เปาโลผู้ยกเลิกทาสในศตวรรษแรก
ปัจจุบันยังมีทาสทั่วโลกประมาณ 27 ล้านคน การค้ามนุษย์มีเงินหมุนเวียนราว 32000 ล้านบาท ทาสในยุคเราเกิดจากความโลภ ความกลัวและการมองข้ามคุณค่าชีวิต เป็นปัญหาใหญ่ที่เราต้องเผชิญและต้องแก้อย่างเอาจริงเอาจัง แต่ท่าทีของเปาโลใน 1ทธ 6.1 “ทุกคนที่เป็นทาสต้องคิดว่านายของตนควรได้รับเกียรติทุกอย่าง เพื่อพระนามของพระเจ้าและคำสอนของเราจะไม่ถูกกล่าวหาในทางที่เสื่อมเสีย” ดูเหมือนว่าท่านไม่ประนามการเป็นทาส ตรงกันข้ามกับแนะนำคริสตชนที่เป็นทาสให้ยกย่องนายตนที่เป็นคนต่างศาสนา
บริบทของทาสในยุคกรีก-โรมัน
ดิโอ คริสโซสโตม (40-120 คศ) นักปรัญญา นักพูดและนักเขียนได้กล่าวถึงมติของกลุ่มเมดิเตเรเนียนเกี่ยวกับทาสว่า บุคคลมีสิทธิ์ที่จะใช้คนอื่นตามอำเภอใจ เสมือนสมบัติของเขา หรือเสมือนสัตว์เลี้ยงที่บ้าน อย่างไรก็ดีทาสในสมัยกรีก-โรมัน ไม่ใช่เรื่องของเผ่าพันธ์ มีการสนับสนุนให้ทาสได้รับการศึกษา (มีบางกรณีที่ทาสมีการศึกษาสูงกว่านายตนเสียอีก) เพิ่มคุณค่าให้แก่ตนเอง ทาสหลายคนได้รับงานที่ต้องรับผิดชอบสูงละเอียดอ่อน ทาสเป็นเจ้าของทรัพย์สินได้รวมทั้งทาสด้วยกัน ปฏิบัติศาสนกิจและประเพณีต่างๆ ได้เหมือนคนที่เป็นไท พวกทาสจัดการชุมนุมสาธารณะได้ และที่สำคัญที่สุดทาสจำนวนมากในเมืองและทาสทำงานในบ้าน ตั้งตารอคอยการรับอิสระภาพเมื่ออายุครบ 30 ปี
อย่างไรก็ดีมีข้อแตกต่างระหว่างทาสที่เป็นยิว กรีกและโรมัน ในแวดวงกรีกทาสถือว่าทาสเป็นคนชั้นต่ำโดยธรรมชาติ ย่อมเป็นบุญของทาสที่มีนายเป็นกรีก (ซิเซโร อ้างคำพูดของพลาโต อริสโตเติล เฮโรโดตัส) ชาวกรีกยังคิดว่าเสรีภาพแยกได้เป็นภาคเป็นส่วน-คือเสรีภาพของทาสและไท ในระหว่างชาวยิวมีการยอมรับการคืนหนี้โดยเป็นทาสและมีการใช้ทาสในการสร้างวิหารเยรูซาเล็ม แต่เห็นว่าการนำยิวด้วยกันมาเป็นทาสเป็นสิ่งไม่เหมาะสม เพราะยิวทุกคนเป็นทาสของพระเจ้าเท่านั้น เนื่องจากบรรพบุรุษของพวกเขาได้รับการไถ่กู้จากการเป็นทาสของชาวอียิปต์ โดยพระองค์เอง (ลนต 25.55) ในประเพณีของชาวโรมัน ในแง่หนึ่งทาสคือสิ่งของวัตถุตามกฏหมาย (instrumentum vocale-เครื่องมือที่ใช้พูด) อีกแง่หนึ่งทาสได้รับการปฏิบัติเยี่ยงคนเสรีอื่นๆ และจะได้รับสัญชาติโรมันเมื่อได้รับอิสระภาพ ซึ่งมีบ่อยสม่ำเสมอ ดังนั้นทาสในเมืองและทาสทำงานบ้านจึงถือว่าอยู่ในขบวนการของการรับเข้าเป็นประชากรสังคมโรมัน แม้ว่าจะมีทาสในวัฒนธรรมส่วนใหญ่ มีแต่โรมันและกรีกเท่านั้นที่มีระบบชนชั้นทาสอย่างจริงจัง ความสำเร็จด้านวัฒนธรรมและความสะดวกสะบายของชาวกรีก มาจากน้ำพักน้ำแรงของทาสส่วนใหญ่ คงเป็นไปได้ที่ยิวปลดจากเป็นทาสได้สร้างศาลาธรรมที่กล่าวไว้ใน กจ 6.9 (บางคนจากศาลาธรรมที่เรียกกันว่าศาลาธรรมของเสรีชนที่เคยเป็นทาส)
แหล่งที่มาของทาสคือ ก) เชลยสงครามและคนที่โจรสลัดจับไปเรียกค่าไถ่ แถบเมดิเตอรเรเนียน ข) ถัดมาในศตวรรษแรกบุตรชายหญิงจากแม่ที่เป็นทาส ก็มักเป็นทาสไปด้วย ค) การขายเด็กไปเป็นทาส ง) เด็กที่ถูกทอดทิ้ง จ) นอกนั้นยังมีคนที่สมัครขายตนเป็นทาสเพื่อ 1) การใช้หนี้ 2) การได้สัญชาติโรมันเมื่อมีการปลดให้เป็นอิสระ 3) การได้งานดี 4) ชีวิตที่มั่นคงและไม่ต้องต่อสู้กับยากลำบากเช่นคนคนจนที่ขัดสนแต่เป็นอิสระ
เพื่อจะเข้าใจ 1 คร 7.23 (พระเจ้าทรงซื้อท่านมาด้วยราคาแพง จงอย่ากลับเป็นทาสของมนุษย์อีก) เราต้องนึกถึงบริบทของการเป็นทาสด้วยความสมัครใจ คงมีคริสตชนบางคนที่ขายตนเป็นทาสเพื่อจะได้เงินไปไถ่เพื่อคริสตชนที่มีนายไม่เอาไหน และเพื่อบริจาคทรัพย์สินช่วยคนขัดสน
บริบทของจดหมายเปาโล
1 ทธ 6.1 ต้องอ่านควบไปกับภาพรวมของบทก่อนหน้านั้น (5.1-21) เปาโลเน้นการให้เกียรติต่อกันและกัน คือการให้เกียรติแก่แม่หม้าย (5.1) ผู้ร่วมพิธีให้เกียรติผู้อาวุโส (5.17) และทาสต้องให้เกียรติแก่นาย (6.1) ผู้อาวุโสเองต้องปฏิบัติตนให้ดีต่อหน้าผู้ที่มิใช่คริสตชน การนบนอบของทาสต่อนายที่ไม่เป็นคริสตชน ย่อมเป็นที่มาของคำชมเชยสรรเสริญจากนาย น่าจะชักจูงพวกเขาให้เลื่อมใสศรัทธาในข่าวดี (เชิญดู รม 2.24)
ทาสมีศักยภาพที่จะประกาศข่าวดีเท่าเทียมคริสตชนทั่วๆ ไป แต่ถ้าไม่เคารพให้เกียรตินาย อาจมีผลตรงกันข้ามได้ (เพื่อพระนามของพระเจ้าและคำสอนของเราจะไม่ถูกกล่าวหาในทางที่เสื่อมเสีย) เปาโลมิได้สนับสนุนระบบทาส แต่สนับสนุนข่าวดีของพระคริสต์ที่จะขจัดระบบบทาสออกไป “ไม่มีชาวยิวหรือชาวกรีก ไม่มีทาสหรือไทย ไม่มีชายหรือหญิงอีกต่อไป เพราะท่านทุกคนเป็นหนึ่งเดียวกันในพระคริสตเยซู” (กท 3.28)
อิสระภาพในองค์พระคริสต์
ในบทจดหมายถึงชาวโคริทธ์เปาโลสอนว่า ในองค์พระคริสต์ทาสเป็นอิสระจากปาบ และดำเนินชีวิตอย่างเสรีในการปกครองของพระองค์ ทาสที่ได้รับการไถ่กู้จากปาบย่อมเป็นทาสของพระคริสต์ “ผู้ที่พระเจ้าทรงเรียกขณะที่เป็นทาสให้ดำเนินชีวิตในพระคริสตเจ้า ก็เป็นคนอิสระรับใช้องค์พระผู้เป็นเจ้า ผู้ที่พระเจ้าทรงเรียกขณะที่เป็นคนอิสระ เขาก็เป็นทาสรับใช้พระคริสตเจ้าด้วย” (1 คร 7.22)
เปาโลส่งเสริมให้ทาสเป็นไทเมื่อมีโอกาส “พระเจ้าทรงเรียกท่านขณะที่เป็นทาสอยู่หรือ อย่ากังวลเลย แต่ถ้ามีโอกาสที่จะเป็นอิสระ ท่านควรฉวยโอกาสนั้น” (1 คร 7.21) แต่ถ้ายังไม่สำเร็จความผูกพันธ์กับพระคริสต์ไม่เปลี่ยนแปลงเลย สภาพฐานะทางโลกไม่สำคัญเท่ากับการมีพระคริสต์ครองใจ
เปาโลแนะนำนายของทาส
คำแนะนำของนายต่อทาสพบในจดหมายถึงชาวเอเฟซัส (5.25-6.9) เมื่อท่านพูดถึงความสัมพันธ์ในครอบครัว หลังจากแนะนำให้ทาสปฏิบัติตนเพื่อนำเกียรต์แด่พระเจ้าแล้ว (“ทาส จงเชื่อฟังผู้ที่เป็นนายในโลกนี้ด้วยความเคารพยำเกรงจากใจจริง ประหนึ่งเชื่อฟังองค์พระคริสตเจ้า 6 อย่าทำดีรับใช้ต่อหน้าเหมือนจะให้มนุษย์พอใจเท่านั้น แต่จงเป็นเสมือนทาสรับใช้พระคริสตเจ้า กระทำตามพระประสงค์ของพระเจ้าจากใจจริง 7 จงรับใช้ด้วยความเต็มใจเหมือนกับรับใช้องค์พระผู้เป็นเจ้า มิใช่รับใช้มนุษย์ 8 ท่านรู้อยู่แล้วว่าถ้าแต่ละคนทำดีไว้อย่างไร ก็จะได้รับค่าตอบแทนจากองค์พระผู้เป็นเจ้า ไม่ว่าเขาจะเป็นทาสหรือเป็นอิสระก็ตาม” อฟ 6.5-8) ท่านก็แนะนำเจ้านายว่า “เจ้านาย จงปฏิบัติต่อทาสเช่นเดียวกัน จงละเว้นการข่มขู่ต่างๆ ท่านย่อมรู้อยู่ว่า พระองค์ผู้ทรงเป็นนายทั้งของท่านและของเขานั้นสถิตอยู่ในสวรรค์และไม่ทรงลำเอียง” (อฟ 6.9)
ในบทจดหมายถึงชาวโคโลสี เปาโลแนะนำทาสทำงานให้นายเยี่ยงทำงานให้พระเจ้า ต่อนายท่านก็แนะว่าพวกเขามีจ้าวเหนือหัวบนสวรรค์ และดังนั้นทั้งนายและทาสก็เท่าเทียมกันเพราะต่างมีนายสูงสุดองค์เดียวกัน
ในบทจดหมายถึงฟีเลโมนเปาโลได้เตือนให้นายมองข้ามประเพณีปฏิบัติต่อทาส แต่ให้มองไปยังคำสอนพระคริสต์ที่เน้นการเป็นพี่เป็นน้องในองค์พระคริสต์ นั่นคือฟีเลโมนควรให้อภัยโอเนสิมัส ทั้งๆ ที่ทาสได้ทำผิด (ฟม 16) ฟีเลโมนและโอเนสิมัสเท่าเทียมกันในพระคริสต์ เปาโลเองก็ทำตนให้เท่าเทียมกับทั้งนายและทาส โดยการสละสิทธิอภิสิทธิ์ของการมีสัญชาติโรมัน (ฟม 18)
คำสอนของเปาโลต่อยุคปัจจุบัน
พระศาสนจักรแรกเริ่มมองตัวเองว่าเป็นเครื่องมือเรียกปวงชนให้มาสร้างสายสัมพันธ์ใหม่ในพระคริสต์ พบปัญหาระหว่างข่าวดีที่เน้นความเท่าเทียมกัน และความต้องการที่จะไม่ให้การประกาศข่าวดีสะดุด จึงไม่เน้นบทบาทของปัจเจกบุคคลในสังคมมากนัก
คริสตชนไม่ต้องปฏิบัติตามระบบเก่า หรือกฏวัฒนธรรม พวกเขาถูกเรียกให้เป็นแบบอย่างในกลุ่มคริสตชนด้วยกัน การปฏิบัติเช่นนี้เรียกร้องให้มีความเชื่อและความกล้าหาญ เนื่องจากว่าพระศาสนจักรเพิ่งเกิดใหม่ ที่ไม่ช้านานก็จะเป็นศาสนานอกกฏหมาย การต่อต้านระบบทาสของกรีก-โรมันจะไม่เป็นผลดีต่อการประกาศพระวรสารในช่วงนั้น อย่างไรก็ดีเปาโลได้หว่านเมล็ดที่จะทำลายร้างระบบทาสแล้ว ข่าวดีของพระคริสต์จะนำความเสมอภาคแก่สถาบันสังคมในที่สุด
ปัจจุบันพระศาสนจักรมีหน้ามีตามีปากมีเสียงในสังคม เราเผชิญหน้ากับระบบทาสที่เป็นธุระกิจ หล่อเลี้ยงด้วยความเกลียดชังและกำไร การประกาศข่าวดีคือการแก้ปัญหาของคนที่ทนทุกข์ และช่วยเหลือคนที่ตกขอบสังคมและถูกเอารัดเอาเปรียบ ถึงเวลาที่ต้องลงมือปฏิบัติแล้ว
อ้างอิง
• http://www.hypersync.net/mt/2003/03/slavery_grecoroman_artical_ass.html
• Bible Study Magazine,Sep/Oct 2012, pp. 36-37
- รายละเอียด
- เขียนโดย ภราดาอำนวย ยุ่นประยงค์
- หมวดหลัก: บทความ ข้อคิด ข้อเขียน
- หมวด: บทความบำรุงศรัทธา
- ฮิต: 78023