วันพฤหัสบดีที่ 25 มิถุนายน 2015
สัปดาห์ที่สิบสอง เทศกาลธรรมดา
มธ 7:21-29…
21“คนที่กล่าวแก่เราว่า ‘พระเจ้าข้า พระเจ้าข้า’ นั้นมิใช่ทุกคนจะได้เข้าสู่อาณาจักรสวรรค์ แต่ผู้ที่ปฏิบัติตามพระประสงค์ของพระบิดาของเราผู้สถิตในสวรรค์นั่นแหละจะ เข้าสู่สวรรค์ได้ 22ในวันนั้น หลายคนจะกล่าวแก่เราว่า ‘พระเจ้าข้า พระเจ้าข้า ข้าพเจ้าทั้งหลายได้ประกาศพระวาจาในพระนามพระองค์ ขับไล่ปีศาจในพระนามพระองค์ และได้ทำอัศจรรย์หลายประการในพระนามพระองค์มิใช่หรือ’ 23เมื่อนั้น เราจะกล่าวแก่เขาว่า ‘เราไม่เคยรู้จักท่านทั้งหลายเลย ท่านผู้ทำความชั่ว จงไปให้พ้นหน้าเรา’
24“ผู้ใดฟังถ้อยคำเหล่านี้ของเราและปฏิบัติตาม ก็เปรียบเสมือนคนมีปัญญาที่สร้างบ้านไว้บนหิน
25ฝนจะตก น้ำจะไหลเชี่ยว ลมจะพัดโหมเข้าใส่บ้านหลังนั้น บ้านก็ไม่พัง เพราะมีรากฐานอยู่บนหิน 26ผู้ใดที่ฟังถ้อยคำเหล่านี้ของเรา และไม่ปฏิบัติตามก็เปรียบเสมือนคนโง่เขลาที่สร้างบ้านไว้บนทราย 27เมื่อฝนตก น้ำไหลเชี่ยว ลมพัดโหมเข้าใส่บ้านหลังนั้น มันก็พังทลายลงและเสียหายมาก” 28เมื่อพระเยซูเจ้าตรัสถ้อยคำเหล่านี้จบแล้ว ประชาชนต่างพิศวงในคำสั่งสอนของพระองค์ 29เพราะพระองค์ทรงสอนเขาอย่างผู้มีอำนาจ ไม่ใช่สอนเหมือนบรรดาธรรมาจารย์ของเขา
อรรถาธิบายและไตร่ตรอง
• “ฟังและปฏิบัติ” เท่านั้น คือชีวิตคริสตชนของเรา... เราพบว่าพระวรสารนักบุญมัทธิววันนี้มาถึงตอนสุดท้ายของบทเทศน์แรกสุดของพระ เยซูเจ้า คือ บทเทศน์บภูเขา Sermon on the Mount พระองค์เริ่มเทศน์ที่มหาบุญลาภ และมัทธิวบันทึกตลอด 3 บทในพระวรสารของท่าน คือ มธ 5-7 เราได้อ่านและไตร่ตรองมาอย่าต่อเนื่องเป็นอาทิตย์ครับ... พระองค์สอนมหาบุญลาภ พระองค์สอนบัญญัติใหม่ที่สมบูรณ์กว่าบัญญัติเดิม พระองค์สอนการภาวนา การจำศีล การให้ทาน ฯลฯ และที่สุด ภาพบนภูเขาที่กาลิลีมาถึงจุดสำคัญ คือ “บทสรุป” ถ้าเราสรุปง่ายคือ “ฟังแล้วจะทำหรือไม่ทำ” “ปฏิบัติหรือไม่ปฏิบัติ” เสียงของพระองค์คือพระวาจาบนภูเขาที่ดังก้องและบันทึกไว้ในพระวรสาร ต่อไปนี้คือเรา ฟังแล้วเราจะปฏิบัติหรือไม่...
• ประสบการณ์ของพ่อ “เสน่ห์ของภูเขามหาบุญลาภ” พ่อได้มีโอกาสขึ้นไปหลายๆครั้งที่กาลิลี.. พ่อรักสถานที่นี้ที่สุดเช่นกัน คือ พ่อขึ้นไปทุกครั้ง พ่อได้เห็นภาพของทะเลสาบกาลิลี ได้เห็นบริเวณภูเขาที่พ่อขึ้นไป ไปถวายมิสซากับกลุ่มแสวงบุญทั้งพระสงฆ์ นักบวช และคริสตชนฆราวาส พ่อขึ้นไปทุกครั้งพ่อประทับใจทุกที... เพราะ ณ สถานที่นี้ พระองค์ได้ประกาศ “ความสุขแท้ หรือบุญลาภ” พ่อขึ้นไปทุกครั้ง พ่อจะถวายมิสซา ณ ที่นั่น
• พ่อรักความเงียบสงบบนภูเขามหาบุญลาภ (Mount of Beatitudes) ที่นั่น..พ่อได้ยินเสียงลมพักบนเขาที่พัดขึ้นมากจากทะเลสาบกาลิลีที่ พ่อจะนั่งหันหน้าลงไปที่ทะเลสาบ พ่อจะจินตนาการ... คนจำนวนมากตามพระองค์ พระองค์เห็นพวกเขามากมายจึงขึ้นไปบนภูเขา... พระองค์ประทับนั่ง บรรดาศิษย์เข้ามาห้อมล้อมพระองค์ พระองค์เผยพระโอษฐ์ สอนพวกเขา ตรัสว่า “ความสุขแท้... บุญลาภ (Makarios)… (เทียบ มธ 5:1ff) พ่อจะพยายามใช้เวลามากที่สุดกับการนั่งเงียบๆ เพื่อฟัง พ่อศึกษา พ่อเทศน์เรื่องมหาบุญลาภมามากมายหลายรอบ อาจจะถึงร้อยรอบกระมัง... เมื่อพ่อไป ณ สถานที่ภูเขาริมทะเลสาบกาลิลี.. พ่ออยากได้ยิน อยากได้ยินเสียงของพระเยซูเจ้าจริงๆ พ่อจินตนาการ พ่อนั่งเงียบๆ มองทะเลสาบ พยายามฟังเสียงกระแสลม และคิดถึงบรรยากาศเมื่อสองพันปีก่อนที่พระองค์ประทับนั่งตรัสจากพระโอษฐ์ของ พระองค์ที่นั่น...
• โอ ขนาดเขียนนี้ ยังรู้สึกได้เลยว่า บรรยากาศนั้น การนั่งฟังของประชาชน ช่างมีความสุข เพราะในฤดูที่อากาศดี ดีจริงๆ สดชื่นจริงๆ ภาพบรรยากาศภูเขาล้อมทะเลสาบแสนสวยสงบ และความเงียบที่ทำให้ได้ยินเสียงพระองค์ตรัส... (มีคนบอกว่า เสียงที่พูดไปแล้วจะเป็นคลื่นเสียงที่ไม่มีที่สิ้นสุด มันจะสะท้อนไปมาในอากาศตลอดไป.. พ่อก็พยายามนั่งเงียบ อยากได้ยิน อยากได้ฟัง “พระดำรัส” ของพระเยซูเจ้าเอง อยากได้ยิน “เสียง” สะท้อนที่ยังก้องอยู่ของพระองค์)
• ภาพที่พ่อเขียนเล่ามาทั้งหมด... พ่อสะท้อนความงดงามของสถานที่ และความยิ่งใหญ่แห่งคำสอน “มหาบุญลาภ” ที่พระเยซูเจ้าประทับนั่ง ตรัสสอนจากพระโอษฐ์ ภาพที่บรรดาศิษย์เข้าห้อมล้อมฟังพระองค์... ใช่ๆๆๆ บรรยากาศก็พาไป ใจก็มุ่งสู่พระสุระเสียงของพระเยซูเจ้า... แต่ แต่ แต่
• เมื่อมาถึงตอนสุดท้ายของพระโอวาทบนภูเขา.. ที่กาลิลี ที่ท่านนักบุญมัทธิวบันทึกให้เราอ่านและไตร่ตรองมาหลายๆวันในมิสซาที่จัดไว้ และพ่อก็เขียนบรรยายตลอดมาเป็นอาทิตย์แล้ว.. วันนี้ ความสุขของสถานที่ ความใหลหลงอยู่กลับบรรยากาศและการถูกสะกดให้นิ่งฟังพระวาจาแสนงดงามของพระ โอวาทบนภูเขามาถึงจะหักศอก... ทำให้ต้องสะดุ้งในวิญญาณ ไม่ใช่เพียงการฟัง ไม่ใช่ความเคลิบเคลิ้มในการฟังพระวาจาเท่านั้นนี่นา... มากกว่านั้น... มากกว่านั้นจริงๆ จาก “การฟัง”.. ต้องนำไปสู่การ “ปฏิบัติ”
• ไม่ใช่การร้องร่ำภาวนาดังที่พระองค์สอนด้วยซ้ำที่สอนบทข้าแต่พระบิดา... สอนให้ภาวนา... ไม่ใช่การร้องภาวนาคร่ำครวญชวนศรัทธา ไม่ใช่การฟังและอินเนอร์กับพระวาจา แต่ แต่ แต่... อ่านพระคัมภีร์ตอนจบพระโอวาทนี้ดีๆสิครับ
o “คนที่กล่าวแก่เราว่า ‘พระเจ้าข้า พระเจ้าข้า’ นั้นมิใช่ทุกคนจะได้เข้าสู่อาณาจักรสวรรค์ แต่ผู้ที่ปฏิบัติตามพระประสงค์ของพระบิดาของเราผู้สถิตในสวรรค์นั่นแหละจะ เข้าสู่สวรรค์ได้”
o ความสำคัญที่สุด...ไม่ใช่อยู่ที่การร้องร่ำหาพระเจ้า ไม่ใช่การประกาศหาพระเจ้า แต่ สำคัญที่สุดนั้นอยู่ที่ การ “ปฏิบัติตาม” พระวาจาของพระเจ้า คือ กระทำตามพระประสงค์ของพระเจ้าพระบิดาต่างหากที่สำคัญที่สุด
o พ่อจึงมาถึงหัวใจสำคัญของพระโอวาท คำสอนของพระเยซูเจ้า คือ การฟังและปฏิบัติตามพระประสงค์หรือคำสอนของพระเจ้าเป็นสำคัญที่สุด นั่นเอง...
• ใช่ พ่อเดินทางไปที่นั่นทีไร พ่อมีความสุขทุกที พ่อเทศน์สอนพระโอวาทบนภูเขาทีไร พ่อประทับใจและกินใจตนเองด้วยทุกทีเลย... แต่ที่สุดแล้ว พี่น้องที่รัก สำคัญสูงสุดอยู่ที่ให้เราปฏิบัติตามพระโอวาทบนภูเขา คือ ชีวิตที่ดำเนินตามพระประสงค์ของพระเจ้า ให้เราต้อง “เชื่อ รัก หวัง เต็มเปี่ยมในพระองค์” เร้าต้อง “แสวงหาพระองค์สุดกำลัง เราต้องมีใจบริสุทธิ์ เราต้องเป็นผู้สร้างสันติ” กล่าวตรงๆ คือ เราดำเนินชีวิตตามพระโอวาทบนภูเขาหรือเส้นแทงแห่งมหาบุญลาภอย่างแท้จริงใน ชีวิตของเราครับ
• “เราต้องเป็นเกลือดองแผ่นดิน เป็นแสงสว่างส่องโลก” (มธ 5:13-14)
o ความจริงวานนี้มีพี่น้องท่านหนึ่ง แน่นอนเขาคือลูกรักของพระเจ้าพระบิดา... เขาถามพ่อว่า “พ่อเราจะสามารถเป็นเกลือดองโลก เป็นแสงสว่างส่องโลกได้อย่างไรในท่ามกลางกิจการงานและอาชีพหรือสังคมของ เรา...”
o พ่อได้ตอบเขาไปด้วยพระวาจาจากพระเยซูเอง.. คือ “กิจการดี” เพราะพระองค์ตรัสว่า “เพื่อคนทั้งหลายเห็นกิจการดีของท่าน เขาจะได้สรรเสริญพระบิดาเจ้าสวรรค์ของท่าน” (มธ 5:16)
• พี่น้องที่รัก พระวาจาวันนี้ตอนจบของพระโอวาทบนภูเขามาถึงจุดสำคัญ ไม่ใช่มโนจินตนาการ ไม่ใช่การชื่นชมคำสอนแสนสวยงาม ไม่ใช่การกลับไปบนภูเขามหาบุญลาภด้วย ไม่ใช่อินเนอร์กับบรรยากาศของสถานที่ กระแสลม และเคลิ้มกับคำสอนบนภูเขา... แต่ แต่ แต่...
o “ผู้ใดฟังถ้อยคำเหล่านี้ของเราและปฏิบัติตาม ก็เปรียบเสมือนคนมีปัญญาที่สร้างบ้านไว้บนหิน ฝนจะตก น้ำจะไหลเชี่ยว ลมจะพัดโหมเข้าใส่บ้านหลังนั้น บ้านก็ไม่พัง เพราะมีรากฐานอยู่บนหิน
o ผู้ใดที่ฟังถ้อยคำเหล่านี้ของเรา และไม่ปฏิบัติตามก็เปรียบเสมือนคนโง่เขลาที่สร้างบ้านไว้บนทราย เมื่อฝนตก น้ำไหลเชี่ยว ลมพัดโหมเข้าใส่บ้านหลังนั้น มันก็พังทลายลงและเสียหายมาก”
• พ่อเชิญชวนพวกเราให้ “มีปัญญา” ครับ สร้างวางรากฐานชีวิตคริสตชนของเราไว้บนความแข็งแกร่งแห่งศิลาแท้ พระศิลานั้นคือพระเยซูคริสตชน ตามหนทางความจริงและชีวิตของพระองค์... ตามพระฉบับแห่งความรักของพระองค์ที่ทรงมอบให้กับเราบนไม้กางเขน คือ รักจนถึงที่สุดนะครับ... รัก รัก รัก ปฏิบัติบัญญัติแห่งความรักสุดกำลังนะครับ...
• เราต้องไม่ขาดปัญญา เราต้องไม่โง่เขลาในการดำเนินชีวิต...เด็ดขาดนะครับ....
• กระแสโลก กระแสโลภ รุนแรงมากๆในโลกปัจจุบัน สังคมปัจจุบัน ทำให้เราคริสตชนทุกคนต้องกล้าครับ กล้าปฏิบัติตามพระวาจาของพระเจ้า โดยการดำเนินชีวิตในกิจการดีจริงๆนะครับ กิจการแห่งความรักเมตตาและเปี่ยมด้วยความสุขแท้ที่สุดนะครับ ไม่ต้องเยอะ ไม่ต้องเยอะ เพียงแต่ ดำเนินชีวิตเป็น “เกลือที่มีคุณภาพ เป็นแสงสว่างแห่งคุณธรรม” เพื่อรักษาสังคมให้อยู่ในความจริงและความดีเสมอไป เริ่มจากคนรอบข้างเรานะครับ เริ่มจากครอบครัวเรา ชุมชนวัดของเรา ที่ทำงานอาชีพของเรา.. ไม่เพียงแต่ฟังพระวาจา แต่ต้องปฏิบัติตามพระวาจาของพระเยซูเจ้านะครับ...
• “เมื่อพระเยซูเจ้าตรัสถ้อยคำเหล่านี้จบแล้ว ประชาชนต่างพิศวงในคำสั่งสอนของพระองค์ เพราะพระองค์ทรงสอนเขาอย่างผู้มีอำนาจ ไม่ใช่สอนเหมือนบรรดาธรรมาจารย์ของเขา”
o เซอร์ไพรส์ของประชาชน เพราะคำสอนของพระองค์ มีอำนาจ มิใช่เพียงจำมากพูด แต่มาจากความรักยิ่งใหญ่ของพระองค์จริงๆ ประชาชนพิศวงในพระองค์
o พี่น้องที่รัก จงทำให้ทุกคนรอบข้างพิศวงในคำสอนของเรา ในชีวิตของเรา เพราะเราดำเนินชีวิตเต็มไปด้วยกิจการดีนะครับ เพื่อคนทั้งหลายสรรเสริญพระบิดาเจ้าสวรรค์เพราะความดี ความงดงามแห่งชีวิตของเรา...
o อย่าทำให้คนรอบข้างเราผิดหวังนะครับ เหตุเพราะว่า เราเป็นคริสตชนครับ... ดีเสมอ น่ารักเสมอนะครับ ขอพระเจ้าอวยพรครับ