รำพึงพระวาจาประจำวัน โดยคุณพ่อสมเกียรติ  ตรีนิกร
วันพุธที่ 28 มกราคม 2015
สัปดาห์ที่ 3 เทศกาลธรรมดา (นักบุญโทมัส อาไควนัส)
มก 4:1-20…
1พระเยซูเจ้าทรงเริ่มสั่งสอนที่ริมทะเลสาบอีกครั้งหนึ่ง ประชาชนจำนวนมากมาชุมนุมห้อมล้อมพระองค์จนต้องเสด็จลงไปประทับบนเรือใน ทะเลสาบ ส่วนประชาชนทั้งหมดอยู่บนฝั่ง 2พระองค์ทรงสอนเขาหลายเรื่องเป็นอุปมา ในการสอนนั้น พระองค์ตรัสว่า 3“จงฟังเถิด ชายคนหนึ่งออกไปหว่านเมล็ดพืช 4ขณะที่เขากำลังหว่านอยู่นั้น บางเมล็ดตกอยู่ริมทางเดิน นกก็จิกกินจนหมด 5บางเมล็ดตกบนพื้นหินที่มีดินอยู่เล็กน้อย ก็งอกขึ้นทันทีเพราะดินไม่ลึก 6แต่เมื่อดวงอาทิตย์ขึ้น ก็ถูกแดดเผา และเหี่ยวแห้งไปเพราะไม่มีราก

7บางเมล็ดตกในพงหนาม ต้นหนามก็ขึ้นคลุมมันไว้ จึงไม่เกิดผล 8บางเมล็ดตกในที่ดินดี จึงงอกขึ้น เติบโต และเกิดผลสามสิบเท่าบ้าง หกสิบเท่าบ้าง ร้อยเท่าบ้าง” 9แล้วพระองค์ตรัสว่า “ใครมีหูสำหรับฟัง ก็จงฟังเถิด”
10เมื่อประชาชนจากไปแล้ว อัครสาวกสิบสองคนกับผู้ที่อยู่รอบ ๆ พระองค์ ทูลถามเรื่องอุปมา 11พระองค์ตรัสตอบว่า “พระเจ้าประทานธรรมล้ำลึกเรื่องพระอาณาจักรของพระเจ้าให้ท่านทั้งหลายรู้ แต่สำหรับคนที่อยู่ภายนอก ทุกสิ่งแสดงออกเป็นเพียงอุปมา ดังที่เขียนไว้ในพระคัมภีร์ว่า
12เพื่อเขาจะมองแล้วมองเล่า แต่ไม่เห็น ฟังแล้วฟังเล่าแต่ไม่เข้าใจ มิฉะนั้นแล้วเขาคงได้กลับใจ และพระเจ้าคงจะทรงให้อภัยเขา
13พระองค์ตรัสว่า “ท่านไม่เข้าใจอุปมานี้ แล้วจะเข้าใจอุปมาอื่น ๆ ได้อย่างไรเล่า 14ผู้หว่านพืชนั้นหว่านพระวาจา 15เมล็ดที่ตกริมทางหมายถึงบุคคลซึ่งรับพระวาจาที่หว่าน เมื่อเขาได้ฟังพระวาจา ซาตานก็มาช่วงชิงพระวาจาที่หว่านในตัวเขาไป 16เช่นเดียวกัน เมล็ดที่ตกบนหินหมายถึงบุคคลที่ได้ฟังพระวาจา และมีความยินดีรับไว้ทันที 17แต่เขาไม่มีรากในตัว จึงไม่มั่นคง เมื่อเผชิญความยากลำบากหรือถูกข่มเหงเพราะพระวาจานั้น เขาก็ยอมแพ้ทันที 18เมล็ดที่ตกในพงหนามหมายถึงบุคคลที่ฟังพระวาจา 19แต่ความวุ่นวายในทางโลก ความลุ่มหลงในทรัพย์สมบัติ และความโลภในสิ่งอื่น ๆ เข้ามาปกคลุมพระวาจาไว้ จึงไม่เกิดผล 20ส่วนเมล็ดพืชที่ตกในที่ดินดี หมายถึงบุคคลที่ฟังพระวาจาแล้วรับไว้ จึงเกิดผลสามสิบเท่า หกสิบเท่า และร้อยเท่า”

อรรถาธิบายและไตร่ตรอง

• อุปมาเรื่องผู้หว่านเราได้ยินกันบ่อยมากๆ และพ่อก็ได้ยินคำอธิบายมามากมายตั้งแต่เป็นเด็ก คำอธิบายก็ซ้ำกันไปซ้ำกันมา ไม่ได้มีอะไรมากไปกว่าที่เคยๆได้ยิน วันนี่พ่อพาพี่น้องมาถึงบทที่ 4 ของพระวรสารโดยท่านนักบุญมาระโก ข้อความก็เป็นอุปมาเรื่องผู้หว่านเช่นกัน พ่อบอกตรงๆว่าพ่อก็แทบจะจนมุมที่จะให้อรรถาธิบายอะไรได้มากไปกว่า สิ่งที่พ่อน้องเคยได้ยินกัน... แต่วันนี้พ่อกลับรู้สึกแปลๆว่า พิธีกรรมจัดให้เราอ่านพระวรสาร 20 ข้อ ต่อเนื่อง อุปมาเรื่องผู้หว่าน และคำอธิบายของพระเยซูเจ้าเองในเรื่องผู้หว่านนี้ด้วย 


• พี่น้องที่รัก ในเมื่อพระเยซูเจ้าเองทรงอธิบายแล้ว พ่อคงมิอาจหาญกล้าที่จะอธิบายอะไรอีกได้ เพราะพระองค์ทรงอธิบายเองแล้ว.. พระองค์อธิบายชัดมากๆ ด้วย ถ้าเพียงเราจะไตร่ตรองคำอธิบายเรื่องผู้หว่านของพระองค์ดีๆ ดังนี้ครับ คิดดีๆ และอ่านข้อความอรรถาธิบายของพระเยซูเจ้าเป็นข้อๆที่พ่อตัดออกมานี้อีกทีครับ

o ผู้หว่านพืชนั้นหว่านพระวาจา 

o เมล็ดที่ตกริมทางหมายถึงบุคคลซึ่งรับพระวาจาที่หว่าน เมื่อเขาได้ฟังพระวาจา ซาตานก็มาช่วงชิงพระวาจาที่หว่านในตัวเขาไป 

o เมล็ดที่ตกบนหินหมายถึงบุคคลที่ได้ฟังพระวาจา และมีความยินดีรับไว้ทันที แต่เขาไม่มีรากในตัว จึงไม่มั่นคง เมื่อเผชิญความยากลำบากหรือถูกข่มเหงเพราะพระวาจานั้น เขาก็ยอมแพ้ทันที 

o เมล็ดที่ตกในพงหนามหมายถึงบุคคลที่ฟังพระวาจา แต่ความวุ่นวายในทางโลก ความลุ่มหลงในทรัพย์สมบัติ และความโลภในสิ่งอื่น ๆ เข้ามาปกคลุมพระวาจาไว้ จึงไม่เกิดผล 

o ส่วนเมล็ดพืชที่ตกในที่ดินดี หมายถึงบุคคลที่ฟังพระวาจาแล้วรับไว้ จึงเกิดผลสามสิบเท่า หกสิบเท่า และร้อยเท่า

• พ่อไม่กล้าตัดสินอะไรครับว่า เราแต่ละคน พี่น้องที่รักของพ่อ ลูกๆที่รักของพระเจ้าครับ เราคงต้องพิจารณาเองจริงๆว่า เราเป็น “ผืนดินชนิดใดเมื่อเราได้รับฟังพระวาจาของพระเจ้า” เมื่อชีวิตของเราได้รับการประกาศหรือการหว่าน “พระวาจา” 


• พ่อยอมรับว่า เราคริสตชนคาทอลิก.. พ่อยอมรับว่า “พระวาจาของพระเจ้าคือชีวิตของพระศาสนจักรเสมอมา พระวาจาของพระเจ้าจำเป็นสำหรับชีวิตของเราจริงๆ” พ่อยอมรับว่า ที่ละเล็กที่ละน้อย พวกเราคุ้นเคยกับพระคัมภีร์หรือพระวาจาของพระเข้ามากขึ้นเรื่อยๆเสมอ พ่อติดตามในชีวิตพระศาสนจักรคาทอลิกไทยมาเกือบยี่สิบปีทั้งก่อนและตั้งแต่ พ่อเรียนจบกลับมาจากโรม พ่อจำได้ เห็นได้ว่า เรื่องพระคัมภีร์ เรื่องพระวาจาของพระเจ้า พวกเราคริสตชนไทยของเราก้าวหน้ามากขึ้นเรื่อยๆจริงๆนะครับ... 


• ส่วนตัวพ่อเอง... พ่อเทศน์ พ่อสอน พ่ออธิบายพระคัมภีร์มาตลอดเกือบยี่สิบปีพ่อยอมรับจริงๆว่า ชีวิตพ่อก็วนเวียนอยู่มากับการประกาศพระวาจา วันเวียนกับพระคัมภีร์มาโดยตลอด วันนี้พ่อกลับมาฟังเรื่องผู้หว่านอีกครั้ง และอีกสักกี่ครั้ง พ่อคิดว่า พ่อก็ฝันครับ ฝันอยากเห็นพระวาจาที่เป็นดังเมล็ดที่พระเจ้าหว่านในชีวิตเรา ในพระศาสนจักรของเรา จะต้องเกิดผลครับ จะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับเนื้อดินแห่งชีวิตเราจริงๆ

• พ่อมีข้อเสนอครับ...

o ให้เราเปิดใจรับพระคัมภีร์ รักพระวาจาของพระเจ้ามากขึ้นกว่าที่เคยนะครับ พระคัมภีร์ฉบับคาทอลิกของเราแปลแล้ว พิมพ์แล้ว ซื้อหากันไปแล้ว และก็มีฉบับก่อนหน้านี้อีกหลายเล่ม ที่แยกพิมพ์... ทั้งพันธสัญญาเดิมและพันธสัญญาใหม่.. พ่อเชิญชวนทุกท่านครับ พ่อรู้ว่าคนไทยไม่รักการอ่านเท่าไร การอ่านเป็นยาขมสำหรับคนไทยจริงๆ แต่ เราคริสตชนคาทอลิก เรามาปฏิรูปชีวิตเรื่องนี้กันครับ ให้เราเปิดหน้าดินแห่งจิตใจของเรา รับฟังพระวาจาของพระเจ้ากันให้มากขึ้นกว่าที่เคยนะครับ

o ให้เรากำจัดขวากหนาม ซาตาน หรือก้อนหินที่เป็นอุปสรรคของเนื้อดินที่จะได้ให้เมล็ดพันธุ์แห่งพระวาจาของ พระเจ้าได้หยั่งรากลึกลงในชีวิตของเราคริสตชนคาทอลิกนะครับ พ่อขอเชิญชวนด้วยใจจริงๆ และขอให้เราได้ออกแรงครับ ออกแรงที่จะเอาชนะความยากลำบากและอุปสรรคต่างๆที่ทำให้เราห่างไกลจากพระ คัมภีร์นั้น โดยการมุ่งหน้าอ่าน และไตร่ตรอง ศึกษา อยู่เสมอ...

o พี่น้องครับ คนไทยเราอ่านไม่เก่ง แต่คนไทยเราสุดยอดในเรื่อง “การฟัง” นะครับ การฟังคือหัวใจนักปราชญ์ประการแรกเลยครับ และคนไทยเราพิสูจน์แล้วว่า ถ้าได้ฟัง ฟังบ่อยๆ ซ้ำๆ เราจะเข้าถึงและเชื่อสุดเลยแน่นอน (จำสมัยที่เรามีช่องเหลืองช่องแดงได้ไหม ช่องบลูสกายด้วย เราฟังกันทั้งประเทศ ฟังช่องไหนก็เชื่อไหลไปช่องนั้น วิ่งไปร่วมชุมนุม ยอมตายหรือตายโดยจำยอมก็ไม่น่าเชื่อว่าจะเกิดขึ้น... บริจาคกันมากมายก่ายกอง แจกกันกระจายก็เยอะ แล้วแต่นโยบายของสีที่แตกกันเพราะการฟัง ฟัง ฟัง...) ดังนั้น พ่อกล้าสรุป “การฟัง” คือ “หัวใจนักปราชญ์จริงๆ” ดังนั้น ถ้าเราไม่เก่งเรื่องการอ่านนัก แต่เราคนไทยเป็นยอดนักฟังและหลงได้เลย... พ่อจึงเสนอครับ ฟังพระวาจาให้มากๆ เพราะพระวาจาคือความจริงและไม่มีหลงทางหรืองมงายเหมือนช่องทีวี หรือการเมือง ซึ่งที่อ่านมากทำบ้านเมืองเราบอบช้ำกันในอดีต
o พ่อเชิญชวนพี่น้องทุกท่านครับ ช่วยกันหว่านพระวาจา ฟังพระวาจา ครับ... ฟังกันมากๆ ฟังเทศนากันให้มาก ฟังการประกาศข่าวดีกันให้มากๆ พ่อย้ำว่า

1. เริ่มจากพี่น้องพระสงฆ์ของพ่อก่อนเลยครับ พวกเราต้องเทศน์สอนประกาศพระวาจาของพระเจ้ากันให้ดังกว่าเดิม ชัดกว่าเดิม เราต้องเจริญชีวิตเป็นดินดีเพื่อพระวาจาเกิดผลก่อน และประกาศได้มากยิ่งขึ้นครับ การเทศน์คือหน้าที่ศักดิ์สิทธิ์ของพระสงฆ์ และสังฆานุกร พวกเราต้องรักพระวาจา ศึกษาไตร่ตรองพระวาจากันให้มากที่สุด และพยายามประกาศทุกวิถีทางในการเทศน์ การใช้สื่อต่างๆ เพื่อประกาศพระวาจา และด้วยการดำเนินชีวิตเป็นประจักษ์พยานว่า พระวาจาของพระเจ้านั้นได้เกิดผลร้อยเท่าในเนื้อดินดีของชีวิตของพวกเราครับ

2. บรรดานักบวช ทั้งหญิงชาย ชีวิตนักบวชคือสักขีพยานถึงชาวสวรรค์นะครับ เราจะต้องไม่ห่างจากพระคัมภีร์ ไม่ห่างจากการปฏิบัติตามพระวาจา โดยเฉพาะอย่างยิ่งจิตตารมณ์แห่งการภาวนา ชีวิตพรหมจรรย์ ความยากจน และความนอบน้อมเชื่อฟัง เพราะพระวาจาของพระเจ้าได้เกิดผลในชีวิต

3. บรรดาครูคำสอน และผู้นำในชุมชนวัดทุกรูปแบบของพระพรพิเศษ การอ่านพระคัมภีร์บ่อยๆ การรักพระวาจาและปฏิบัติตามจะทำให้ชีวิตของพวกเราสามารถเป็นผู้ประกาศได้ อย่างมีประสิทธิภาพจริงๆครับ

4. พี่น้องคริสตชนทุกท่าน... พวกท่านคือคนกลุ่มใหญ่สุดในพระศาสนจักรและในสังคมโลก ชีวิตของทุกท่านคือในกระแสสังคมโลก แวดวงอาชีพการงานและบทบาทในสังคม... แต่เหนืออื่นใดท่านทั้งหลายคือเกลือดองแผ่นดิน และแสงสว่างส่องโลกครับ... เป็นโอกาสดี พ่อขอย้ำว่า ขอให้ทุกท่านฟังพระวาจา อ่านพระวาจาเสมอครับ... อ่านบทเทศน์พ่อหรือบทเทศน์ของใครๆก็ได้ อ่านพระคัมภีร์ให้มากๆ ชีวิตของพวกท่านกำลังเป็นพยานกลุ่มใหญ่สุดถึงพระเยซูพระเจ้าของเราครับ... พ่อเชิญชวนครับ ขอให้เราเจริญชีวิตศักดิ์สิทธิ์เพราะพระวาจาของพระเจ้าเสมอครับ...

• ที่สุด พี่น้องที่รัก พ่อภาวนาขอให้พระวาจาของพระเจ้าได้หว่านลงในหัวใจของพวกเราทุกคนนะครับ ขอพระอาจารย์เจ้าได้โปรดหว่านเมล็ดพันธุ์แห่งพระวาจาของพระองค์ลงในชีวิตของ พวกเรานะครับ ฟังพระวาจากันให้มาก อ่านพระคัมภีร์กันให้มากกว่าที่เคยและมากขึ้นเสมอ แบ่งปันพระวาจาและความรักแก่กันให้มากที่สุดครับ... 


• ขณะที่เรากำลังกระทำเช่นนี้ เป็นคริสตชนที่ประกาศความรักเมตตาของพระเจ้า พี่น้องครับ เรากำลังช่วยกันสถาปนาพระอาณาจักรของพระเจ้าในโลกและในสังคมไทยของเราอยู่ ครับ


• ขอพระเจ้าอวยพระพรและหว่านพระวาจาอันศักดิ์สิทธิ์ลงในชีวิตของเราด้วยกันนะครับ