(ไฟล์ "เสียงวรสาร" โดย วัดแม่พระกุหลาบทิพย์ กรุงเทพฯ)

2 1ลูกที่รักทั้งหลาย ข้าพเจ้าเขียนเรื่องนี้ถึงท่าน เพื่อท่านจะได้ไม่ทำบาป

แต่ถ้าใครทำบาป

เรายังมีทนายแก้ต่างให้เฉพาะพระพักตร์ของพระบิดา

คือพระเยซูคริสตเจ้า ผู้ทรงเที่ยงธรรม

2พระองค์ทรงเป็นเครื่องบูชาชดเชยบาปของเรา

และไม่เพียงแต่ชดเชยเฉพาะบาปของเราเท่านั้น

แต่ชดเชยบาปของมนุษย์ทั้งโลกด้วย

เงื่อนไขประการที่สอง การปฏิบัติตามบทบัญญัติ โดยเฉพาะบทบัญญัติเรื่องความรัก

3ถ้าเราปฏิบัติตามบทบัญญัติของพระองค์

เรามั่นใจว่าเรารู้จักพระองค์a

4ผู้ที่พูดว่า “ข้าพเจ้ารู้จักพระองค์”

แต่ไม่ปฏิบัติตามบทบัญญัติของพระองค์

เขาเป็นคนพูดคำเท็จ

และ “ความจริง”b ไม่อยู่ในตัวเขา

5แต่ผู้ที่ปฏิบัติตามพระวาจาของพระองค์

ความรักของพระเจ้าcในผู้นั้นย่อมสมบูรณ์

โดยวิธีนี้เราจึงรู้ว่า เราอยู่ในพระเจ้า

6ผู้ที่พูดว่าเขาอยู่ในพระองค์d

ก็ต้องดำเนินชีวิตเหมือนกับที่พระองค์eทรงดำเนินชีวิต

7ท่านที่รักทั้งหลาย

สิ่งที่ข้าพเจ้าเขียนถึงท่าน มิใช่บทบัญญัติใหม่

แต่เป็นบทบัญญัติเก่า

ที่ท่านมีอยู่ตั้งแต่แรกเริ่ม

บทบัญญัติเก่านี้คือถ้อยคำที่ท่านได้ฟังมา

8บทบัญญัติที่ข้าพเจ้าเขียนถึงท่านนั้น ก็ยังนับว่าใหม่f

ใหม่จริงทั้งสำหรับพระองค์และสำหรับท่าน

เพราะความมืดกำลังผ่านพ้นไป

ความสว่างแท้จริงกำลังทอแสงขึ้นมาแล้ว

9ผู้ที่อ้างว่าตนอยู่ในความสว่าง

แต่เกลียดชังพี่น้องของตน

ผู้นั้นยังจมอยู่ในความมืด

10ส่วนผู้ที่รักพี่น้องของตน ก็ดำรงอยู่ในความสว่าง

และไม่มีสิ่งใดในตัวเขาที่ทำให้เขาล้มลงได้

11แต่ผู้ที่เกลียดชังพี่น้องของตน ก็อยู่ในความมืด

และเดินวนเวียนอยู่ในความมืด

โดยไม่รู้ว่าเขากำลังเดินไปทิศทางใด

เพราะความมืดทำให้ตาของเขาบอด

เงื่อนไขประการที่สาม การแยกตัวออกจากโลก

12ลูกที่รักทั้งหลาย ข้าพเจ้าเขียนถึงท่าน

เพราะบาปของท่านได้รับการอภัยแล้วเดชะพระนามพระองค์

13ท่านทั้งหลายที่เป็นบิดา ข้าพเจ้าเขียนถึงท่าน

เพราะท่านมารู้จักพระองค์ผู้ทรงดำรงอยู่ตั้งแต่แรกเริ่ม

เยาวชนทั้งหลาย ข้าพเจ้าเขียนถึงท่าน

เพราะท่านชนะมารร้ายแล้วg

14เด็กที่รักทั้งหลาย ข้าพเจ้าเขียนถึงเธอ

เพราะเธอได้มารู้จักพระบิดา

ท่านทั้งหลายที่เป็นบิดา ข้าพเจ้าเขียนถึงท่าน

เพราะท่านมารู้จักพระองค์ผู้ทรงดำรงอยู่ตั้งแต่แรกเริ่ม

เยาวชนทั้งหลาย ข้าพเจ้าเขียนถึงท่าน

เพราะท่านเป็นคนแข็งแรง

และพระวาจาของพระเจ้าก็สถิตในท่าน

และท่านชนะมารร้ายแล้ว

15จงอย่ารักโลก

และสิ่งที่อยู่ในโลกเลย

ถ้าผู้ใดรักโลก

ความรักของพระบิดาก็ไม่อยู่ในตัวเขา

16เพราะทุกสิ่งที่อยู่ในโลก

ได้แก่ ความมัวเมาในโลกีย์

ความโลภอยากได้ทุกสิ่ง

และความหยิ่งทะนงโอ้อวดในทรัพย์สมบัติh

ล้วนไม่ได้มาจากพระบิดา

แต่มาจากโลกทั้งสิ้น

17และโลกพร้อมกับความมัวเมาในโลกีย์ของโลกนั้น

กำลังผ่านพ้นไป

แต่ผู้ที่ทำตามพระประสงค์ของพระเจ้า

จะดำรงอยู่ตลอดนิรันดร

เงื่อนไขประการที่สี่ การระมัดระวังตนจากผู้เป็นปฏิปักษ์ต่อพระคริสตเจ้า

18ลูกที่รักทั้งหลาย นี่เป็นวาระสุดท้าย

ท่านได้ฟังแล้วว่า ปฏิปักษ์ของพระคริสตเจ้าiกำลังมา

และเวลานี้ปฏิปักษ์จำนวนมากของพระคริสตเจ้าก็มาถึงแล้ว

เพราะเหตุนี้เราจึงรู้ว่า เป็นวาระสุดท้าย

19เขาทั้งหลายออกไปจากเรา

แต่เขาไม่ได้เป็นพวกของเราอย่างแท้จริงj

เพราะถ้าเขาเป็นพวกเดียวกันกับเราจริง เขาคงจะอยู่กับเรา

แต่ที่เป็นดังนี้ก็เพื่อแสดงว่า

เขาเหล่านั้นทุกคนไม่เป็นพวกเดียวกับเรา

20ท่านทั้งหลายได้รับการเจิมkจากพระผู้ศักดิ์สิทธิ์

และทุกคนต่างได้รับความรู้l

21การที่ข้าพเจ้าเขียนถึงท่านทั้งหลายนั้น

มิใช่เพราะท่านไม่รู้ความจริง

แต่เขียนเพราะท่านรู้ดีอยู่แล้ว

และเพราะไม่มีความเท็จใดมาจากความจริงได้m

22ใครเป็นคนพูดคำเท็จ

ถ้าไม่ใช่คนที่พูดว่า พระเยซูไม่ใช่พระคริสตเจ้า

ผู้นี้คือปฏิปักษ์ของพระคริสตเจ้า

เขาปฏิเสธทั้งพระบิดาและพระบุตรn

23ทุกคนที่ปฏิเสธพระบุตรก็ไม่มีพระบิดา

คนที่ยอมรับพระบุตรย่อมมีพระบิดาด้วย

24ขอให้สิ่งที่ท่านทั้งหลายฟังมาตั้งแต่แรกเริ่มนั้นคงอยู่ในท่านo

ถ้าสิ่งที่ท่านฟังมาตั้งแต่แรกเริ่มนั้นคงอยู่ในท่าน

ท่านก็ดำรงอยู่ในพระบุตร

และในพระบิดา

25พระสัญญาที่พระองค์ประทานไว้ก็คือชีวิตนิรันดร

26ข้าพเจ้าเขียนข้อความเหล่านี้ถึงท่านทั้งหลายแล้ว

เกี่ยวกับบุคคลที่พยายามชักนำให้หลงผิด

27แต่สำหรับท่าน การได้รับเจิมจากพระองค์ยังคงอยู่ในท่าน

และไม่จำเป็นต้องให้ใครมาสอนท่านอีกp

เพราะการเจิมของพระองค์นั้นสอนทุกสิ่งให้ท่าน

และเพราะการเจิมนั้นเป็นจริงและไม่หลอกลวง

จงดำรงอยู่ในพระองค์ตามคำสั่งสอนที่ท่านได้รับมา

28ลูกที่รักทั้งหลาย บัดนี้จงดำรงอยู่ในพระองค์

เพื่อเมื่อพระองค์ทรงปรากฏ เราจะได้มีความมั่นใจ

ไม่ต้องหลบเลี่ยงไปจากพระองค์ด้วยความอับอาย

ในวันที่พระองค์เสด็จมา

II. การดำเนินชีวิตในฐานะบุตรของพระเจ้า

 

29ถ้าท่านรู้ว่า พระองค์ทรงเที่ยงธรรม

ท่านก็ต้องยอมรับว่าทุกคนที่ประพฤติชอบ ย่อมบังเกิดจากพระองค์

 

2 a ความรู้นี้ (ฮชย 2:22 เชิงอรรถ v) คือความเชื่อ (ยน 3:12 เชิงอรรถ g) และครอบคลุมวิถีชีวิตทั้งหมด (3:23, 51) จนถึงกับว่าความประพฤติเป็นมาตรการวัดที่จะทำให้รู้ว่าคนหนึ่งมีชีวิตในพระคริสตเจ้าหรือไม่ (ข้อ 5; 3:10; 4:13; 5:2)

b สำเนาโบราณบางฉบับเสริมว่า “ของพระเจ้า”

c “ความรักของพระเจ้า” หมายถึง ความรักของพระเจ้าต่อเรามากกว่าจะหมายถึงความรักของเราต่อพระเจ้า

d “การอยู่ใน” “การดำรงอยู่ใน” เป็นลักษณะการเขียนเฉพาะของยอห์น (ดู ยน 6:56 เชิงอรรถ q)

e แปลตามตัวอักษรได้ว่า “เหมือนกับผู้นั้น” ยอห์นใช้คำ “ผู้นั้น” หมายถึง พระเยซูเจ้าบ่อยครั้ง (3:3, 5, 7, 16; 4:17; ดู ยน 2:21; 19:35)

f บทบัญญัตินี้ได้เตรียมไว้ในพันธสัญญาเดิม (ลนต 19:18) และคริสตชนได้รับรู้แล้วตั้งแต่แรก (ข้อ 7; 3:11) แต่ก็ยังเป็นบทบัญญัติใหม่เพราะได้รับลักษณะพิเศษจากพระฉบับของพระเยซูคริสตเจ้า (ยน 13:34 เชิงอรรถ u)

g ปีศาจยังคงเป็นผู้ล่อลวงอย่างใน ปฐก 3:1-6; โยบ 1:6 เชิงอรรถ g ซึ่งยั่วยุมนุษย์ให้ทำความชั่ว (1 ยน 3:8 เชิงอรรถ d) แต่คริสตชน “ได้รู้จัก” พระบุตรแล้ว พระบุตรทรงเจริญชีวิตอยู่ในเขา (1:3 เชิงอรรถ b) และ “ห่อหุ้มเขา” ไว้ในแสงสว่าง คุณธรรมและความรัก (1:7 เชิงอรรถ e) และเนื่องจากว่าสิ่งนี้ป้องกันเขาทั้งหลายไม่ให้ทำบาป (1 ยน 3:6, 9) จึงถือได้ว่าเป็นชัยชนะของเขาเหนือปีศาจ (5:18; ยน 17:15) ป้องกันเขาจากการทำบาป (1 ยน 2:13-14) และจากโลกอันอนิจจัง (1 ยน 4:4; 5:4-5; เทียบ มธ 6:13; ยน 1:9 เชิงอรรถ f; 12:31; 14:30; 16:33; กท 6:14; ยก 4:4)

h แรงจูงใจที่ครอบงำ “โลก” คือ โลกีย์ สิ่งล่อใจจากรูปปรากฏภายนอกและความหยิ่งจองหอง อันเนื่องมาจากความมั่งคั่งทั้งหมดนี้ล้วนเป็นสิ่งอนิจจัง แต่ความเป็นจริงอันถาวรนั้นแตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง (ดู 2 คร 4:18; ฮบ 11:1, 3, 27)

i เกี่ยวกับศัตรูนี้ที่จะปรากฏมาในยุคสุดท้าย ซึ่งยอห์นกล่าวถึงโดยใช้พหูพจน์ (ดู 2 ธส 2:3-4 เชิงอรรถ c) เป็นผู้ที่ตั้งตนต่อต้านความเชื่อแท้จริงในพระคริสตเจ้า พระบุตรของพระเจ้า (ข้อ 22; 4:2-3; เทียบ 5:5; ยน 1:18 เชิงอรรถ q)

j แม้บรรดาปฏิปักษ์ของพระคริสตเจ้านี้ดูเหมือนจะเป็นส่วนหนึ่งของหมู่คณะ แต่เขาก็ขาดจิตตารมณ์ของพระคริสตเจ้า

k การรับเจิมนี้ หมายถึง พระจิตเจ้าที่ประทานให้กับพระเมสสิยาห์ (อสย 11:2 เชิงอรรถ c; 61:1) และที่พระเมสสิยาห์ประทานให้แก่ผู้เชื่อ (3:24; 4:13; เทียบ 2 คร 1:21) เพื่อสั่งสอนเขาในทุกเรื่อง (ข้อ 27; ยน 16:13 เชิงอรรถ f; เทียบ 1 คร 2:10, 15) และเพราะพระจิตเจ้านี้เองพระวาจาของพระเยซูเจ้าจะเป็น “จิตและชีวิต” (ยน 6:63)

l สำเนาโบราณบางฉบับว่า “ท่านทั้งหลายรู้ทุกสิ่ง”

m หรือ “และเพราะท่านรู้ว่าไม่มีความเท็จใดมาจากความจริง”

n เราไม่รู้ว่าพวกมิจฉาทิฐิพวกนี้เป็นใคร (อาจจะหมายถึงเชรินธัส ซึ่งลัทธิไญยนิยมยังยึดความคิดผิดๆ ของเขาอยู่บ้าง) ในที่นี้ คำว่า “พระคริสตเจ้า” ไม่เป็นเพียงคำแปลของคำว่า “Messiah” แต่หมายถึงความเชื่อที่ครบบริบูรณ์ของ “คริสตชน” ในพระองค์ผู้เสด็จมาเป็นมนุษย์

o หมายถึง คำสอนของบรรดาอัครสาวกเกี่ยวกับธรรมล้ำลึกของพระคริสตเจ้า

p คริสตชนได้รับการสอนจากบรรดาอัครสาวก (1:3, 5; 2:7, 24) แต่การรับฟังสิ่งที่กล่าวมานั้นแต่อย่างเดียวยังไม่เพียงพอ เนื้อหาของคำสอนที่ได้ฟังจะต้องซึมเข้าในชีวิตของเขา การนี้จะสำเร็จไม่ได้ถ้าไม่มีพระคุณของพระจิตเจ้าช่วยเหลือ