“ถ้าท่านทั้งหลายยึดมั่นในวาจาของเรา ท่านก็เป็นศิษย์ของเราอย่างแท้จริง" (ยน. 8:31)


(ไฟล์ "เสียงวรสาร" โดย วัดแม่พระกุหลาบทิพย์ กรุงเทพฯ)

พระพรของพระจิตเจ้าสำหรับหมู่คณะ

14 1จงแสวงหาความรักเถิด จงปรารถนาพระพรของพระจิตเจ้า โดยเฉพาะพระพรการประกาศพระวาจา 2คนที่พูดภาษาที่ไม่มีใครเข้าใจ ไม่พูดสำหรับมนุษย์ เพราะไม่มีผู้ใดเข้าใจ แต่พูดสำหรับพระเจ้า พระจิตเจ้าทรงดลใจเขาให้พูดถึงเรื่องลึกล้ำ 3ส่วนผู้ประกาศพระวาจานั้นพูดให้มนุษย์ฟัง เพื่อเสริมสร้าง ตักเตือน และให้กำลังใจ 4ผู้พูดภาษาที่ไม่มีใครเข้าใจเสริมสร้างตนเอง ส่วนผู้ประกาศพระวาจาเสริมสร้างพระศาสนจักร 5ข้าพเจ้าต้องการให้ทุกท่านพูดภาษาที่ไม่มีใครเข้าใจนี้ แต่ความต้องการที่มากกว่านั้นคือให้ท่านทั้งหลายประกาศพระวาจาได้ เพราะผู้ประกาศพระวาจามีความสำคัญมากกว่าผู้พูดภาษาที่ไม่มีใครเข้าใจ เว้นแต่ว่าผู้พูดภาษาดัง
กล่าวจะอธิบายข้อความที่เขาพูดได้ เพื่อเสริมสร้างพระศาสนจักร

6พี่น้องทั้งหลาย สมมติว่า ข้าพเจ้ามาพบท่านและพูดภาษาที่ไม่มีใครเข้าใจ ท่านจะได้ประโยชน์อะไร ถ้าคำพูดของข้าพเจ้าไม่เป็นการเปิดเผยความจริง ไม่เป็นการให้ความรู้ ไม่เป็นการประกาศพระวาจา หรือไม่เป็นการสั่งสอนใดๆ 7แม้เครื่องดนตรีที่ไร้ชีวิต เช่น ขลุ่ยหรือพิณ ถ้าไม่ออกเสียงต่างกัน จะรู้ได้อย่างไรว่าเป็นเสียงขลุ่ยหรือเสียงพิณ 8ถ้าเสียงแตรรบไม่ชัดเจน ใครจะเตรียมตัวเข้าสู้รบ 9ท่านทั้งหลายก็เช่นเดียวกัน ถ้าลิ้นของท่านพูดคำไม่ชัดเจน ใครจะรู้ว่าท่านพูดอะไร ท่านก็เหมือนพูดกับลมa 10ในโลกนี้มีภาษาต่างๆ หลายภาษา ทุกภาษาต่างต้องใช้เสียงด้วยกันทั้งนั้น 11ถ้าข้าพเจ้าไม่เข้าใจความหมายของเสียง ข้าพเจ้าก็เป็นคนต่างภาษาbสำหรับผู้พูด และผู้พูดก็เป็นคนต่างภาษาสำหรับข้าพเจ้า 12ท่านทั้งหลายก็เช่นเดียวกัน ท่านปรารถนาจะได้พระพรของพระจิตเจ้า จงแสวงหาให้ได้รับพระพรอย่างเต็มเปี่ยม เพื่อเสริมสร้างพระศาสนจักรเถิด

13ดังนั้น ใครพูดภาษาที่ไม่มีใครเข้าใจ จงอธิษฐานภาวนาขอพระพรให้อธิบายความหมายของภาษานั้นได้ด้วย 14ถ้าข้าพเจ้าอธิษฐานภาวนาเป็นภาษาที่ไม่มีใครเข้าใจ จิตของข้าพเจ้ากำลังอธิษฐานภาวนาอยู่ก็จริง แต่สติปัญญาของข้าพเจ้าไม่ได้รับผลอะไรเลยc 15ข้าพเจ้าควรจะทำอย่างไร ข้าพเจ้าจะอธิษฐานภาวนาอาศัยพระจิตเจ้า และข้าพเจ้าจะอธิษฐานภาวนาอาศัยสติปัญญาด้วย ข้าพเจ้าจะขับร้องสดุดีอาศัยพระจิตเจ้า และข้าพเจ้าจะขับร้องสดุดีอาศัยสติปัญญาด้วย 16ไม่เช่นนั้น ถ้าท่านขอบพระคุณอาศัยพระจิตเจ้าเท่านั้น ผู้ฟังที่ไม่เข้าใจdจะพูด “อาเมน” รับการพูดขอบพระคุณของท่านได้อย่างไร เพราะเขาไม่เข้าใจสิ่งที่ท่านพูด 17การอธิษฐานขอบพระคุณของท่านดีมาก แต่ผู้อื่นไม่ได้รับประโยชน์แม้แต่น้อย 18ข้าพเจ้าขอบพระคุณพระเจ้าที่ข้าพเจ้าพูดภาษาที่ไม่มีใครเข้าใจได้มากกว่าท่านทั้งหลาย 19แต่เมื่ออยู่ในพระศาสนจักรที่กำลังชุมนุมกัน ข้าพเจ้าก็เลือกที่จะพูดห้าคำที่สติปัญญาเข้าใจเพื่อสอนผู้อื่น ดีกว่าจะพูดหมื่นคำเป็นภาษาที่ไม่มีใครเข้าใจ

20พี่น้องทั้งหลาย อย่าคิดอย่างเด็กๆ จงเป็นเหมือนทารกไม่เดียงสาในความชั่ว แต่จงเป็นผู้ใหญ่ในความคิด 21มีเขียนไว้ในพระคัมภีร์ “พระเจ้าตรัสว่าe เราจะพูดกับชนชาตินี้โดยใช้ภาษาอื่น จากปากของคนต่างภาษา แต่พวกเขาจะไม่ยอมฟัง” 22การพูดภาษาที่ไม่มีใครเข้าใจเป็นเครื่องหมายสำหรับผู้ไม่มีความเชื่อ ไม่ใช่เครื่องหมายสำหรับผู้มีความเชื่อ ส่วนการประกาศพระวาจาเป็นเครื่องหมายสำหรับผู้มีความเชื่อ ไม่ใช่เครื่องหมายสำหรับผู้ไม่มีความเชื่อf 23สมมติว่า พระศาสนจักรมาชุมนุมกัน และทุกคนพูดเป็นภาษาที่ไม่มีใครเข้าใจ และมีบุคคลภายนอกหรือผู้ไม่มีความเชื่อเข้ามาในที่นั้นโดยบังเอิญ เขาคงจะพูดว่าท่านเป็นบ้ามิใช่หรือ 24แต่สมมติว่าทุกคนประกาศพระวาจา และมีผู้ไม่มีความเชื่อหรือบุคคลภายนอกเข้ามาโดยบังเอิญ พระวาจาที่เขาได้ฟังนั้นจะทำให้เขารู้สึกว่าตนทำผิดและกำลังถูกตัดสิน 25ความลับในใจของเขาจะถูกเปิดเผย เขาจะซบหน้านมัสการพระเจ้าประกาศว่า พระเจ้าประทับอยู่ในหมู่ท่านทั้งหลายอย่างแท้จริง

ระเบียบการใช้พระพรของพระจิตเจ้า

26พี่น้องทั้งหลาย จะปฏิบัติอย่างไรดี เมื่อท่านมาชุมนุมกัน แต่ละคนอาจขับร้องสดุดี หรือสั่งสอน หรือเปิดเผยความจริง หรือพูดภาษาที่ไม่มีใครเข้าใจ หรืออธิบายความหมายของภาษานั้น ท่านจงปฏิบัติทั้งหมดนี้เพื่อเสริมสร้างเถิด 27ถ้าจะต้องพูดภาษาที่ไม่มีใครเข้าใจ จงพูดทีละคน และพูดเพียงสองหรือสามคนเป็นอย่างมาก โดยให้คนหนึ่งอธิบายความหมาย 28ถ้าไม่มีใครอธิบายความหมายได้ ผู้พูดภาษาที่ไม่มีใครเข้าใจ จงอย่าพูดในที่ชุมนุม จงพูดกับตนเองและกับพระเจ้า 29ให้ผู้ประกาศพระวาจาสองหรือสามคนเท่านั้นพูด ขณะที่คนอื่นพิจารณาตัดสิน 30แต่ถ้าคนหนึ่งที่กำลังนั่งอยู่ได้รับการเปิดเผยความจริงบางประการจากพระเจ้า ก็ให้ผู้พูดคนแรกหยุดพูด 31ท่านทุกคนประกาศพระวาจาได้ แต่จงพูดทีละคน เพื่อทุกคนจะได้เรียนรู้และทุกคนจะได้รับกำลังใจ 32ผู้ประกาศพระวาจาต้องควบคุมการใช้พระพรของตนg 33เพราะพระเจ้ามิทรงปรารถนาความวุ่นวาย แต่ทรงปรารถนาสันติ

ตามธรรมเนียมปฏิบัติในพระศาสนจักรทุกแห่ง 34ให้บรรดาสตรีอยู่เงียบๆ ในที่ชุมนุม เพราะพวกเธอไม่ได้รับอนุญาตให้พูดh แต่ต้องอ่อนน้อมเชื่อฟังตามที่ธรรมบัญญัติกำหนดไว้ 35ถ้าพวกเธอต้องการคำอธิบาย ก็ให้ถามสามีขณะอยู่ที่บ้าน เพราะเป็นการไม่เหมาะสมที่สตรีจะพูดในที่ชุมนุม

36พระวาจาของพระเจ้ามาจากท่านหรือ พระวาจามาถึงท่านเพียงกลุ่มเดียวเท่านั้นหรือi 37ถ้าใครคิดว่าตนเป็นประกาศก หรือได้รับการดลใจจากพระจิตเจ้า ก็ขอให้เขารับรู้ว่าสิ่งที่ข้าพเจ้าเขียนถึงท่านเป็นพระบัญชาขององค์พระผู้เป็นเจ้า 38ถ้าผู้ใดไม่ยอมรับรู้ พระเจ้าก็ไม่ทรงรับรู้เขาด้วยj

39พี่น้องทั้งหลาย จงปรารถนาที่จะประกาศพระวาจา อย่าห้ามการพูดภาษาที่ไม่มีใครเข้าใจ 40จงทำเช่นนี้อย่างเหมาะสมและเป็นระเบียบ

 

14 a หรือ “ไม่มีภาษาใดไร้ความหมาย”

b “คนต่างภาษา” แปลตามตัวว่า “คนป่าเถื่อน” หมายถึง คนที่ไม่เข้าใจภาษากรีก

c การอธิษฐานภาวนาระหว่างเข้าฌานพลางเปล่งเสียงแปลกๆ เป็นการกระทำของพระจิตเจ้า จนกระทั่งสติปัญญาเข้าใจไม่ได้

d เพราะไม่ได้รับพระพรเช่นเดียวกัน

e เป็นการอ้างถึง อสย 28:11-12 ในความหมายกว้างๆ

f ข้อความนี้คลุมเครือไม่ชัดเจน ข้อนี้ดูเหมือนจะขัดแย้งกับข้อ 23-24

g ถ้าผู้ประกาศพระวาจาขัดแย้งกันเอง เป็นการพิสูจน์ว่าผู้ประกาศพระวาจานั้นเป็นประกาศกไม่แท้

h ใน 11:5 เปาโลอนุญาตให้สตรีประกาศพระวาจาในการชุมนุมได้โดยแต่งกายให้เรียบร้อย ท่าทีทางบวกเช่นนี้ทำให้เข้าใจว่าการห้ามสตรีมิให้พูดในที่ชุมนุมในข้อนี้ ไม่ใช่คำสั่งเด็ดขาด แต่สะท้อนธรรมเนียมปฏิบัติของสังคมในสมัยนั้น

i เนื่องจากคริสตชนชาวโครินธ์ไม่ได้รับพระวาจาโดยตรงหรือเพียงพวกเดียว เปาโลจึงขอให้เขายอมปฏิบัติตามประเพณีที่กลุ่มคริสตชนอื่นๆ ปฏิบัติอยู่

j บางฉบับว่า “ถ้าใครไม่ยอมรู้ ก็อย่ารู้” (เปาโลกำลังหมดความเพียร) เปาโลใช้วิธีเดียวกันนี้เพื่อยุติการโต้เถียง (ดู 11:16; ฟป 3:15ฯ)

เช้าวันใหม่ใส่ใจพระวาจา

Lectio Divina-Daily 2022

เช้าวันเสาร์เราคิดถึงพระวาจา

Video อบรมพระคัมภีร์

ความรู้พื้นฐานพระคัมภีร์และหนังสือปฐมกาล

หนังสืออพยพและเลวีนิติ

หนังสือกันดารวิถีและเฉลยธรรมบัญญัติ

หนังสือโยชูวา ผู้วินิจฉัยและนางรูธ

หนังสือซามูแอล ฉบับที่ 1 และ ฉบับที่ 2

หนังสือพงศ์กษัตริย์ ฉบับที่ 1 และ ฉบับที่ 2

หนังสือพงศาวดาร เอสราและเนหะมีย์

หนังสือโทบิต ยูดิธ เอสเธอร์และมัคคาบี 1 และ 2

ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับประกาศกและประกาศกอาโมส

หนังสือประกาศกโฮเชยาและมีคาห์

หนังสือประกาศกอิสยาห์

หนังสือประกาศกโยนาห์และประกาศกเศฟันยาห์

หนังสือประกาศกนาฮูมและฮาบากุก

หนังสือประกาศกเยเรมีห์-เพลงคร่ำครวญ-บารุค

หนังสือประกาศกเอเสเคียลและดาเนียล

บทเทศน์บนภูเขา มธ. 5-7

พระวรสารนักบุญมัทธิว 10,13,18

พระวรสารนักบุญมาระโก

หนังสือกิจการอัครสาวก