(ไฟล์ "เสียงวรสาร" โดย วัดแม่พระกุหลาบทิพย์ กรุงเทพฯ)

พระคริสตเจ้าเสด็จสู่สวรรค์ประหนึ่งเสด็จเข้าในพระวิหาร

9 1พันธสัญญาแรกaยังมีกฎเกณฑ์เกี่ยวกับศาสนพิธีและมีพระวิหารแห่งแผ่นดินนี้ 2กระโจมถูกสร้างขึ้นดังนี้ ห้องแรกมีคันประทีป โต๊ะและขนมปังถวาย ห้องนี้เรียกว่า “สถานที่ศักดิ์สิทธิ์”b 3เบื้องหลังม่านมีห้องที่สองซึ่งเรียกว่าสถานที่ศักดิ์สิทธิ์อย่างยิ่ง 4ในห้องนั้นมีพระแท่นทองคำเผากำยานc และหีบพันธสัญญาหุ้มทองคำทุกด้าน ในหีบมีภาชนะทองคำใส่มานนา มีไม้เท้าของอาโรนที่ผลิดอกตูมและแผ่นศิลาจารึกพันธสัญญา 5บนหีบมีรูปเครูบแห่งพระสิริรุ่งโรจน์ กางปีกปกคลุมพระที่นั่งพระกรุณา แต่เวลานี้ ไม่จำเป็นต้องกล่าวถึงเรื่องนี้อย่างละเอียด 6ทุกอย่างจัดเตรียมไว้เช่นนี้ บรรดาสมณะเข้าไปในห้องแรกเป็นประจำเพื่อปฏิบัติศาสนกิจ 7ส่วนห้องที่สองนั้น มหาสมณะเพียงผู้เดียวเข้าไปปีละครั้ง และเมื่อเข้าไปต้องนำเลือดสัตว์ไปถวายเป็นเครื่องบูชาเพื่อตนเองและเพื่อชดเชยบาปที่ประชากรได้ทำโดยไม่เจตนา

8พระจิตเจ้าทรงแสดงให้เห็นว่า ตราบใดที่ห้องแรกยังคงอยู่ ตราบนั้นหนทางไปสู่สถานที่ศักดิ์สิทธิ์อย่างยิ่งก็ยังไม่เปิดออก 9ห้องแรกนี้เป็นตัวอย่างของเวลาปัจจุบันd แสดงว่าบรรณาการและเครื่องบูชาที่ถวายนี้ทำให้ผู้นมัสการมีจิตใจสะอาดหมดจดไม่ได้ 10ศาสนพิธีนี้เป็นเพียงกฎเกณฑ์ชีวิตภายนอกเกี่ยวกับอาหาร เครื่องดื่มและพิธีชำระล้างต่างๆ เท่านั้น มีผลบังคับใช้จนถึงเวลาที่พระเจ้าจะทรงเปลี่ยนแปลงแก้ไข

11พระคริสตเจ้าeเสด็จมาเป็นมหาสมณะผู้นำพระพรต่างๆ ที่พระเจ้าทรงสัญญาจะประทานมาให้f พระองค์เสด็จผ่านกระโจมที่ยิ่งใหญ่กว่าและสมบูรณ์กว่า ทั้งมิใช่กระโจมที่สร้างขึ้นด้วยมือมนุษย์ คือมิใช่กระโจมซึ่งเป็นสิ่งสร้างของโลกนี้ 12พระองค์เสด็จเข้าสู่สถานที่ศักดิ์สิทธิ์อย่างยิ่งgเพียงครั้งเดียวตลอดไป สิ่งที่พระองค์ทรงนำไปด้วยมิใช่เลือดแพะและเลือดลูกโค แต่ทรงนำพระโลหิตของพระองค์เข้าไป และทรงกระทำให้การไถ่กู้นิรันดรสำเร็จ 13ถ้าการประพรมบุคคลที่มีมลทินด้วยเลือดแพะ เลือดลูกโค รวมกับเถ้าของโคเพศเมีย ยังทำให้บุคคลนั้นบริสุทธิ์ร่วมศาสนพิธีได้ 14พระโลหิตของพระคริสตเจ้าย่อมทำได้มากกว่านั้น พระคริสตเจ้าทรงถวายพระองค์โดยปราศจากตำหนิมลทินแด่พระเจ้า เดชะพระจิตเจ้าผู้ทรงดำรงอยู่ตลอดนิรันดรh พระโลหิตชำระจิตใจของเราให้บริสุทธิ์จากกิจการที่ตายแล้วเพื่อจะได้รับใช้พระเจ้าผู้ทรงชีวิต

 

พระคริสตเจ้าทรงหลั่งพระโลหิตรับรองพันธสัญญาใหม่i

15ดังนั้น พระคริสตเจ้าทรงเป็นคนกลางของพันธสัญญาใหม่ เพื่อให้ผู้ที่ได้รับเรียกเป็นทายาทกองมรดกนิรันดรได้รับตามพระสัญญา เพราะพระองค์ทรงยอมรับความตายเพื่อลบล้างการล่วงละเมิดตามเงื่อนไขของพันธสัญญาเดิมแล้ว 16พันธสัญญาก็เหมือนพินัยกรรม จำเป็นต้องพิสูจน์ว่าผู้ทำพินัยกรรมตายแล้ว 17เพราะพินัยกรรมมีผลบังคับใช้เฉพาะเมื่อผู้ทำตายแล้วเท่านั้น และไม่มีผลเลยตราบที่ผู้ทำพินัยกรรมยังมีชีวิตอยู่ 18ดังนั้น แม้พันธสัญญาเดิมก็เริ่มมีผลบังคับเมื่อมีเลือดเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยเท่านั้น 19เมื่อโมเสสประกาศข้อกำหนดทุกข้อแห่งธรรมบัญญัติให้ประชากรรู้โดยทั่วกันแล้ว เขาผสมเลือดลูกโคและเลือดแพะกับน้ำ ใช้ขนแกะสีแดงและกิ่งไม้หุสบจุ่มเลือดที่ผสมน้ำนั้นประพรมหนังสือธรรมบัญญัติและประชาชน 20พูดว่า นี่คือโลหิตแห่งพันธสัญญาซึ่งพระเจ้าทรงกระทำกับท่านทั้งหลาย 21โมเสสใช้เลือดประพรมกระโจมและภาชนะที่ใช้ในพิธีกรรมทุกชิ้นด้วยเช่นเดียวกัน 22ธรรมบัญญัติกำหนดว่าเกือบทุกสิ่งjต้องใช้เลือดประพรมให้บริสุทธิ์สำหรับศาสนพิธี ถ้าไม่มีการหลั่งเลือดก็ไม่มีการอภัยบาป

23เมื่อสิ่งที่เป็นภาพจำลองสิ่งของในสวรรค์จำเป็นต้องรับการชำระด้วยวิธีนี้ ของแท้ในสวรรค์ก็จะต้องรับการชำระkด้วยเครื่องบูชาที่ดีกว่านี้อย่างแน่นอน 24พระคริสตเจ้ามิได้เสด็จเข้าสู่สถานศักดิ์สิทธิ์ที่มือมนุษย์สร้าง ซึ่งเป็นภาพจำลองของสถานศักดิ์สิทธิ์แท้ แต่พระองค์เสด็จเข้าสู่สวรรค์ ทั้งนี้เพื่อจะทรงปรากฏอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้าแทนเรา 25มิใช่เพื่อถวายพระองค์ครั้งแล้วครั้งเล่า ดังเช่นมหาสมณะต้องเข้าไปในสถานศักดิ์สิทธิ์เป็นประจำทุกปีพร้อมกับนำเลือดซึ่งไม่ใช่เลือดของตนเข้าไปด้วย 26มิฉะนั้น พระคริสตเจ้าคงจะต้องทรงรับการทรมานครั้งแล้วครั้งเล่าตั้งแต่สร้างโลกเป็นต้นมา ตรงกันข้าม พระองค์ทรงปรากฏพระองค์เพียงครั้งเดียวl ณ บัดนี้ซึ่งเป็นยุคสุดท้ายเพื่อลบล้างบาปโดยบูชาพระองค์ 27มนุษย์ถูกกำหนดให้ตายเพียงครั้งเดียว หลังจากนั้นจะมีการพิพากษาฉันใด 28พระคริสตเจ้าก็ฉันนั้น พระองค์ทรงถวายพระองค์เพียงครั้งเดียว เพื่อทรงลบล้างบาปของคนจำนวนมาก พระองค์จะทรงปรากฏพระองค์เป็นครั้งที่สองโดยไม่ทรงเกี่ยวข้องกับบาปอีก แต่เพื่อทรงนำความรอดพ้นมาประทานแก่ผู้ที่รอคอยพระองค์m

 

9 a สำเนาโบราณบางฉบับละคำว่า ยัง

b ในกระโจมซึ่งเป็นสักการสถานที่ใช้ในช่วงเวลาเดินทางอยู่ในถิ่นทุรกันดาร (อพย 25-26) (เทียบกับพระวิหารที่กษัตริย์ซาโล
มอนทรงสร้าง 1 พกษ 6) จะมีม่านกั้นระหว่างสถานที่ศักดิ์สิทธิ์และสถานที่ศักดิ์สิทธิ์อย่างยิ่ง (อพย 26:33) มีแต่มหาสมณะเท่านั้นที่เข้าไปในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์อย่างยิ่งได้ และจะเข้าไปที่นั่นได้เพียงปีละครั้งในวันชดเชยบาป (yom kippur) (ดู ลนต 16:1 เชิงอรรถ a, 2)

c อพย 30:6; 40:26 เขียนไว้ว่า พระแท่นเผากำยาน (อพย 30:1 เชิงอรรถ a) ตั้งอยู่ในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ (ห้องแรก) หน้าม่านที่กั้นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์อย่างยิ่ง แต่ผู้เขียนจดหมายถึงชาวฮีบรูคงถือตามประเพณีพิธีกรรมที่ต่างออกไป

d ความหมายทางจิตใจของกฎพิธีกรรมเช่นนี้คือ ในพันธสัญญาเดิมมนุษย์ไม่สามารถเข้าถึงพระเจ้าได้ แต่ในพันธสัญญาใหม่ พระคริสตเจ้าทรงเป็นหนทางนำไปหาพระบิดา (ยน 14:6; ดู ฮบ 10:19 เชิงอรรถ b) การที่ม่านในพระวิหารขาดและเปิดออกเมื่อพระเยซูเจ้าสิ้นพระชนม์นั้น เป็นสัญลักษณ์ว่าศาสนพิธีแบบเก่าถูกยกเลิกแล้ว (มธ 27:51//)

e การบูชาครั้งเดียวของพระเยซูเจ้า (ฮบ 7:27 เชิงอรรถ g; 9:14; รม 3:24 เชิงอรรถ j) เข้ามาแทนที่พิธีการชดเชยบาปของชาวยิว (ข้อ 7) (ลนต 16) การบูชาของพระคริสตเจ้านี้เปิดทางใหม่ไปหาพระเจ้าอีกครั้งหนึ่ง (ฮบ 10:1 เชิงอรรถ f,19; ยน 14:6 เชิงอรรถ d; อฟ 2:18)

f สำเนาโบราณบางฉบับว่า พระพรต่างๆ ที่ได้มาแล้ว

g เมื่อเสด็จสู่สวรรค์ พระคริสตเจ้า ทรงผ่าน สวรรค์ชั้นต่างๆ ซึ่งเป็นเสมือน สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ ของกระโจมในสวรรค์ แล้วจึงเข้ามาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้าใน สถานที่ศักดิ์สิทธิ์อย่างยิ่ง

h สำเนาโบราณบางฉบับว่า พระจิตเจ้าผู้ศักดิ์สิทธิ์ (เทียบ รม 1:4 เชิงอรรถ c)

i ข้อความตอนนี้มีความคล้ายกับใน 8:6-13 แสดงให้เห็นว่า พระคริสตเจ้าจำเป็นต้องสิ้นพระชนม์เพื่อจะได้เป็นคนกลางระหว่างพระเจ้าและมนุษย์ ผู้เขียนแสดงความคิดนี้โดยเล่นคำ “diatheke” ในภาษากรีกอาจหมายความได้ทั้ง พันธสัญญา อย่างในข้อ 15, 18-20 และ “พินัยกรรม” อย่างในข้อ 16-17 คำนี้ทำให้ผู้เขียนอธิบายว่า พันธสัญญา เรียกร้องความตายของ ผู้ทำพินัยกรรม ในสมัยโบราณใช้เลือดสัตว์ประพรมเป็นการรับรองพันธสัญญาทุกชนิด (อพย 24:6-8) ดังนั้น พระคริสตเจ้าจำเป็นต้องสิ้นพระชนม์เพื่อทำพันธสัญญาใหม่ (ดู 7:22; 8:6-10; 12:24; มธ 26:28 เชิงอรรถ i)

j “เกือบทุกสิ่งต้องใช้เลือดประพรมให้บริสุทธิ์” ตัวอย่างเช่น พระแท่น (ลนต 8:15; 16:18-19) สมณะ (ลนต 8:24-30) ชนเลวี (กดว 8:15) ประชาชนที่ได้ทำบาป (ลนต 9:15-18) หญิงคลอดบุตร (ลนต 12:7-8) ฯลฯ มีข้อยกเว้นอยู่ข้อหนึ่ง ดู ลนต 5:11

k การชำระ สถานศักดิ์สิทธิ์ ไม่ว่าบนแผ่นดินหรือในสวรรค์ ไม่ได้หมายความว่า สถานศักดิ์สิทธิ์ดังกล่าวจะต้องมีมลทินมาก่อน แต่หมายถึงการเจิมถวายแด่พระเจ้าและการเปิดใช้

l การถวายบูชาของพระคริสตเจ้าไม่เหมือนใครและไม่มีใครเหมือน (7:27 เชิงอรรถ g) เพราะเป็นการบูชาที่ถวายเมื่อสิ้นยุคสุดท้าย นั่นคือเมื่อประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติสิ้นสุด จึงไม่จำเป็นจะต้องถวายบูชานี้ซ้ำอีก เพราะว่าได้ลบล้างบาปหมดแล้วมิใช่อาศัยเลือดสัตว์ แต่อาศัยพระโลหิตของพระคริสตเจ้าเอง (ดู 9:12-14) ดังนั้น ผลของการถวายบูชานี้จึงสมบูรณ์

m การเสด็จมาครั้งแรกของพระเยซูเจ้าทำให้พระองค์เกี่ยวข้องกับบาปโดยตรง (รม 8:3; 2 คร 5:21) ส่วนการเสด็จมาครั้งที่สองของพระคริสตเจ้าจะไม่เกี่ยวข้องกับบาปอีก เพราะการไถ่กู้จะสำเร็จสมบูรณ์แล้ว คริสตชนกำลังรอคอยการเสด็จมาครั้งที่สองนี้ซึ่งจะเกิดขึ้นในวันพิพากษา (รม 2:6 เชิงอรรถ b; 1 คร 1:8 เชิงอรรถ e)