“จดหมายของนักบุญเปาโลถึงชาวเธสะโลนิกา ฉบับที่ 1”
1.คำขึ้นต้น (3)
b) ประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน
1. “พระศาสนจักร”
ข้าพเจ้าเป็นสมาชิกของพระศาสนจักร คือกลุ่มคริสตชนที่ได้รับคำนิยามจากการถูกเรียกให้มาชุมนุมกัน พระเจ้าไม่ทรงเรียกคริสตชนแต่ละคนให้มีความสัมพันธ์กับพระองค์โดยลำพัง แต่ทรงเรียกให้มีความสัมพันธ์กับผู้อื่นอีกด้วย จุดเริ่มต้นและจุดมุ่งหมายของการเรียกคือ พระบิดาเจ้าผู้ทรงบันดาลให้มนุษย์ทุกคนเป็นเพื่อนพี่น้องกันในพระบุตร เพราะเหตุนี้ มีพระศาสนจักรหนึ่งเดียวทั่วโลก มีพระบิดาเพียงพระองค์เดียว พระบุตรเพียงพระองค์เดียว พระจิตเจ้าเพียงพระองค์เดียว และคริสตชนเป็นเพื่อนพี่น้องในครอบครัวหนึ่งเดียว กลุ่มคริสตชนแต่ละกลุ่มทำให้พระศาสนจักรสากลเป็นความจริงที่นั่น เมื่อเรารักเพื่อนพี่น้องที่อยู่ใกล้ชิดกับเรา เรามีความรักต่อพระบิดาเจ้าผู้ทรงเป็นบิดาของมนุษย์ทุกคนอีกด้วย
การที่มนุษย์ทุกคนเป็นเพื่อนพี่น้องกันจึงเป็นความจริงในกลุ่มคริสตชนแต่ละกลุ่ม ถ้าข้าพเจ้าไม่เป็นสมาชิกของกลุ่มคริสตชนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง ไม่ว่าจะเล็กน้อยเพียงใด ข้าพเจ้าก็ไม่เป็นสมาชิกของพระศาสนจักรสากลอีกด้วย เพราะพระเยซูเจ้าตรัสว่า “ที่ใดมีสองหรือสามคน ชุมนุมกันในนามของเรา เราอยู่ที่นั่นในหมู่พวกเขา” (มธ 18 :20) ชุมชนคริสตชนแรก ๆ ไม่เป็นกลุ่มที่ปิดตัว แต่เป็นกลุ่มที่ปรารถนาร่วมกับกลุ่มอื่น ๆ เป็นสากลเปิดรับมนุษย์ทุกคน ไม่ว่าเขาจะรู้หรือไม่ เขาก็เป็นบุตรของพระบิดาเจ้าและเป็นเพื่อนพี่น้องของเรา ดังนั้น คำพูดและชีวิตของเราจึงต้องแสดงว่า เขาเป็นบุตรของพระเจ้าด้วย เพื่อเขาจะได้มีความยินดีที่ได้รู้ว่า ตนเป็นบุตรของพระเจ้าและเพื่อนพี่น้องของเราเช่นกัน
พระศาสนจักรท้องถิ่นเป็นเหมือนพระวรกายของพระคริสตเจ้า พระวรกายมีความจำกัดเป็นรูปธรรมหนึ่งเดียว แต่ประกอบด้วยอวัยวะหลายส่วน กระนั้นก็ดี เป็นเนื้อหนังของพระวจนาตถ์ มีความสัมพันธ์ มีความสมานฉันท์กับมนุษย์ทุกคนและกับพระบิดาเจ้า เป็นความรอดพ้นของทุกคนและทุกสิ่งทุกอย่าง ดังนั้น พระศาสนจักรในฐานะที่เป็นพระวรกายของพระคริสตเจ้าเป็นสถานที่ ที่ข้าพเจ้ายอมอ่อนน้อมมอบตนแด่พระบิดาและเพื่อนพี่น้องของเรา ถ้าข้าพเจ้ารักพระศาสนจักรคือ บรรดาเพื่อนพี่น้องที่ข้าพเจ้าเห็น หมายความว่า ข้าพเจ้ารักพระเจ้าที่มองไม่เห็น (เทียบ 1 ยน 4:20)
แม้พระศาสนจักรรวมคนบาป และอาจจะอยู่ในอันตรายถูกผจญที่จะทำบาป จึงต้องการกลับใจอยู่เสมอ แต่ยังเป็นที่รักของพระเจ้าและพระองค์ทรงรักพระศาสนจักรอย่างไม่มีขอบเขต พระองค์ทรงรักมนุษยชาติดังที่เป็น ทรงรักประชากรนี้ ไม่ใช่ประชากรในอุดมคติที่ดีกว่า โมเสสเข้าใจเรื่องนี้ เมื่อพูดว่า “ขอพระองค์ทรงอภัยบาปให้เขาทั้งหลายเถิด มิฉะนั้น ขอทรงลบชื่อของข้าพเจ้าออกจากหนังสือที่พระองค์ทรงเขียนไว้เถิด” (อพย 32 :32) นักบุญเปาโลเข้าใจเรื่องนี้เช่นกันดังที่เขียนว่า “ข้าพเจ้ายินดีถูกสาปแช่ง ถูกตัดขาดจากพระคริสตเจ้า ถ้าหากจะเป็นประโยชน์ต่อเพื่อนพี่น้องของข้าพเจ้าซึ่งมีเลือดเนื้อเชื้อไขเดียวกัน” (รม 9:3) “ความรักของพระคริสตเจ้าผลักดันเรา เราแน่ใจว่าถ้าคนหนึ่งตายเพื่อทุกคน ก็เหมือนกับว่าทุกคนได้ตายด้วย” (2 คร 5:14)
พระเยซูเจ้าทรงกระทำเช่นนี้ ทรงเป็นพระบุตรที่ทรงรับธรรมชาติมนุษย์ เพื่อเป็นเพื่อนพี่น้องกับมนุษย์ทุกคนที่หลงผิดและเป็นคนบาป เพื่อเขาจะพบความรักของพระบิดาอีกครั้งหนึ่ง เป็นความรักที่พระบุตรทรงทราบ นักบุญออกัสตินจึงเขียนไว้ว่า “พี่น้องทั้งหลาย พวกเรามั่นใจว่า เราแต่ละคนมีพระจิตเจ้ามากน้อยเพียงใดขึ้นอยู่กับว่า เราแต่ละคนรักพระศาสนจักรของพระคริสตเจ้ามากน้อยเพียงนั้น”