เพลงสดุดีที่ 49

ความตายและทรัพย์สมบัติa

สดด บทนี้อยู่ในวรรณกรรมประเภท “ปรีชาญาณ” ผู้ประพันธ์เชิญชวนมนุษย์ทุกคนให้ฟังคำตักเตือนของเขาเกี่ยวกับทรัพย์สินเงินทอง แม้เมื่อเขาแลเห็นคนชั่วมีความสุขสบาย เจริญรุ่งเรืองด้วยทรัพย์สินเงินทอง เขาก็ยังยืนยันว่า “แม้มนุษย์จะร่ำรวย เขาก็อยู่ได้ไม่นาน เขาเป็นเหมือนสัตว์ที่จะต้องถูกฆ่า” (ข้อ 12,20) ผู้ประพันธ์มิได้ประณามทรัพย์สินเงินทองโดยตรง แต่ตำหนิผู้ที่ไว้วางใจในทรัพย์สินเงินทองเพียงอย่างเดียว คำสอนของพระเยซูเจ้าในเรื่องทรัพย์สินเงินทองนี้ชัดเจนมาก จากอุปมาเรื่องเศรษฐีกับลาซารัส (ลก 16:19-31) และจากข้อความหลายตอนในพันธสัญญาใหม่ เพลงสดุดีบทนี้จึงเป็นบทสอนสำคัญสำหรับประเทศที่กำลังพัฒนาทั้งหลาย ซึ่งคิดว่าความร่ำรวยทางวัตถุคือความสำเร็จในการพัฒนา โดยไม่คำนึงถึงคุณค่าทางศีลธรรมซึ่งมีความสำคัญกว่า

สำหรับหัวหน้านักขับร้อง เพลงสดุดีของลูกหลานโคราห์

1ประชากรทั้งหลาย ฟังทางนี้เถิด

        ท่านทั้งหลายที่พำนักอยู่บนแผ่นดิน จงเงี่ยหูเถิด

2ท่านที่เป็นสามัญชนหรือมีตระกูลสูง

        ทั้งที่ร่ำรวยและยากจน

3ปากของข้าพเจ้าจะกล่าวปรีชาญาณ

        ใจของข้าพเจ้าจะท่องบ่นความคิดที่ฉลาด

4ข้าพเจ้าจะเงี่ยหูฟังสุภาษิต

        จะบรรเลงพิณอธิบายปริศนา

5เหตุไฉนข้าพเจ้าจะต้องหวาดกลัวในยามทุกข์ร้อน

        เมื่อความมุ่งร้ายของผู้เบียดเบียนbห้อมล้อมข้าพเจ้า

6เขามั่นใจในความมั่งคั่งของตน

        และโอ้อวดถึงทรัพย์สินที่มีอยู่มากมาย

7แต่ไม่มีผู้ใดจะไถ่กู้ตนเองได้

        ไม่มีผู้ใดจะจ่ายค่าไถ่ตนแก่พระเจ้า

8ราคาชีวิตของเขานั้นสูงเกินไป

        จ่ายเท่าไรก็ไม่พอ

9เพื่อจะได้มีชีวิตอยู่ตลอดไป

        แล้วจะไม่ต้องเห็นหลุมศพ

10ดูซิ ผู้มีปรีชาตาย

        เขาพินาศไปเช่นเดียวกับคนโง่เขลาเบาปัญญา

แล้วทิ้งทรัพย์สมบัติของตนไว้ให้ผู้อื่น

11หลุมศพcจะเป็นบ้านของเขาตลอดไป

        เป็นกระโจมที่พำนักชั่วกัปชั่วกัลป์

ทั้งๆ ที่เขาได้เรียกแผ่นดินหลายแห่งตามชื่อของตน

12แม้มนุษย์จะร่ำรวย เขาก็อยู่ได้ไม่นานd

        เป็นเหมือนสัตว์ที่จะต้องถูกฆ่า

13นี่คือชะตากรรมของผู้ที่มั่นใจในตนเอง

        นี่คืออนาคตของผู้ที่พอใจในวาจาของตนe

                                                            (พักครู่หนึ่ง)

14เขาทั้งหลายจะถูกต้อนเหมือนแกะไปยังแดนมรณะ

        มัจจุราชfจะเป็นผู้เลี้ยงดูเขา

ในเวลาเช้าผู้ชอบธรรมจะเหยียบย่ำเขา

        ร่องรอยของเขาจะอันตรธานไปสิ้น

แดนมรณะจะเป็นที่พำนักของเขาg

15แต่พระเจ้าทรงไถ่กู้ชีวิตของข้าพเจ้า

        พระองค์จะทรงฉุดข้าพเจ้าให้พ้นจากอำนาจของแดนมรณะอย่างแน่นอนh

                                                            (พักครู่หนึ่ง)

16เมื่อเห็นผู้ใดร่ำรวยขึ้นก็อย่ากลัวเลย

        แม้บ้านของเขาจะหรูหรายิ่งขึ้น

17เมื่อตาย เขาจะเอาสิ่งใดไปไม่ได้เลย

        ความหรูหราของเขาจะไม่ตามเขาลงไปในแดนมรณะi

18เมื่อมีชีวิตอยู่ เขาอวยพรตนเองว่า

        “ใครๆ จะสรรเสริญท่าน เพราะท่านมีความสุขสบาย”

19เขาจะต้องไปอยู่กับบรรดาบรรพบุรุษ

        ซึ่งจะไม่ได้เห็นแสงสว่างอีกเลย

20มนุษย์แม้จะร่ำราย แต่ถ้าขาดความเข้าใจ

        ก็เป็นเหมือนสัตว์ที่จะต้องถูกฆ่า

 

49 a เพลงสดุดีบทนี้กล่าวถึงปัญหาความร่ำรวยของคนอธรรม เช่นเดียวกับ สดด 37 และ 73 คำตอบอยู่ในแนวความคิดของผู้มีปรีชาที่ว่า ทรัพย์สมบัติไม่ใช่สิ่งจีรังยั่งยืน เราพบความคิดหลักได้ในคำพังเพยที่เสียดสีในข้อ 12 และ 20

b “ของผู้เบียดเบียน” แปลโดยคาดคะเน ต้นฉบับไม่ชัดเจน

c “หลุมศพ” แปลตามสำนวนแปลโบราณหลายฉบับ ต้นฉบับภาษาฮีบรูว่า “ภายใน”

d “อยู่ได้ไม่นาน” แปลตามตัวอักษรว่า “ค้างคืน” เทียบข้อ 20 ภาษาฮีบรูมีเสียงคล้ายกัน

e “วาจาของตน” แปลโดยคาดคะเน

f “มัจจุราช” แปลตามตัวอักษรว่า “ความตาย” (ดู โยบ 18:13; 28:22; ยรม 9:20; ฮชย 13:14)

g “ที่พำนักของเขา” แปลโดยคาดคะเน ต้นฉบับภาษาฮีบรูของข้อ 14 นี้ไม่สมบูรณ์ “เวลาเช้า” เป็นเวลาของการพิพากษาเมื่อสิ้นโลก และเป็นเวลาที่ผู้ชอบธรรมจะมีชัยชนะ (เทียบ สดด 17:15 เชิงอรรถ d)

h “ฉุดขึ้น” ผู้นิพนธ์เพลงสดุดีหวังว่าพระเจ้าจะทรงพิทักษ์รักษาตนให้พ้นจากอำนาจของความตาย เรากล่าวไม่ได้ว่าข้อความนี้ยืนยันถึงการที่พระเจ้าจะทรงยกผู้ชอบธรรมขึ้นไปสวรรค์เช่นเดียวกับเอโนคหรือประกาศกเอลียาห์ (ดู สดด 16:10 เชิงอรรถ g; 73:24) แต่อย่างน้อยเขาก็คิดว่าชะตากรรมของผู้ชอบธรรมต้องแตกต่างจากชะตากรรมของคนอธรรม มิตรภาพที่พระเจ้าประทานให้ผู้ชอบธรรมนั้นจะต้องคงอยู่ตลอดไปไม่มีที่สิ้นสุด ความเชื่อเช่นนี้เป็นการปูทางไว้สำหรับการเปิดเผยในภายหลังถึงการกลับคืนชีพของบรรดาผู้ตายและชีวิตนิรันดรเป็นการตอบแทนความดีของผู้ชอบธรรม (ดู 2 มคบ 7:9 เชิงอรรถ c)

i ในทางตรงข้าม พระเจ้าจะประทานชีวิตรุ่งโรจน์ให้ผู้ชอบธรรม (สดด 73:24; 91:15)