“ถ้าท่านทั้งหลายยึดมั่นในวาจาของเรา ท่านก็เป็นศิษย์ของเราอย่างแท้จริง" (ยน. 8:31)

การเชื่อฟังพระยาห์เวห์เป็นปรีชาญาณสำหรับชาวอิสราเอล

4 1บัดนี้ ชาวอิสราเอลเอ๋ย จงฟังข้อกำหนดและกฎเกณฑ์ที่ข้าพเจ้าสอนท่านทั้งหลายให้ปฏิบัติ แล้วท่านจะมีชีวิต และเข้ายึดครองแผ่นดินซึ่งพระยาห์เวห์พระเจ้าของบรรพบุรุษของท่านทรงมอบให้ท่าน 2ท่านจะต้องไม่เพิ่มเติมสิ่งใดลงไปในข้อความที่ข้าพเจ้าสั่ง และต้องไม่ตัดตอนใดออกไป แต่ต้องปฏิบัติตามบทบัญญัติของพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านตามที่ข้าพเจ้าสั่งท่านไว้ 3ท่านได้เห็นสิ่งที่พระยาห์เวห์ทรงกระทำที่บาอัลเปโอร์กับตาแล้ว ที่นั่น พระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านทรงทำลายล้างทุกคนที่ติดตามพระบาอัลแห่งเปโอร์ 4ส่วนท่านทั้งหลายที่ซื่อสัตย์ต่อพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านยังคงมีชีวิตอยู่จนถึงทุกวันนี้ 5ดูซิ ข้าพเจ้าสอนท่านให้รู้จักข้อกำหนดและกฎเกณฑ์ดังที่พระยาห์เวห์พระเจ้าของข้าพเจ้าทรงบัญชา เพื่อท่านจะได้ปฏิบัติตามในแผ่นดินที่ท่านกำลังจะเข้าไปยึดครองa 6ท่านจะต้องปฏิบัติตามอย่างซื่อสัตย์ เพื่อชนชาติอื่นๆ จะได้เห็นว่าท่านมีความเข้าใจและปรีชาญาณ เมื่อเขาได้ยินคำพูดถึงข้อกำหนดเหล่านี้ เขาจะพูดว่า “ชนชาติยิ่งใหญ่นี้เท่านั้นเป็นประชากรที่มีความเข้าใจและปรีชาญาณ” 7เพราะไม่มีชนชาติใดแม้ยิ่งใหญ่เพียงใดก็ตามจะมีพระเจ้าอยู่ใกล้ชิด ดังที่พระยาห์เวห์พระเจ้าของเราสถิตใกล้ชิดเรา ทุกครั้งที่เราร้องทูลพระองค์b 8ไม่มีชนชาติยิ่งใหญ่ชาติใดมีข้อกำหนดและกฎเกณฑ์เที่ยงธรรมเท่ากับธรรมบัญญัตินี้ที่ข้าพเจ้ากำลังสอนท่านอยู่ในวันนี้

 

พระบัญชาที่ภูเขาโฮเรบ

9จงจำใส่ใจ จงทำทุกอย่างเพื่อจะไม่ลืมเหตุการณ์ที่ท่านได้เห็นกับตาตราบที่ท่านยังมีชีวิตอยู่ อย่าให้เหตุการณ์เหล่านี้เลือนไปจากใจ ท่านจะต้องเล่าให้บุตรหลานทุกรุ่นของท่านฟัง 10จงระลึกถึงวันที่ท่านยืนอยู่เฉพาะพระพักตร์พระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านที่ภูเขาโฮเรบ เมื่อพระยาห์เวห์ตรัสแก่ข้าพเจ้าว่า “จงเรียกประชากรมาชุมนุมกัน เราจะให้เขาฟังถ้อยคำของเรา เพื่อเขาจะได้รู้จักยำเกรงเราตราบเท่าที่เขามีชีวิตอยู่บนแผ่นดิน เขาจะได้สั่งสอนถ้อยคำเหล่านี้แก่บุตรหลานของเขาด้วย” 11ท่านทั้งหลายจึงเข้ามาใกล้และยืนอยู่ที่เชิงภูเขาที่กำลังลุกเป็นไฟ เปลวไฟพุ่งขึ้นไปถึงท้องฟ้า มีความมืดและเมฆที่หนาทึบปกคลุมอยู่c 12พระยาห์เวห์ตรัสแก่ท่านจากกองไฟ ท่านได้ยินพระองค์ตรัส แต่ไม่เห็นพระองค์เลย เราได้ยินเพียงพระสุรเสียงเท่านั้น 13พระองค์ทรงประกาศพันธสัญญาให้ท่านรู้ ทรงบัญชาให้ปฏิบัติตามบทบัญญัติสิบประการซึ่งทรงจารึกไว้บนศิลาสองแผ่น 14ครั้งนั้น พระยาห์เวห์ทรงบัญชาให้ข้าพเจ้าสั่งสอนท่านถึงข้อกำหนดและกฎเกณฑ์ dที่ท่านจะต้องปฏิบัติตามในแผ่นดินที่ท่านกำลังจะเข้าไปยึดครอง

15เมื่อพระยาห์เวห์ตรัสแก่ท่านจากกองไฟeที่ภูเขาโฮเรบ ท่านไม่ได้เห็นพระองค์เลย เพราะฉะนั้น จงระวังให้ดี อย่าเสี่ยงชีวิต 16ท่านจะต้องไม่หลงทำบาปโดยทำรูปเคารพใดๆ ขึ้นมากราบไหว้ ไม่ว่าจะเป็นรูปชายหรือหญิง 17รูปสัตว์ใดๆ ที่อยู่บนแผ่นดิน รูปนกที่บินอยู่ในท้องฟ้า 18รูปสัตว์เลื้อยคลานบนพื้นดิน หรือรูปปลาในน้ำใต้แผ่นดิน 19เมื่อท่านเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า และเห็นดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ ดวงดาว และบรรดาสิ่งที่เรียงรายอยู่ในท้องฟ้า จงอย่าหลงกราบไหว้สิ่งเหล่านั้น พระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านทรงปล่อยสิ่งเหล่านั้นให้ประชาชนอื่นๆ ที่อยู่ใต้ท้องฟ้ากราบไหว้ 20แต่พระยาห์เวห์ทรงเลือกท่าน และทรงนำท่านออกจากอียิปต์ ซึ่งเป็นประดุจไฟถลุงเหล็ก ท่านจะได้เป็นของพระองค์ เป็นประชากรและกรรมสิทธิ์ของพระองค์ดังที่เป็นอยู่ทุกวันนี้

 

การลงโทษและการกลับใจ

21พระยาห์เวห์กริ้วข้าพเจ้าเพราะท่านเป็นเหตุ พระองค์ทรงสาบานว่า ข้าพเจ้าจะไม่ได้ข้ามแม่น้ำจอร์แดนเข้าไปยังแผ่นดินอุดมสมบูรณ์นั้น ซึ่งพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านจะทรงมอบให้เป็นมรดกของท่าน 22ข้าพเจ้าจะต้องตายในแผ่นดินนี้ จะไม่ได้ข้ามแม่น้ำจอร์แดน แต่ท่านทั้งหลายจะข้ามไปยึดครองแผ่นดินอุดมสมบูรณ์นั้น 23จงจำใส่ใจ อย่าลืมพันธสัญญาซึ่งพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านทรงทำไว้กับท่าน อย่าทำรูปเคารพใดๆ มากราบไหว้ เพราะพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านทรงห้ามไว้ 24พระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านทรงเป็นดังไฟที่เผาผลาญ ทรงเป็นพระเจ้าที่ไม่ทรงยอมให้มีคู่แข่งใดf

25เมื่อท่านมีบุตรหลานและแก่ชราอยู่ในแผ่นดิน ถ้าท่านหลงทำบาปโดยสร้างรูปเคารพใดๆ ขึ้นมากราบไหว้ ทำสิ่งชั่วร้ายเฉพาะพระพักตร์พระยาห์เวห์พระเจ้าของท่าน และทำให้พระองค์กริ้ว 26ข้าพเจ้าขอให้สวรรค์และแผ่นดินเป็นพยานในวันนี้ว่าท่านจะต้องพินาศในไม่ช้า และจะสูญสิ้นไปจากแผ่นดินซึ่งท่านกำลังจะข้ามแม่น้ำจอร์แดนไปยึดครอง ท่านจะไม่อยู่ในแผ่นดินนั้นเป็นเวลานาน แต่จะถูกทำลายจนหมดสิ้น 27พระยาห์เวห์จะทรงบันดาลให้ท่านทั้งหลายกระจัดกระจายไปอยู่ในหมู่ประชาชาติ จะเหลือเพียงไม่กี่คนที่รอดชีวิตgในหมู่ชนชาติซึ่งพระยาห์เวห์ทรงนำท่านให้ไปอยู่ด้วย 28ที่นั่น ท่านจะกราบไหว้บรรดาเทพเจ้าที่มือมนุษย์สร้างขึ้น เป็นเทพเจ้าที่ทำด้วยไม้และหิน เป็นเทพเจ้าที่มองอะไรไม่เห็น ฟังอะไรไม่ได้ยิน กินอะไรไม่ได้ ดมอะไรไม่ได้กลิ่น

29แต่จากที่นั่น ท่านจะแสวงหาพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่าน ถ้าท่านแสวงหาพระองค์สุดจิตใจและสุดวิญญาณ ท่านก็จะพบพระองค์ 30เมื่อท่านจะต้องเป็นทุกข์เพราะเหตุการณ์เหล่านี้เกิดขึ้นกับท่าน ในที่สุดh ท่านจะกลับมาหาพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่าน และเชื่อฟังพระองค์ 31เพราะพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านทรงเป็นพระเจ้าผู้ทรงเมตตากรุณา พระองค์ไม่ทรงทอดทิ้งหรือทำลายท่าน ไม่ทรงลืมพันธสัญญาที่ทรงสาบานไว้กับบรรพบุรุษของท่าน

 

ศักดิ์ศรีของประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร

32จงดูอดีตก่อนที่ท่านทั้งหลายจะเกิด ตั้งแต่วันที่พระเจ้าทรงสร้างมนุษย์ไว้บนแผ่นดิน จงตรวจตราจากปลายหนึ่งถึงอีกปลายหนึ่งของโลกว่ามีอะไรยิ่งใหญ่เท่านี้เคยเกิดขึ้นหรือไม่ มีใครเคยได้ยินเรื่องใดที่เหมือนเรื่องนี้หรือไม่ 33เคยมีประชากรใดบ้างที่ได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้าiตรัสจากกองไฟ ดังที่ท่านได้ยินและมีชีวิตรอดได้ 34หรือเคยมีพระเจ้าองค์ใดบ้างที่ทรงกล้าเลือกชนชาติหนึ่งออกจากอีกชนชาติหนึ่ง ทรงใช้การทดลอง เครื่องหมายอัศจรรย์ ปาฏิหาริย์และสงคราม ทรงใช้พระหัตถ์ทรงฤทธิ์และพระอานุภาพยิ่งใหญ่บันดาลให้ทุกคนหวาดกลัว ดังที่พระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านทรงกระทำในอียิปต์ต่อหน้าท่าน

35พระองค์ทรงสำแดงปรากฏการณ์เหล่านี้ให้ท่านรู้ว่า พระยาห์เวห์ทรงเป็นพระเจ้า และไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากพระองค์j 36พระองค์ทรงให้ท่านได้ยินพระสุรเสียงของพระองค์จากสวรรค์ เพื่อทรงสอนท่าน พระองค์ทรงให้ท่านเห็นกองไฟกองใหญ่บนแผ่นดิน และให้ท่านได้ฟังพระวาจาจากกลางกองไฟนั้น 37พระองค์ทรงรักบรรพบุรุษของท่าน จึงทรงเลือกลูกหลานที่จะตามมาภายหลัง และทรงใช้พระอานุภาพยิ่งใหญ่นำท่านออกจากอียิปต์ด้วยพระองค์เอง 38พระองค์ทรงขับไล่ชนชาติที่ยิ่งใหญ่และมีอำนาจมากกว่าท่าน ออกไปต่อหน้าท่าน เพื่อทรงนำท่านเข้าสู่แผ่นดินและมอบให้เป็นมรดก ดังที่ยังคงเป็นอยู่จนถึงทุกวันนี้

39ดังนั้น ในวันนี้ จงรู้และจำใส่ใจว่าพระยาห์เวห์ทรงเป็นพระเจ้า ทั้งในสวรรค์เบื้องบนและบนแผ่นดินเบื้องล่าง และไม่มีพระเจ้าอื่นใดอีก 40ท่านจะต้องปฏิบัติตามข้อกำหนดและบทบัญญัติของพระองค์ที่ข้าพเจ้ามอบให้ท่านในวันนี้ แล้วท่านกับลูกหลานที่จะตามมาในภายหลังจะอยู่อย่างมีความสุข จะอยู่เป็นเวลานานในแผ่นดินที่พระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านทรงมอบให้เป็นของท่านตลอดไป

 

เมืองลี้ภัยk

41โมเสสได้กันเมืองสามเมืองทางฝั่งตะวันออกของแม่น้ำจอร์แดนไว้ 42เป็นที่ลี้ภัยสำหรับฆาตกรที่ฆ่าคนที่ไม่ใช่คู่อริโดยไม่เจตนา ถ้าเขาหนีเข้ามาอยู่ในเมืองใดเมืองหนึ่งนี้ เขาจะรอดชีวิตได้ 43เมืองทั้งสามนี้คือ เมืองเบเซอร์ในถิ่นทุรกันดารบนที่ราบสูงสำหรับชนเผ่ารูเบน เมืองราโมทในแคว้นกิเลอาดสำหรับชนเผ่ากาด และเมืองโกลานในแคว้นบาชานสำหรับชนเผ่ามนัสเสห์

ข. คำปราศรัยครั้งที่สองของโมเสสl

 

เวลาและสถานที่

44ต่อไปนี้เป็นธรรมบัญญัติที่โมเสสอธิบายให้ชาวอิสราเอลฟัง 45เป็นคำสั่ง ข้อกำหนด และกฎเกณฑ์ที่โมเสสมอบแก่ชาวอิสราเอลเมื่อออกจากอียิปต์ 46และมาอยู่ที่หุบเขา ณ สถานที่แห่งหนึ่งทางฝั่งตะวันออกของแม่น้ำจอร์แดน ตรงข้ามกับเบธเปโอร์ ในแผ่นดินของกษัตริย์สิโหนของชาวอาโมไรต์ ซึ่งประทับอยู่ที่เมืองเฮชโบน โมเสสและชาวอิสราเอลได้พิชิตกษัตริย์พระองค์นี้ เมื่อเขาออกจากอียิปต์

47เขาทั้งหลายเข้ายึดครองแผ่นดินของกษัตริย์พระองค์นี้รวมทั้งแผ่นดินของกษัตริย์โอกแห่งแคว้นบาชาน ทั้งสองพระองค์ทรงเป็นกษัตริย์ของชาวอาโมไรต์ซึ่งอยู่ทางฝั่งตะวันออกของแม่น้ำจอร์แดน 48แผ่นดินนี้มีอาณาเขตตั้งแต่เมืองอาโรเออร์ ริมฝั่งแม่น้ำอารโนน ไปจนถึงภูเขาสิริโยน หรือภูเขาเฮอร์โมน 49รวมหุบเขาอาราบาห์ทั้งหมด ทางฝั่งตะวันออกของแม่น้ำจอร์แดนไปจนถึงทะเลอาราบาห์ ที่อยู่เชิงเขาปิสกาห์

 

4 a “ข้อกำหนดและกฎเกณฑ์” (ข้อ 5) ของชาวอิสราเอล ค่อยๆ พัฒนาขึ้นเป็นประมวลกฎหมายที่เรียกว่า “ธรรมบัญญัติ” ซึ่งจะมีบทบาทสำคัญที่สุดในศาสนาของชาวอิสราเอล “ธรรมบัญญัติ” หรือ “torah” นี้มีความหมายแรก คือ “คำสั่งสอน” หรือ “คำแนะนำ” ซึ่งรวมทั้งพิธีทางศาสนาและกฎเกณฑ์ความประพฤติทุกอย่างของมนุษย์ ซึ่งจะรับแรงบันดาลใจจากจิตสำนึกถึงพันธสัญญา และถึงพระเจ้าผู้ทรงเชิญชวนชาวอิสราเอลให้ทำพันธสัญญาด้วยและทรงรับรองพันธสัญญานี้ (ปฐก 15:1 เชิงอรรถ a) การเปิดเผยของพระเจ้าและคำสั่งสอนที่ถ่ายทอดต่อกันมา ข้อเขียนโบราณ รวมทั้งคำสอนของบรรดาประกาศก ค่อยๆ อบรม “ชีวิต” ทั้งหมดของชาวอิสราเอล (ข้อ 1; 8:3 เชิงอรรถ b; 30:14 เชิงอรรถ c; สดด 19:7-14; 94:12; 119:1 เชิงอรรถ a; บสร 1:26; 24:23; ดู กจ 7:38 เชิงอรรถ l) ในภายหลัง พระเยซูเจ้าจะทรงประกาศว่าพระองค์เสด็จมาเพื่อ “ทำให้ธรรมบัญญัติและประกาศกสมบูรณ์ขึ้น” (มธ 5:17 เชิงอรรถ h; ดู มธ 22:34-40ฯ) และเปาโลจะอธิบายว่า ความเชื่อในพระคริสตเจ้าจะเข้ามาแทนที่ “ธรรมบัญญัติ” นี้อย่างไร (รม 3:27 เชิงอรรถ p; 10:4)

b ตำนานอื่นๆ ในหนังสือปัญจบรรพมักจะเน้นว่าพระเจ้าทรงอยู่ห่างไกลจากมนุษย์ (ดู อพย 33:20 เชิงอรรถ i) ฉธบ กลับเชิญชวนให้คิดว่า พระเจ้าทรงอยู่ใกล้ชิดและทรงรักประชาชนของพระองค์ ยิ่งกว่านั้นยังประทับในหมู่พวกเขาด้วย (12:5) เรายังพบทรรศนะเดียวกันนี้ในเรื่องการถวายพระวิหารแด่พระเจ้า (1 พกษ 8:10-29) และใน อสค 48:35 หนังสือพันธสัญญาใหม่จะเน้นถึงทรรศนะนี้อย่างชัดเจน (ดู ยน 1:14 เชิงอรรถ m)

c สำเนาโบราณภาษากรีกเสริมว่า “มีเสียงฟ้าร้อง”

d ผู้เขียนแยกแยะระหว่าง “บทบัญญัติสิบประการ” ที่พระเจ้าทรงจารึกบนแผ่นศิลา (5:4-22; อพย 34:28) ออกจาก “ข้อกำหนดและกฎเกณฑ์” ซึ่งหมายถึง ประมวลกฎหมายเฉลยธรรมบัญญัติ (ดู 12:1; 26:16)

e บทเทศน์นี้ให้เหตุผลที่ห้ามมิให้ชาวอิสราเอลสร้างรูปเคารพขึ้นมานมัสการว่า เมื่อพระยาห์เวห์ทรงสำแดงพระองค์ที่ภูเขาโฮเรบ พระองค์ทรงอนุญาตให้ประชากรได้ยินพระสุรเสียง แต่มองไม่เห็นพระองค์ อย่างไรก็ตาม พระยาห์เวห์ทรงอนุญาตให้บางคนมีสิทธิพิเศษเห็นพระองค์ได้ เช่น โมเสส (อพย 33:18-23) และบรรดาผู้อาวุโส (อพย 24:10-11) เป็นต้น

f “ไม่ทรงยอมให้มีคู่แข่งใด” แปลตามตัวอักษรว่า “หวงแหน” หรือ “หึง” เพื่อเน้นความรักยิ่งใหญ่ของพระเจ้า (ดู 5:9; 6:15; 32:16, 21 ฯลฯ; อพย 20:5; 34:14; กดว 25:11; อสค 8:3-5; 39:25; ศคย 1:14; 2 คร 11:2) ส่วนเรื่อง “ไฟ” ดู อพย 13:22; 24:17

g “เหลือ…รอดชีวิต” ประกาศกอิสยาห์และประกาศกอื่นๆ จะพูดถึง “ชนกลุ่มน้อยที่เหลือรอดชีวิต” เมื่อประชากรส่วนใหญ่จะถูกทำลาย

h ยังแปลได้อีกว่า “ในวันสุดท้าย” ซึ่งเป็นวลีที่บรรดาประกาศกมักจะใช้เพื่อหมายถึง การที่พระเจ้าจะทรงสถาปนาพระอาณาจักรอย่างถาวรในยุคของพระเมสสิยาห์

i สำเนาโบราณภาษากรีกเสริมว่า “ผู้ทรงชีวิต” (ดู 5:26)

j เป็นการยืนยันอย่างชัดเจนว่าพระเจ้าอื่นไม่มีความเป็นอยู่ (ดู อสย 43:10-11; 44:16; 45:5) บทบัญญัติสิบประการห้ามมิให้นมัสการพระของคนต่างชาติ ชาวอิสราเอลเคยคิดว่าพระเหล่านี้ด้อยกว่าพระยาห์เวห์ ไม่มีฤทธิ์อำนาจใดๆ และเป็นที่น่าเหยียดหยาม แต่บัดนี้ ความคิดได้พัฒนาไปอีกก้าวหนึ่ง และยืนยันว่าพระอื่นๆ เหล่านี้ไม่มีความเป็นอยู่เลย

k ข้อสังเกตเกี่ยวกับเมืองลี้ภัยนี้ (ดู ยชว 20:1 เชิงอรรถ a) เสริมขึ้นมาเพื่อแยกคำปราศรัยสองครั้งของโมเสส

l คำปราศรัยครั้งที่สองแบ่งได้ดังนี้ (1) บทนำเรื่องเวลาและสถานที่ (4:44-49; เทียบ 1:4-5) (2) ตัวคำปราศรัยของโมเสสครั้งแรก (5:1-11:32) (3) ประมวลกฎหมายเฉลยธรรมบัญญัติ (12:1-26:15) (4) คำปราศรัยครึ่งหลัง (26:16 ถึง 28:68) คำปราศรัยครั้งที่สองนี้ เช่นเดียวกันกับคำปราศรัยครั้งแรก จะเริ่มโดยสรุปประวัติศาสตร์ของอิสราเอล ตั้งแต่สมัยที่ทรงสำแดงพระองค์ที่ภูเขาโฮเรบและประทานบทบัญญัติสิบประการ คำปราศรัยนี้ดูเหมือนว่าเป็นข้อเขียนหลายชิ้นที่แยกกันอยู่ในหลายรูปแบบ ซึ่งใช้เป็นคำสั่งสอนและในพิธีกรรม ก่อนจะถูกนำมารวมกันไว้ในที่นี้เป็นบทนำประมวลกฎหมายเฉลยธรรมบัญญัติ

เช้าวันใหม่ใส่ใจพระวาจา

Lectio Divina-Daily 2022

เช้าวันเสาร์เราคิดถึงพระวาจา

Video อบรมพระคัมภีร์

ความรู้พื้นฐานพระคัมภีร์และหนังสือปฐมกาล

หนังสืออพยพและเลวีนิติ

หนังสือกันดารวิถีและเฉลยธรรมบัญญัติ

หนังสือโยชูวา ผู้วินิจฉัยและนางรูธ

หนังสือซามูแอล ฉบับที่ 1 และ ฉบับที่ 2

หนังสือพงศ์กษัตริย์ ฉบับที่ 1 และ ฉบับที่ 2

หนังสือพงศาวดาร เอสราและเนหะมีย์

หนังสือโทบิต ยูดิธ เอสเธอร์และมัคคาบี 1 และ 2

ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับประกาศกและประกาศกอาโมส

หนังสือประกาศกโฮเชยาและมีคาห์

หนังสือประกาศกอิสยาห์

หนังสือประกาศกโยนาห์และประกาศกเศฟันยาห์

หนังสือประกาศกนาฮูมและฮาบากุก

หนังสือประกาศกเยเรมีห์-เพลงคร่ำครวญ-บารุค

หนังสือประกาศกเอเสเคียลและดาเนียล

บทเทศน์บนภูเขา มธ. 5-7

พระวรสารนักบุญมัทธิว 10,13,18

พระวรสารนักบุญมาระโก

หนังสือกิจการอัครสาวก