(ไฟล์ "เสียงวรสาร" โดย วัดแม่พระกุหลาบทิพย์ กรุงเทพฯ)

2 1พี่น้องทั้งหลาย เมื่อข้าพเจ้ามาพบท่าน ข้าพเจ้ามิได้มาประกาศธรรมล้ำลึกaเรื่องพระเจ้าโดยใช้สำนวนโวหาร หรือโดยใช้หลักเหตุผลอันฉลาดปราดเปรื่อง 2ข้าพเจ้าตัดสินใจว่าจะไม่สอนเรื่องใดแก่ท่านนอกจากเรื่องพระเยซูคริสตเจ้า คือพระองค์ผู้ทรงถูกตรึงกางเขน 3ข้าพเจ้ายังอยู่กับท่านด้วยความอ่อนแอ มีความกลัวและหวาดหวั่นมากb 4วาจาและคำเทศน์ของข้าพเจ้ามิใช่คำพูดชวนเชื่ออย่างชาญฉลาด แต่เป็นถ้อยคำแสดงพระอานุภาพของพระจิตเจ้าc 5เพื่อมิให้ความเชื่อของท่านเป็นผลจากปรีชาญาณของมนุษย์ แต่เป็นผลจากพระอานุภาพของพระเจ้าd

6เราพูดถึงปรีชาญาณในหมู่ผู้ที่เป็นผู้ใหญ่แล้วe แต่มิใช่ปรีชาญาณของโลกนี้หรือของผู้ปกครองโลกนี้fซึ่งกำลังจะสูญสิ้นไป 7แต่เรากล่าวถึงพระปรีชาญาณgของพระเจ้า เป็นธรรมล้ำลึกอันซ่อนเร้นซึ่งพระเจ้าทรงกำหนดล่วงหน้าไว้ก่อนปฐมกาลสำหรับสิริรุ่งโรจน์ของเรา 8ไม่มีผู้ปกครองโลกนี้ผู้ใดล่วงรู้พระปรีชาญาณนี้ เพราะถ้าเขารู้ เขาคงไม่ตรึงกางเขนองค์พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงพระสิริรุ่งโรจน์h 9แต่ตามที่มีเขียนไว้ในพระคัมภีร์ว่าiสิ่งที่ตาไม่เคยเห็น และหูไม่เคยได้ยิน และจิตใจของมนุษย์คิดไม่ถึง คือสิ่งที่พระเจ้าทรงเตรียมไว้สำหรับผู้ที่รักพระองค์10นี่เป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงเปิดเผยให้เรารู้โดยทางพระจิตเจ้า เพราะพระจิตเจ้าทรงหยั่งรู้ทุกสิ่งแม้กระทั่งสิ่งที่ลึกล้ำของพระเจ้า 11ใครเล่าล่วงรู้ความคิดของมนุษย์ ถ้ามิใช่จิตของมนุษย์ที่อยู่ในตัวมนุษย์คนนั้น เช่นเดียวกัน ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ถึงความคิดของพระเจ้านอกจากพระจิตของพระเจ้า 12เรามิได้รับจิตของโลก แต่รับพระจิตซึ่งมาจากพระเจ้า เพื่อให้รู้ถึงสิ่งต่างๆ ซึ่งพระเจ้าประทานแก่เรา 13เราพูดถึงสิ่งเหล่านี้ มิใช่ด้วยวาจาซึ่งปรีชาญาณของมนุษย์สอนให้ แต่พูดด้วยถ้อยคำที่พระจิตเจ้าทรงสอน เราจึงอธิบายเรื่องฝ่ายจิตโดยใช้ถ้อยคำของพระจิตเจ้าj 14มนุษย์ที่ดำเนินชีวิตตามธรรมชาติkรับสิ่งที่เป็นของพระจิตของพระเจ้าไม่ได้ เรื่องนี้เป็นเรื่องโง่เขลาสำหรับเขา เขาไม่อาจเข้าใจได้ เพราะต้องใช้จิตพิจารณา อาศัยพระจิตเจ้าเท่านั้น 15ส่วนผู้ที่ดำเนินชีวิตอาศัยพระจิตเจ้าย่อมตัดสินทุกสิ่งและไม่มีlใครตัดสินเขาได้ 16ใครเล่าหยั่งรู้ความคิดขององค์พระผู้เป็นเจ้า เพื่อให้คำแนะนำแก่พระองค์ได้ เรานั่นเองที่มีความคิดของพระคริสตเจ้า

 

2 a บางฉบับว่า “การเป็นพยานถึงพระเจ้า”

b แปลตามตัวอักษร “ความกลัวจนตัวสั่น” เป็นสำนวนที่พระคัมภีร์ใช้บ่อยๆ (เทียบ 2:3; วนฉ 7:3; สดด 2:11ฯ; 55:5; อสค 12:18; มก 5:33; 2 คร 7:15; ฟป 2:12)

c หมายถึง อัศจรรย์ต่างๆ และพระพรของพระจิตเจ้า ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อเปาโลเทศน์สอน (เทียบ 1:5; และ 2 คร 12:12)

d ถ้อยคำที่มาจากปรีชาญาณของมนุษย์มีความน่าเชื่อถืออยู่ในตัว (ข้อ 4) ถ้อยคำเช่นนี้ชวนให้ผู้ฟังเห็นด้วยตามเหตุผล (ข้อ 5) แต่สำหรับเปาโลกระบวนการนี้ยังไม่เพียงพอ ถ้อยคำของเขามีเหตุผลน่าเชื่อถือก็จริง (ข้อ 4) แต่ยังแสดงให้เห็นการกระทำของพระจิตเจ้า และเรียกร้องให้ผู้ฟังยอมรับเพราะการกระทำของพระจิตเจ้าด้วย

e “ผู้ใหญ่” หรือ “ผู้บรรลุวุฒิภาวะ” หรือ “คนที่สมบูรณ์” (teleioi) ไม่ได้หมายถึงกลุ่มคนไม่กี่คนที่แยกตนจากผู้อื่น เพราะได้เข้าพิธีพิเศษและถือตนดีกว่าผู้อื่น แต่หมายถึงทุกคนที่บรรลุวุฒิภาวะในชีวิตคริสตชน และมีความรู้ถูกต้อง (เทียบ 14:20; มธ 19:21 เชิงอรรถ g; ฟป 3:15; คส 4:12; ฮบ 5:14) “ผู้ใหญ่” ที่ว่านี้ ก็คือบุคคลกลุ่มเดียวกับที่เปาโลเรียกว่า “ผู้ที่ดำเนินชีวิตในพระจิตเจ้า” ตรงกันข้ามกับ “ทารกในพระคริสตเจ้า” (3:1)

 

f “ผู้ปกครองโลกนี้” อาจหมายถึง ผู้ที่มีอำนาจปกครองบ้านเมือง แต่มีความเป็นไปได้มากว่า วลีนี้หมายถึงอำนาจชั่ว หรือปีศาจที่ควบคุมโลกนี้อยู่ (เทียบ 15:24-25; อฟ 6:12; ดู ลก 4:6; และ ยน 12:31 เชิงอรรถ i) แต่อาจจะหมายถึงอำนาจปกครองทั้งสองแบบ โดยที่ปีศาจใช้มนุษย์เป็นเครื่องมือ

g แปลตามตัวอักษรว่า “ในธรรมล้ำลึก” วลีนี้มิได้หมายถึงปรีชาญาณที่เป็นปริศนา แต่หมายถึงปรีชาญาณซึ่งกล่าวถึงธรรมล้ำลึก คือแผนการลึกลับที่พระเจ้าทรงมีในการที่จะช่วยมนุษยชาติให้รอดพ้นในองค์พระคริสตเจ้า (รม 16:25 เชิงอรรถ l)

h “พระสิริรุ่งโรจน์” หมายถึง การสำแดงอำนาจของพระยาห์เวห์ (อพย 24:16 เชิงอรรถ f) เป็นลักษณะเฉพาะของพระเจ้า พระนามที่ว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงพระสิริรุ่งโรจน์” แสดงว่า พระเยซูเจ้าทรงศักดิ์ศรีเท่าเทียมกับพระยาห์เวห์เอง

i เป็นการอ้างแบบสรุปรวมกันถึง อสย 64:3 และ ยรม 3:16 หรืออาจจะเป็นการอ้างถึงข้อความในหนังสือวิวรณ์ของประกาศกเอลียาห์ก็ได้

j เป็นข้อความที่แปลยากตอนหนึ่ง นอกจากแปลเช่นนี้แล้ว ยังอาจแปลได้อีกว่า “อธิบายเรื่องฝ่ายจิตให้แก่ผู้ดำเนินชีวิตในพระจิตเจ้า” หรือยังเข้าใจได้อีกว่า “ให้ผู้ที่ดำเนินชีวิตในพระจิตเจ้าตัดสินเรื่องฝ่ายจิต” หรือ “เป็นการให้คนที่ดำเนินชีวิตฝ่ายจิตพิพากษาสิ่งที่เป็นฝ่ายจิต”

k psychikos หมายถึง มนุษย์ที่ดำเนินชีวิตตามธรรมชาติ โดยมิได้รับความช่วยเหลือพิเศษจากพระจิตเจ้า ดูคำอธิบายเกี่ยวกับ soma psychikon ใน 15:44 เชิงอรรถ w

l อาจเป็นข้อสังเกตที่เปาโลใช้เพื่อป้องกันตัว เปาโลดำเนินชีวิต “ในพระจิตเจ้า” ชาวโครินธ์ ซึ่งดำเนินชีวิต “ตามธรรมชาติ” (3:1-3) จึงไม่ควรตัดสินเขา เปาโลได้วางกฎเกณฑ์ซึ่ง “ผู้ดำเนินชีวิตในพระจิตเจ้า” จะต้องปฏิบัติไว้ในบทที่ 14 (ดู 1 ธส 5:19-22)