบิโลน (3) ใน 4:30 – 5:9 ผู้ประพันธ์ตอบปลอบโยนกรุงเยรูซาเล็มโดยสัญญาว่าจะได้รับการสถาปนาขึ้นใหม่ในสมัยของพระเมสสิยาห์

b “ทำให้ทุกคนยังระลึกถึงอิสราเอล” แปลตามตัวอักษรว่า “เป็นที่เตือนใจของอิสราเอล” - ประชากรชาวยิวจำนวนเล็กน้อยที่กลับมาจากการเนรเทศที่กรุงบาบิโลนจะเป็นผู้รักษาชื่อของชนชาติอิสราเอลให้คงอยู่ต่อไปในอนาคต

c “ประทานกำลังใจแก่ท่าน” หมายความว่าพระเจ้าจะทรงทำให้กรุงเยรูซาเล็มเป็นนครของพระองค์อีกครั้งหนึ่ง ดู สดด 46:4; อสย 60:14.

      5. 1กรุงเยรูซาเล็มเอ๋ย จงถอดเสื้อไว้ทุกข์ออกเถิด

          จงสวมสิริรุ่งโรจน์เป็นอาภรณ์งดงามที่มาจากพระเจ้าไว้ตลอดไป

          2จงสวมความชอบธรรมจากพระเจ้าเป็นเสื้อคลุม

          จงสวมสิริรุ่งโรจน์จากพระเจ้านิรันดรเป็นมงกุฎบนศีรษะ

          3เพราะพระเจ้าจะทรงสำแดงความรุ่งโรจน์ของท่านแก่ทุกคนภายใต้ท้องฟ้า

          4พระเจ้าจะทรงเรียกนามของท่านตลอดไปว่า

          “สันติจากความชอบธรรม” และ “สิริรุ่งโรจน์จากความยำเกรงพระเจ้า”a

          5กรุงเยรูซาเล็มเอ๋ย จงลุกขึ้นเถิด จงยืนบนที่สูง

          จงมองไปทางทิศตะวันออกเถิด

          จงเห็นบรรดาบุตรของท่านมาชุมนุมกัน

          จากทิศตะวันออกและทิศตะวันตกตามพระดำรัสของพระเจ้า

          เขาโห่ร้องยินดีเพราะพระเจ้าทรงระลึกถึงเขา

          6เขาต้องเดินออกไปจากท่าน เพราะศัตรูกวาดต้อนเขาไป

          บัดนี้ พระเจ้าทรงนำเขากลับมาหาท่าน

          ได้รับการยกย่องรุ่งเรืองดุจกษัตริย์ทรงชัยบนพระบัลลังก์b

          7พระเจ้าทรงบัญชาให้ภูเขาสูงและหินผาถาวรถูกปรับให้ต่ำลง

          ทรงบัญชาหุบเขาให้ถูกถมจนเต็มเป็นพื้นดินราบ

          เพื่ออิสราเอลจะได้เดินอย่างปลอดภัยในพระสิริรุ่งโรจน์ของพระเจ้า

         8พระเจ้าทรงบัญชาให้ป่าและต้นไม้หอมทุกชนิดแผ่ร่มเงาปกคลุมอิสราเอล

         9พระเจ้าจะทรงส่องแสงแห่งพระสิริรุ่งโรจน์นำอิสราเอลด้วยความยินดี

         พระองค์จะประทานความรักมั่นคงและความชอบธรรมแก่เขาด้วย

IV. จดหมายของประกาศกเยเรมีย์

สำเนาจดหมายซึ่งประกาศกเยเรมีย์ส่งถึงชาวอิสราเอลที่กษัตริย์ของชาวบาบิโลนจับเป็นเชลยไปที่กรุงบาบิโลน เพื่อแจ้งให้เขารู้พระบัญชาของพระเจ้า

5 a “สันติจากความชอบธรรม” และ “สิริรุ่งโรจน์จากความยำเกรงพระเจ้า” – กรุงเยรูซาเล็มยังจะได้รับนามอื่นๆอีกในยุคของพระเมสสิยาห์ ดู อสย 1:26; 60:14 เชิงอรรถ n; ยรม 33:16; อสค 48:35.

b “บัดนี้ พระเจ้าจะทรงนำ....... บนพระบัลลังก์”  - ประกาศกเปรียบเทียบการกลับจากเนรเทศที่กรุงบาบิโลนว่าเป็นการอพยพครั้งใหม่ซึ่งรุ่งเรืองกว่าการอพยพครั้งแรกออกจากอียิปต์ (เทียบ อสย 40:3 เชิงอรรถ e).

6.       1”กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ของชาวบาบิโลนจะนำท่านทั้งหลายเป็นเชลยไปที่กรุงบาบิโลน เพราะท่านทำบาปผิดต่อพระเจ้า 2เมื่อท่านไปถึงกรุงบาบิโลน ท่านจะต้องอยู่ที่นั่นหลายปี เป็นเวลานานถึงเจ็ดชั่วอายุคน แต่ต่อมาเราจะนำท่านกลับมาจากที่นั่นอย่างสันติ 3บัดนี้ ที่กรุงบาบิโลน ท่านจะเห็นผู้คนแบกaรูปเทพเจ้าที่ทำด้วยเงิน ทอง และไม้ ซึ่งสร้างความหวาดกลัวแก่คนต่างศาสนา 4จงระวังให้ดี อย่าเลียนแบบชนต่างชาติ อย่าให้ความกลัวเทพเจ้าเหล่านี้ครอบงำจิตใจของท่าน 5เมื่อท่านเห็นผู้คนมาห้อมล้อมกราบไหว้รูปเหล่านี้ จงคิดในใจว่า “ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า พระองค์เท่านั้นที่ข้าพเจ้าทั้งหลายจะต้องกราบไหว้นมัสการ” 6ทูตสวรรค์ของพระเจ้าจะอยู่กับท่าน และจะพิทักษ์รักษาชีวิตของท่าน

          7”นายช่างได้ขัดเกลาลิ้นของรูปเทพเจ้าเหล่านี้ ใช้เงินและทองหุ้มไว้ แต่รูปเหล่านี้ก็ไม่ใช่พระเจ้าแท้ เพราะพูดไม่ได้ 8 ประชาชนนำทองคำมาทำเป็นมงกุฎสวมบนเศียรรูปเทพเจ้าเหล่านี้ ประหนึ่งรูปเทพเจ้าเป็นหญิงสาวที่รักสวยรักงาม 9บางครั้งบรรดาสมณะก็ยักยอกเงินและทองจากรูปเหล่านี้ไปใช้จ่ายส่วนตัว และบางครั้งยังนำไปให้หญิงโสเภณีตามสักการสถานb 10เขานำอาภรณ์มาตบแต่งรูปเงิน ทอง และไม้เหล่านี้ประหนึ่งว่าเป็นมนุษย์ แต่รูปเหล่านี้ก็ป้องกันตนจากสนิมและมอดไม่ได้ 11แม้รูปเหล่านี้สวมผ้ากำมะหยี่สีแดงเข้ม ก็ยังต้องการให้มีคนมาเช็ดหน้าให้สะอาดจากฝุ่นในวิหารที่จับอยู่หนา 12แต่ละรูปถือคทาเหมือนเจ้าปกครองแคว้น แต่จะลงโทษประหารชีวิตผู้ที่ทำผิดต่อตนไม่ได้ 13แต่ละรูปถือมีดและขวานในมือขวา แต่ก็ช่วยตนเองให้พ้นจากสงครามหรือจากขโมยไม่ได้ 14ดังนั้น จึงเห็นได้ชัดว่ารูปเหล่านี้ไม่ใช่พระเจ้า ท่านจงอย่ากลัวเขาเลย

          15”ภาชนะดินเผาเมื่อแตกแล้วย่อมไม่มีประโยชน์ฉันใด รูปเทพเจ้าที่ตั้งไว้ในวิหารก็ย่อมไร้ประโยชน์ฉันนั้น 16ตาของรูปเหล่านี้เต็มไปด้วยฝุ่นที่ฟุ้งขึ้นจากเท้าของคนเดินเข้ามา 17เขาย่อมปิดประตูป้องกันไม่ให้ผู้ที่ทำผิดต่อกษัตริย์หนีพ้นจากการถูกประหารชีวิตฉันใด บรรดาสมณะก็ต้องลั่นดาลลงกลอนประตูป้องกันมิให้ขโมยมายกรูปเหล่านี้ไปฉันนั้น 18เขาจุดตะเกียงในวิหารจำนวนมากกว่าที่บ้านของตน แต่รูปเทพเจ้าเหล่านี้ก็มองไม่เห็นอะไร 19รูปเหล่านี้เป็นเหมือนไม้ขื่อของวิหาร เขาพูดกันว่าภายในไม้ขื่อมีมอดกัดกินฉันใด หนอนจากพื้นดินก็มากัดกินทั้งรูปและอาภรณ์โดยที่รูปไม่รับรู้อะไรเลยฉันนั้น 20ใบหน้าของรูปถูกควันในวิหารรมจนดำ 21ค้างคาว นกนางแอ่น รวมทั้งแมวก็มาเกาะตามตัวและบนเศียรของรูป 22เพราะเหตุนี้ ท่านจึงรู้ได้ว่ารูปเหล่านี้ไม่ใช่พระเจ้า ท่านจงอย่ากลัวเขาเลย

          23”รูปเหล่านี้ แม้จะมีทองคำหุ้มให้งดงาม แต่ถ้าไม่มีใครคอยขัดถู ก็ไม่สุกใส แม้เมื่อถูกหลอมก็ยังไม่มีความรู้สึก 24รูปเหล่านี้ถูกซื้อขายกันด้วยราคาเท่าใดก็ได้ เพราะเป็นสิ่งไม่มีชีวิต 25รูปเทพเจ้าเหล่านี้มีเท้าแต่เดินไม่ได้ ผู้คนจึงต้องแบกหามไป แสดงให้ทุกคนเห็นว่าไม่มีศักดิ์ศรี ผู้เลื่อมใสศรัทธาก็ต้องอับอาย เพราะถ้ารูปล้มลง ก็จะลุกขึ้นเองไม่ได้ 26เมื่อตั้งขึ้นแล้วก็เคลื่อนที่เองไม่ได้ ถ้าถูกตั้งเอียงไป ก็จะตั้งตรงขึ้นเองไม่ได้ ของถวายถูกนำมาตั้งไว้ต่อหน้ารูปเหล่านี้เหมือนกับตั้งไว้ต่อหน้าคนตาย 27บรรดาสมณะขายสัตว์ที่ถวายเป็นเครื่องบูชาเพื่อหากำไร แม้แต่ภรรยาของเขาก็นำเนื้อส่วนหนึ่งใส่เกลือเก็บไว้กินเองโดยไม่ยอมแบ่งให้คนยากจนและคนขัดสน สตรีที่มีประจำเดือนหรือสตรีที่เพิ่งคลอดบุตรก็ยังแตะต้องเนื้อที่ถวายเป็นบูชานี้ 28จึงเห็นได้ว่ารูปเหล่านี้ไม่ใช่พระเจ้า ท่านจงอย่ากลัวเขาเลย

          29”จะเรียกรูปเหล่านี้ว่าเป็นพระเจ้าได้อย่างไร ในเมื่อสตรีก็ถวายเครื่องบูชาcแด่รูปเงินทองหรือไม้เหล่านี้ได้ 30ในวิหารของเขา บรรดาสมณะนั่งลงกับพื้น สวมเสื้อผ้าขาดรุ่งริ่ง โกนผมและหนวดเครา ไม่มีผ้าโพกศีรษะ เขาตะโกนร้องเสียงดังต่อหน้ารูปเทพเจ้า อย่างที่เขาทำกันในงานเลี้ยงพิธีปลงศพd 32บรรดาสมณะถอดอาภรณ์จากรูปเทพเจ้าเหล่านี้มาสวมให้ภรรยาและบุตร 33ผู้ใดทำดีหรือทำร้ายรูปเหล่านี้ รูปเหล่านี้ก็โต้ตอบไม่ได้ จะแต่งตั้งหรือถอดกษัตริย์ออกจากตำแหน่งก็ไม่ได้ 34จะให้ทรัพย์สมบัติหรือเงินทองแก่ผู้ใดก็ไม่ได้เช่นเดียวกัน ถ้าผู้ใดไม่ทำตามที่บนบานไว้ รูปเหล่านี้ก็ไม่สนใจ 35รูปเหล่านี้จะช่วยคนให้รอดตายก็ไม่ได้ จะช่วยผู้อ่อนแอให้พ้นจากผู้มีกำลังก็ไม่ได้ 36จะทำให้คนตาบอดกลับมองเห็นก็ไม่ได้ จะช่วยคนให้พ้นภาวะคับขันก็ไม่ได้ 37จะสงสารแม่ม่ายหรือช่วยเหลือลูกกำพร้าก็ไม่ได้ 38รูปไม้ปิดทองหุ้มเงินเหล่านี้เป็นเสมือนก้อนหินที่ตัดมาจากภูเขา ผู้เลื่อมใสศรัทธารูปเหล่านี้จะต้องอับอาย 39ดังนั้น จะคิดหรือยืนยันว่ารูปเหล่านี้เป็นพระเจ้าได้อย่างไร

          40”แม้แต่ชาวเคลเดียก็ยังไม่ให้เกียรติรูปเหล่านี้ เพราะเมื่อเขาพบคนหูหนวกที่เป็นใบ้ เขาก็จะนำไปต่อหน้ารูปเทพเจ้าเบล วอนขอให้เทพเจ้าเบลทรงบันดาลให้พูดได้ ประหนึ่งว่าเทพเจ้าเบลทรงได้ยิน 41แม้ชาวเคลเดียรับรู้เช่นนี้ เขาก็ละทิ้งรูปเทพเจ้าไม่ได้ เพราะเขาไม่มีความคิด 42หญิงบางคนใช้เชือกคาดสะเอวมานั่งเผาแกลบตามริมถนน 43เมื่อผู้ผ่านมาพาหญิงคนหนึ่งไปหลับนอนด้วย นางก็จะเยาะเย้ยเพื่อนๆที่ไม่มีใครเลือกไปแก้เชือกคาดสะเอวออกเหมือนเธอe  44ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นกับรูปเทพเจ้าเหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งหลอกลวง แล้วจะมาคิดหรือยืนยันว่ารูปเหล่านี้เป็นพระเจ้าได้อย่างไร

          45รูปเหล่านี้ช่างไม้และช่างทองประดิษฐ์ขึ้น เป็นเพียงผลงานของนายช่างเท่านั้น 46ผู้ประดิษฐ์รูปเหล่านี้ไม่มีชีวิตยืนยาว แล้วสิ่งที่เขาสร้างขึ้นนั้นจะเป็นพระเจ้าได้อย่างไร 47นายช่างเหล่านี้ทิ้งสิ่งหลอกลวงและไร้เกียรตินี้ไว้ให้ลูกหลาน 48เมื่อเกิดสงครามหรือภัยพิบัติ บรรดาสมณะก็ปรึกษากันว่าจะหาที่ซ่อนตัวและซ่อนรูปเหล่านี้ได้ที่ใด 49เป็นไปได้อย่างไรที่เขาไม่เข้าใจว่ารูปเหล่านี้ไม่ใช่พระเจ้า เพราะรูปเหล่านี้ยังช่วยตนเองให้พ้นจากสงครามและภัยพิบัติไม่ได้เลย 50เหตุผลที่กล่าวมาแล้วพิสูจน์ว่ารูปเทพเจ้าเหล่านี้เป็นเพียงไม้หุ้มทองหุ้มเงิน เป็นสิ่งหลอกลวง  จะเป็นที่ประจักษ์แจ้งแก่ชนชาติต่างๆและบรรดากษัตริย์ว่ารูปเหล่านี้ไม่ใช่พระเจ้า เป็นเพียงผลงานจากมือมนุษย์ ไม่มีคุณสมบัติของพระเจ้าอยู่เลย 51ยังจะมีผู้ใดอีกเล่าที่ไม่เห็นชัดว่ารูปเหล่านี้ไม่ใช่พระเจ้า

          52”รูปเหล่านี้จะแต่งตั้งกษัตริย์ปกครองแคว้นใดแคว้นหนึ่ง หรือจะทำให้ฝนตกเหนือมนุษย์ก็ไม่ได้ 53จะป้องกันสิทธิของตนหรือปลดปล่อยผู้ถูกกดขี่ข่มเหงก็ไม่ได้ เพราะไม่มีอำนาจใดเลย เป็นเหมือนนกกาที่บินอยู่ระหว่างท้องฟ้ากับแผ่นดิน 54ถ้าเกิดไฟไหม้วิหารของรูปเทพเจ้าที่ทำด้วยไม้หุ้มทองหรือหุ้มเงิน บรรดาสมณะจะหนีเอาตัวรอด รูปเหล่านี้จะถูกเผาเช่นเดียวกับไม้ขื่อของวิหาร 55รูปเหล่านี้จะต่อต้านกษัตริย์หรือข้าศึกก็ไม่ได้ 56แล้วจะคิดและยอมรับว่ารูปเหล่านี้เป็นพระเจ้าได้อย่างไร

          57”รูปไม้หุ้มเงินหุ้มทองเหล่านี้ไม่อาจพ้นมือขโมยและโจรไปได้ ขโมยจะลอกเงินลอกทองออก และยึดอาภรณ์ที่ปกคลุมอยู่แล้วหนีไป แต่รูปเหล่านี้ก็ช่วยตนเองไม่ได้ 58ดังนั้น กษัตริย์ที่มีความกล้าหาญหรือเครื่องใช้ในบ้านที่เป็นประโยชน์แก่เจ้าของ ยังดีกว่ารูปเทพเจ้าที่หลอกลวงเหล่านี้ ประตูบ้านที่ป้องกันสิ่งที่อยู่ในบ้านให้ปลอดภัยก็ยังดีกว่ารูปเทพเจ้าที่หลอกลวงเหล่านี้ แม้เสาไม้ในวังก็ยังดีกว่ารูปเทพเจ้าที่หลอกลวงเหล่านี้ 59ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ และดวงดาวสว่างสุกใสถูกส่งมาทำประโยชน์ก็ยังยินดีปฏิบัติหน้าที่ของตน 60สายฟ้าแลบก็เช่นเดียวกัน เมื่อปรากฏก็เห็นได้ชัดเจน เช่นเดียวกับลมที่พัดไปทั่วแคว้น 61เมื่อพระเจ้าทรงบัญชาให้เมฆปกคลุมทั่วโลก เมฆก็ปฏิบัติตามพระบัญชา ไฟที่มาจากเบื้องบนเผาภูเขาและป่า ก็ทำตามพระบัญชา 62แต่รูปเทพเจ้าเหล่านี้ไม่เหมือนกับสิ่งดังกล่าวทั้งความงามและพลังอำนาจ 63ดังนั้นจะคิดหรือยืนยันว่ารูปเหล่านี้เป็นพระเจ้าไม่ได้ เพราะรูปเหล่านี้ตัดสินลงโทษหรือทำคุณแก่มนุษย์ไม่ได้ 64เมื่อรู้ว่ารูปเหล่านี้ไม่ใช่พระเจ้า ท่านจงอย่ากลัวเขาเลย

          65”รูปเหล่านี้ไม่สาปแช่งหรืออวยพรกษัตริย์ 66จะแสดงเครื่องหมายบนท้องฟ้าให้นานาชาติเห็นก็ไม่ได้ ทั้งจะไม่ส่องแสงเหมือนดวงอาทิตย์และไม่ฉายแสงเหมือนดวงจันทร์ 67บรรดาสัตว์ป่าก็ยังดีกว่ารูปเหล่านี้ เพราะสัตว์ป่าหนีไปหาที่หลบภัยและดูแลตนเองได้ 68ดังนั้น ไม่มีวิธีใดเลยแสดงให้เราเห็นว่ารูปเหล่านี้เป็นพระเจ้า ท่านทั้งหลายจงอย่ากลัวเขาเลย

          69”รูปไม้หุ้มทองหุ้มเงินเหล่านี้เป็นเหมือนหุ่นไล่กาในไร่แตง ไม่เฝ้าอะไรเลย 70ยังเป็นเหมือนพุ่มหนามในสวน ที่นกทุกชนิดลงมาเกาะบนกิ่งได้ รูปไม้หุ้มทองหุ้มเงินเหล่านี้เป็นเหมือนศพที่ทิ้งอยู่ในความมืด 71ดูจากผ้ากำมะหยี่สีแดงเข้มและจากผ้าป่านfที่คลุมจนเปื่อยอยู่บนรูปเหล่านี้ ท่านก็รู้ว่ารูปเหล่านี้ไม่ใช่พระเจ้า จะผุพังและจะเป็นที่อับอายในแผ่นดิน 72คนดีมีธรรมที่ไม่มีรูปเทพเจ้าเลยก็ดีกว่า เพราะเขาจะไม่ต้องอับอาย”

6 a “แบก” ในข้อนี้และข้อ 5 เป็นการกล่าวพาดพิงถึงพิธีแห่รูปเทพเจ้าที่ชาวบาบิโลนแบกรูปเทพเจ้าออกจากวิหารไปตามถนนสายต่างๆในเมือง

b “หญิงโสเภณีตามสักการสถาน” - ในวิหารที่กรุงบาบิโลนก็มีหญิงบริการทางเพศเพื่อจุดประสงค์ทางพิธีกรรมศาสนาเช่นเดียวกับตามสักการสถานของชาวคานาอัน

c ธรรมบัญญัติห้ามไม่ให้สตรีปฏิบัติหน้าที่สมณะในการถวายเครื่องบูชาแด่พระเจ้า

d “งานเลี้ยงในพิธีปลงศพ” อาจหมายถึงพิธีฉลองวันขึ้นปีใหม่ ซึ่งเป็นประหนึ่งการสิ้นพระชนม์และกลับคืนชีพของเทพเจ้า

e “บรรดาสตรีใช้เชือกคาดสะเอว........ แก้เชือกคาดสะเอวเหมือนเธอ” – ข้อความนี้กล่าวพาดพิงถึงพิธีศาสนาของชาวบาบิโลน ซึ่งมีโสเภณีศักดิ์สิทธิ์ประจำสักการสถาน หญิงเหล่านี้เผาแกลบตามริมถนนเป็นพิธีที่มีอำนาจลึกลับเพื่อเรียกร้องความสนใจของชายที่เดินผ่านให้เข้ามาหลับนอนกับตนในวิหาร

f “ผ้าป่าน” แปลโดยคาดคะเนจากบริบท ต้นฉบับภาษากรีกว่า “หินอ่อน” – แต่คาดว่าคำในภาษาฮีบรูมีความหมายทั้ง “หินอ่อน” และ “ผ้าป่าน”

เช้าวันใหม่ใส่ใจพระวาจา

Lectio Divina-Daily 2022

Sinapis เมล็ดพันธุ์แห่งพระวาจา

เช้าวันเสาร์เราคิดถึงพระวาจา

Video อบรมพระคัมภีร์

ความรู้พื้นฐานพระคัมภีร์และหนังสือปฐมกาล

หนังสืออพยพและเลวีนิติ

หนังสือกันดารวิถีและเฉลยธรรมบัญญัติ

หนังสือโยชูวา ผู้วินิจฉัยและนางรูธ

หนังสือซามูแอล ฉบับที่ 1 และ ฉบับที่ 2

หนังสือพงศ์กษัตริย์ ฉบับที่ 1 และ ฉบับที่ 2

หนังสือพงศาวดาร เอสราและเนหะมีย์

หนังสือโทบิต ยูดิธ เอสเธอร์และมัคคาบี 1 และ 2

ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับประกาศกและประกาศกอาโมส

หนังสือประกาศกโฮเชยาและมีคาห์

หนังสือประกาศกอิสยาห์

หนังสือประกาศกโยนาห์และประกาศกเศฟันยาห์

หนังสือประกาศกนาฮูมและฮาบากุก

หนังสือประกาศกเยเรมีห์-เพลงคร่ำครวญ-บารุค

หนังสือประกาศกเอเสเคียลและดาเนียล

บทเทศน์บนภูเขา มธ. 5-7

พระวรสารนักบุญมัทธิว 10,13,18

พระวรสารนักบุญมาระโก

หนังสือกิจการอัครสาวก