(ไฟล์ "เสียงวรสาร" โดย วัดแม่พระกุหลาบทิพย์ กรุงเทพฯ)
ขนบธรรมเนียมของชาวฟาริสี
15 1เวลานั้น ชาวฟาริสีและธรรมาจารย์จากกรุงเยรูซาเล็มมาเฝ้าพระเยซูเจ้า ทูลถามว่า 2“ทำไมศิษย์ของท่านละเลยขนบธรรมเนียมของบรรพบุรุษaเขาไม่ล้างมือเมื่อกินอาหารb 3พระองค์ตรัสตอบว่า “แล้วท่านล่ะ ทำไมจึงละเมิดบทบัญญัติของพระเจ้าเพื่อปฏิบัติตามขนบธรรมเนียมของท่าน” 4เช่น พระเจ้าตรัสว่า ‘จงนับถือcบิดามารดา’ และ ‘ใครสาปแช่งบิดามารดา ต้องมีโทษถึงตาย’ 5แต่ท่านสอนว่า ‘ผู้ใดบอกบิดามารดาว่า สิ่งที่ลูกจะนำมาช่วยพ่อแม่ได้นั้น ลูกได้ถวายพระเสียแล้ว 6ผู้นั้นก็ไม่จำเป็นจะต้องช่วยเหลือบิดามารดาอีกต่อไป’d
“ด้วยเหตุนี้ ท่านทั้งหลายทำให้พระวาจาของพระเจ้าเป็นโมฆะเพื่อปฏิบัติตามขนบธรรมเนียมของท่าน 7คนหน้าซื่อใจคดเอ๋ย ประกาศกอิสยาห์ได้กล่าวไว้อย่างถูกต้องถึงท่านทั้งหลายว่า
8ประชาชนเหล่านี้ ให้เกียรติเราแต่ปาก
แต่ใจของเขาอยู่ห่างไกลจากเรา
9เขานมัสการเราอย่างไร้ความหมาย
เขาสั่งสอนบัญญัติของมนุษย์เหมือนกับเป็นสัจธรรม
สิ่งที่บริสุทธิ์และสิ่งที่เป็นมลทินe
10พระเยซูเจ้าทรงเรียกประชาชนเข้ามา ตรัสว่า “จงฟังและเข้าใจเถิด 11สิ่งที่เข้าไปทางปากไม่ทำให้มนุษย์มีมลทิน แต่สิ่งที่ออกมาจากปากต่างหากทำให้มนุษย์มีมลทิน”
12บรรดาศิษย์จึงเข้ามาทูลถามพระองค์ว่า “พระองค์ทรงทราบหรือไม่ว่าพวกฟาริสีไม่พอใจเมื่อได้ยินคำนี้” 13พระองค์ทรงตอบว่า “ต้นไม้ทุกต้นที่พระบิดาของเราผู้สถิตในสวรรค์มิได้ทรงปลูกไว้ จะถูกถอนทิ้งเสีย 14ปล่อยเขาเถิด เขาเป็นคนตาบอดที่นำทางคนตาบอดด้วยกัน ถ้าคนตาบอดนำทางคนตาบอด ทั้งสองคนก็จะตกลงไปในคู”
15เปโตรทูลพระองค์ว่า “โปรดอธิบายข้อความที่เป็นปริศนานี้เถิด” 16พระเยซูเจ้าทรงตอบว่า “ท่านก็ไม่เข้าใจด้วยหรือ 17ท่านไม่เข้าใจหรือว่าสิ่งต่าง ๆ ที่เข้าไปในปากย่อมลงไปในท้อง แล้วออกไปจากร่างกาย 18แต่สิ่งที่ออกมาจากปากนั้น ออกมาจากใจ สิ่งเหล่านี้แหละ ทำให้มนุษย์มีมลทิน 19ใจเป็นที่เกิดของความคิดชั่วร้าย การฆ่าคน การประพฤติผิดทางเพศ การผิดประเวณี การลักขโมย การเป็นพยานเท็จ การใส่ร้าย 20การกระทำเหล่านี้ทำให้มนุษย์มีมลทิน ส่วนการกินโดยไม่ล้างมือ ไม่ทำให้มนุษย์มีมลทิน”
พระเยซูเจ้าทรงรักษาบุตรหญิงของหญิงชาวคานาอัน
21พระเยซูเจ้าเสด็จจากที่นั่น มุ่งไปเขตเมืองไทระและเมืองไซดอน 22ทันใดนั้น หญิงชาวคานาอันคนหนึ่งจากเขตแดนนี้fร้องว่า “โอรสกษัตริย์ดาวิดเจ้าข้า โปรดเมตตาข้าพเจ้าด้วยเถิด บุตรสาวของข้าพเจ้าถูกปีศาจสิงต้องทรมานมาก” 23แต่พระองค์มิได้ตรัสตอบประการใด บรรดาศิษย์จึงเข้ามาทูลพระองค์ว่า “โปรดประทานตามที่นางทูลขอเถิดgเพราะนางร้องตะโกนตามหลังพวกเรามา” 24พระองค์ทรงตอบว่า “เราถูกส่งมาเพื่อแกะที่พลัดหลงของวงศ์วานอิสราเอลเท่านั้น 25แต่นางเข้ามากราบพระองค์ทูลว่า “พระเจ้าข้า โปรดช่วยข้าพเจ้าด้วยเถิด” 26พระองค์ทรงตอบว่า “ไม่สมควรที่จะเอาอาหารของลูก มาโยนให้ลูกสุนัขกิน”h นางทูลว่า 27“ถูกแล้วพระเจ้าข้า แต่แม้แต่ลูกสุนัขก็ยังได้กินเศษอาหารที่ตกจากโต๊ะของนาย” 28พระเยซูเจ้าจึงตรัสกับนางว่า “หญิงเอ๋ย ความเชื่อของเจ้ายิ่งใหญ่ จงเป็นไปตามที่เจ้าปรารถนาเถิด” และบุตรหญิงของนางก็หายเป็นปรกติตั้งแต่บัดนั้น
พระเยซูเจ้าทรงรักษาผู้ป่วย
29พระเยซูเจ้าเสด็จจากที่นั่นมายังทะเลสาบกาลิลี แล้วเสด็จขึ้นบนภูเขาประทับที่นั่น 30ประชาชนจำนวนมากเข้ามาเฝ้าพระองค์ นำคนง่อย คนแขนขาพิการ คนตาบอด คนใบ้ และคนเจ็บอื่น ๆ จำนวนมากมาไว้แทบพระบาท พระองค์ทรงรักษาเขาให้หายจากโรค
31เมื่อประชาชนเห็นคนใบ้พูดได้ คนขาพิการหายเป็นปรกติiคนง่อยเดินได้ คนตาบอดมองเห็นได้ ต่างประหลาดใจและสรรเสริญพระเจ้าแห่งอิสราเอล
อัศจรรย์การทวีขนมปังครั้งที่สอง
32พระเยซูเจ้าทรงเรียกบรรดาศิษย์เข้ามา ตรัสว่า
“เราสงสารประชาชน เพราะเขาอยู่กับเรามาสามวันแล้ว และเวลานี้ไม่มีอะไรกิน เราไม่อยากให้เขากลับบ้านโดยไม่ได้กินอะไร เขาจะหมดแรงขณะเดินทาง 33บรรดาศิษย์จึงทูลถามว่า “ในที่เปลี่ยวเช่นนี้ เราจะหาอาหาร จากที่ไหนให้ประชาชนเหล่านี้กินจนอิ่มได้” 34พระเยซูเจ้าตรัสถามว่า “ท่านมีขนมปังกี่ก้อน” เขาทูลว่า “เจ็ดก้อนกับปลาเล็ก ๆ อีกสองสามตัว” 35พระองค์ทรงสั่งให้ประชาชนนั่งลงที่พื้นดิน 36ทรงหยิบปลาและขนมปังเจ็ดก้อนนั้น ตรัสขอบพระคุณพระเจ้า 37ทุกคนกินจนอิ่ม และยังเก็บเศษที่เหลือได้อีกเจ็ดตะกร้า 38คนที่กินมีผู้ชายประมาณสี่พันคน ไม่นับผู้หญิงและเด็ก
39พระองค์ทรงส่งประชาชนกลับไป แล้วเสด็จลงเรือไปยังเขตเมืองมากาดาน
15 a “ขนบธรรมเนียมของบรรพบุรุษ” คือธรรมประเพณีที่บอกเล่าต่อ ๆ กันมา พวกธรรมาจารย์ได้เพิ่มเติมกฎเกณฑ์ต่าง ๆ นอกเหนือจากที่มีบันทึกไว้ในธรรมบัญญัติ เพื่อป้องกันมิให้ละเมิดบทบัญญัติเหล่านี้ พวกธรรมาจารย์อธิบายว่ากฎเกณฑ์ที่เพิ่มเติมนี้มีอยู่แล้วในธรรมบัญญัติซึ่งถ่ายทอดมาทาง “บรรพบุรุษ” ย้อนไปจนถึง “โมเสส”
b แปลตามตัวอักษรได้ว่า “กินขนมปัง”
c “นับถือ” โดยแสดงออกด้วยกิจการช่วยเหลือท่าน
d เพราะว่าทรัพย์สินที่คนหนึ่งสัญญาจะถวายให้แก่พระเจ้าถือเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่พ่อแม่ไม่อาจเรียกร้องเอาได้ อันที่จริงสัญญาเช่นนี้เป็นอุบายทางกฎหมายเท่านั้น เพราะผู้ที่สัญญาถวายยังไม่ต้องสละสิทธิเป็นเจ้าของทรัพย์สินนั้นเพื่อหลีกเลี่ยงไม่ต้องช่วยเหลือบิดามารดาในฐานะบุตร พวกธรรมาจารย์ยอมรับว่าการกระทำเช่นนี้ไม่ดี แต่เห็นว่าถูกต้องตามกฎหมาย
e ชาวฟาริสีประณามการกินอาหารโดยไม่ล้างมือ ข้อ 2 แต่พระเยซูเจ้ากล่าวถึงปัญหาที่กว้างกว่า เรื่องอาหารที่บริสุทธิ์หรือเป็นมลทินตามบทบัญญัติ (ลนต 11) พระเยซูเจ้าทรงสอนว่าสิ่งที่เป็นมลทินอย่างแท้จริงและสำคัญกว่าคือมลทินทางจิตใจหรือบาป มากกว่ามลทินภายนอก (กจ 10:9-16,28 รม 14:14ฯ)
f คนต่างศาสนาต้องเข้ามาในดินแดนอิสราเอลเพื่อรับการรักษา
g ภาษากรีกยังอาจแปลได้อีกว่า “ส่งนางกลับไปเสีย” คำแปลที่ว่า “โปรดประทานตามที่นางทูลขอ” สอดคล้องกับ 18:27; และ 27:15
h พระเยซูเจ้าเสด็จมาเพื่อนำความรอดพ้นมาให้ชาวอิสราเอล ซึ่งเป็น “บุตรของพระเจ้า” และ “บุตรแห่งพระสัญญา” ก่อนที่จะช่วยคนต่างชาติ ซึ่งชาวอิสราเอลเรียกว่า “สุนัข” พระเยซูเจ้าทรงใช้สำนวนที่ชาวยิวทั่วไปคุ้นเคย แต่ลดการดูหมิ่นโดยทรงใช้ “ลูกสุนัข”
i สำเนาโบราณบางฉบับละ “คนขาพิการหายเป็นปรกติ”