เพลงสดุดีที่ 40

เพลงขอบพระคุณและภาวนาขอความช่วยเหลือa

สดด บทนี้เรียงลำดับความคิดในแบบไม่ธรรมดา คือเริ่มด้วยการขอบพระคุณและความหวัง (ข้อ 1-12) แล้วจบด้วยคำอ้อนวอนขอให้ทรงช่วยให้รอดพ้น (ข้อ 13-17) ภาคที่สองนี้เหมือนกันกับ สดด 70 จึงชวนให้คิดว่าแต่เดิมคงเป็นเพลงสดุดี 2 บทซึ่งถูกนำมารวมกัน ฮบ 10:5-7 เชิญชวนเราให้ฟังถ้อยคำในข้อ 6-8 ว่าเป็นถ้อยคำที่พระคริสตเจ้าตรัส ข้อความนี้มิได้หมายความว่าการถวายบูชาไม่มีความจำเป็นอีกต่อไป แต่หมายความว่าการถวายตนแด่พระเจ้า โดยพร้อมที่จะเชื่อฟังพระองค์ตลอดเวลานั้นมีความสำคัญมากกว่า (เทียบ 1 ซมอ 15:22; ฮชย 6:6)

สำหรับหัวหน้านักขับร้อง เพลงสดุดี ของกษัตริย์ดาวิด

1ข้าพเจ้ารอคอยพระยาห์เวห์ด้วยความหวัง

        แล้วพระองค์ก็ทรงก้มลงมาหาข้าพเจ้า

และทรงฟังเสียงร้องขอความช่วยเหลือของข้าพเจ้า

2พระองค์ทรงฉุดข้าพเจ้าขึ้นจากขุมลึกแห่งความพินาศ

        จากโคลนตมในปลักเลน

ทรงให้ข้าพเจ้ายืนบนก้อนหิน

        ให้ก้าวเดินไปอย่างมั่นคง

       

3พระองค์ทรงใส่เพลงบทใหม่ไว้ในปากข้าพเจ้า

        เป็นบทเพลงสรรเสริญพระเจ้าของเรา

หลายคนจะแลเห็นและมีความยำเกรง

        จะวางใจในพระยาห์เวห์

4ผู้ที่วางใจในพระยาห์เวห์ย่อมเป็นสุข

        เขาไม่หันไปกราบไหว้รูปเคารพ

และไม่หลงไปหาความเท็จเทียม

5ข้าแต่พระยาห์เวห์ พระเจ้าของข้าพเจ้า

        การอัศจรรย์และแผนการที่ทรงกระทำสำหรับข้าพเจ้าทั้งหลายนั้นช่างมากมาย

        เหลือเกิน

จะหาผู้ใดมาเทียมเท่าพระองค์ได้

        ข้าพเจ้าใคร่จะประกาศและบอกเล่าถึงเรื่องเหล่านี้

แต่ก็ไม่สำเร็จ เพราะมีมากเหลือคณานับ

6พระองค์ไม่ทรงประสงค์เครื่องบูชาหรือของถวายใดๆ

        แต่ประทานหูให้ข้าพเจ้าฟังb

พระองค์มิได้ทรงเรียกร้องเครื่องเผาบูชาหรือเครื่องบูชาชดเชยบาป

7ข้าพเจ้าจึงทูลว่า “ข้าพเจ้าอยู่นี่ กำลังมาแล้ว”

        ในม้วนหนังสือมีเขียนไว้สำหรับข้าพเจ้า

8ให้ปฏิบัติตามพระประสงค์ของพระองค์

        ข้าแต่พระเจ้า ข้าพเจ้าปรารถนาเช่นนั้นc

ธรรมบัญญัติของพระองค์อยู่ลึกในหัวใจของข้าพเจ้า

9ข้าพเจ้าประกาศความเที่ยงธรรมของพระองค์dในที่ประชุมใหญ่

        ถูกแล้ว ข้าพเจ้ามิได้ปิดปากเลย

ข้าแต่พระยาห์เวห์ พระองค์ทรงทราบอยู่แล้ว

10ข้าพเจ้ามิได้ซ่อนความเที่ยงธรรมของพระองค์ไว้ลึกในใจของข้าพเจ้า

ข้าพเจ้าประกาศว่าพระองค์ทรงซื่อสัตย์และทรงช่วยให้รอดพ้น

ข้าพเจ้าไม่ได้ซ่อนความรักมั่นคงและความซื่อสัตย์ของพระองค์ไว้จากที่ประชุมใหญ่

11ข้าแต่พระยาห์เวห์ โปรดอย่าทรงหยุดยั้งที่จะแสดงความกรุณาต่อข้าพเจ้า

        ความรักมั่นคงและความซื่อสัตย์ของพระองค์ปกปักรักษาข้าพเจ้าไว้ตลอดเวลา

12เพราะความทุกข์ร้อนมากมายจนนับไม่ถ้วนห้อมล้อมข้าพเจ้า

        ความผิดทับถมข้าพเจ้า จนข้าพเจ้ามองไม่เห็นอีกแล้ว

บาปของข้าพเจ้ามีมากกว่าเส้นผมบนศีรษะของข้าพเจ้า

        จนข้าพเจ้าหมดกำลังใจ

13ข้าแต่พระยาห์เวห์ โปรดพอพระทัยที่จะช่วยชีวิตข้าพเจ้า

        ข้าแต่พระยาห์เวห์ โปรดเสด็จมาช่วยเหลือข้าพเจ้าโดยเร็วเถิด

14ผู้ที่มุ่งเอาชีวิตข้าพเจ้า จงได้รับความอับอาย

        ผู้ที่ยินดีในความพินาศของข้าพเจ้า จงหนีไปอย่างอัปยศ

15ผู้ที่กล่าวแก่ข้าพเจ้าว่า “สมน้ำหน้า”

        จงตกตะลึงด้วยความอับอาย

16แต่ทุกคนที่แสวงหาพระองค์จงยินดีและชื่นชมในพระองค์เถิด

        ผู้ที่รักพระองค์ผู้ทรงช่วยให้รอดพ้น

จงพูดเสมอว่า “พระยาห์เวห์ทรงยิ่งใหญ่”

17ข้าพเจ้ายากจนและขัดสน

        องค์พระผู้เป็นเจ้าก็ยังเอาพระทัยใส่ข้าพเจ้า

พระองค์ทรงช่วยเหลือและประทานความรอดพ้นแก่ข้าพเจ้า

        ข้าแต่พระเจ้าของข้าพเจ้า ขออย่าทรงรอช้าอยู่เลย

 

40 a เพลงสดุดีบทนี้เป็นเพลงขอบพระคุณ (ข้อ 1-11) ถูกนำมารวมกับเพลงอ้อนวอนในยามทุกข์ร้อน (ข้อ 13-17) โดยมีข้อ 12 เป็นตัวเชื่อม เพลงอ้อนวอนนี้จะพบต่างหากอีกใน สดด 70 เมื่อบทเพลงทั้งสองถูกนำมารวมกันแล้ว ส่วนแรกจึงเป็นการทบทวนถึงเวลาที่มีชีวิตอย่างเป็นสุข เมื่อเทียบกับสภาพปัจจุบันซึ่งมีแต่ความทุกข์ จึงขอความช่วยเหลือจากพระยาห์เวห์

b แปลตามตัวอักษรว่า “ขุดหู” พระเจ้าทรงมีวิธีจัดการให้ผู้รับใช้ของพระองค์รู้ถึงพระประสงค์ (เทียบ อสย 50:5) ต้นฉบับภาษากรีกฉบับหนึ่งแปลประโยคนี้ว่า “พระองค์ได้ทรงปั้นร่างกายให้ข้าพเจ้า” ในภายหลังจึงมีผู้อธิบายความหมายว่ากล่าวถึงพระเมสสิยาห์ ซึ่งคริสตชนเข้าใจว่าหมายถึงพระคริสตเจ้า (ดู ฮบ 10:5ฯ)

c ความเชื่อฟังดีกว่าการถวายเครื่องบูชา (1 ซมอ 15:22) บรรดาประกาศกมักจะเตือนชาวอิสราเอลมิให้ประกอบพิธีกรรมเพียงภายนอกโดยไม่ตั้งใจที่จะปฏิบัติตามพระประสงค์ของพระเจ้า (อมส 5:21 เชิงอรรถ n ดู ปฐก 8:21 เชิงอรรถ c) หรือมิให้ชะล่าใจว่า ถ้าพระเจ้าประทับอยู่ในพระวิหารแล้วเขาจะปลอดภัย ไม่ว่าจะประพฤติตนอย่างไร (ดู ยรม 7:3-4) ในศาสนายูดายยุคหลังเนรเทศ พระวิหารยังมีความสำคัญต่อไปในฐานะที่เป็นเครื่องหมายแห่งความรอดพ้น (ศคย 1:16) แต่ในเวลาเดียวกันคารวกิจฝ่ายจิตใจก็มีความสำคัญมากยิ่งขึ้นเรื่อยๆ ท่าทีของจิตใจ การภาวนา ความเชื่อฟังและความรัก นับว่าเป็นคารวกิจฝ่ายจิตใจอีกด้วย (สดด 50; 51:17; 69:30-31; 141:2; สภษ 21:3 ดู ทบต 4:11; บสร 34:18-35:10) การพัฒนาดังกล่าวได้เตรียมศาสนายูดายให้คงอยู่ต่อไปหลังจากที่พระวิหารถูกทำลายไปแล้ว และยังพัฒนาต่อมาในพันธสัญญาใหม่ (รม 1:9 เชิงอรรถ f; 12:1 เชิงอรรถ a)

d “ของพระองค์” เป็นคำเสริมจากบริบท