เพลงสดุดีที่ 78

บทเรียนจากประวัติศาสตร์ของอิสราเอลa

สดด บทนี้ยาวเป็นอันดับสองรองจาก สดด 119 ผู้ประพันธ์แสดงเจตนาของตนใน 8 ข้อแรกของบทประพันธ์ เขาต้องการสอนประชาชนให้มองย้อนกลับไปในอดีต และได้รับบทเรียนจากประวัติศาสตร์ของชาติให้เป็นประโยชน์ ต่อจากนั้น ผู้ประพันธ์ก็เล่าถึงเหตุการณ์ในสมัยอพยพ การเข้ายึดครองแผ่นดินแห่งพระสัญญา โดยเน้นให้เห็นว่าพระเจ้าทรงเอาพระทัยใส่เขาตลอดเวลา แต่ประชาชนกลับไม่เชื่อฟังพระเจ้า ไม่รู้จักคุณค่าของสิ่งดีต่างๆ ที่พระองค์ประทานให้เขา ทุกครั้งที่พระองค์ทรงลงโทษเขาเพราะความผิด เขาก็ร้องหาพระองค์ให้ทรงช่วยเหลือ พระองค์ก็ทรงให้อภัยและประทานพระพรต่างๆ ให้เขาครั้งแล้วครั้งเล่า เพลงสดุดีบทนี้จบลงโดยกล่าวถึงการที่พระเจ้าทรงทอดทิ้งบรรดาชนเผ่าทางเหนือและทรงเลือกชนเผ่ายูดาห์ ภูเขาศิโยน และโดยเฉพาะทรงเลือกกษัตริย์ดาวิด ให้เป็นผู้เลี้ยงดูประชากรของพระองค์ เพลงสดุดีบทนี้ยังมีความหมายสำหรับเราคริสตชนซึ่งได้รับพระพรในองค์พระคริสตเจ้ามากกว่าที่ชาวอิสราเอลได้รับ เพราะฉะนั้น เราจึงต้องตอบสนองพระทัยดีของพระเจ้า โดยวางใจและเชื่อฟังพระองค์โดยสมบูรณ์ เราต้องไม่ลืมพระวาจาที่พระคริสตเจ้าทรงเตือนเราไว้ด้วยว่า “ผู้ใดได้รับฝากไว้มาก ผู้นั้นก็จะถูกทวงกลับไปมากด้วย” (ลก 12:48)

บทกวีสอนใจของอาสาฟ

1ประชากรของข้าพเจ้าเอ๋ย จงฟังคำสั่งสอนของข้าพเจ้าเถิด

        จงเงี่ยหูฟังถ้อยคำของข้าพเจ้า

2ข้าพเจ้าจะเปิดปากพูดเป็นคำประพันธ์b

        เปิดเผยปริศนาที่ซ่อนไว้ตั้งแต่ในอดีต

3สิ่งที่พวกเราได้ยินและรับรู้

        สิ่งที่บรรพบุรุษของเราเล่าให้เราฟัง

4เราจะไม่ปิดบังลูกหลานของเขา

        แต่จะบอกเล่าแก่ชนรุ่นหลังที่กำลังจะมา

บอกเล่าถึงกิจการน่าสรรเสริญของพระยาห์เวห์และพระอานุภาพของพระองค์

        รวมทั้งการมหัศจรรย์ที่ทรงกระทำ

5พระองค์ทรงกำหนดกฤษฎีกาสำหรับยาโคบ

        ทรงกำหนดบทบัญญัติขึ้นไว้ในอิสราเอล

ทรงมีพระบัญชาให้บรรพบุรุษของเรา

        สั่งสอนบทบัญญัตินั้นแก่ลูกหลาน

6ให้ชนรุ่นหลังที่จะตามมาจะได้รับรู้

        แล้วลูกหลานซึ่งจะเกิดมาในภายภาคหน้า

ก็จะบอกกล่าวแก่ลูกหลานของเขาต่อไป

7ว่าจะต้องมอบความวางใจไว้ในพระเจ้า

        และไม่ลืมกิจการยิ่งใหญ่ของพระองค์

แต่ปฏิบัติตามบทบัญญัติของพระองค์

8เขาจะไม่เป็นเหมือนบรรพบุรุษ

        ซึ่งเป็นชนดื้อรั้นและเป็นกบฏ

เป็นชนที่มีใจโลเล

        และมีจิตที่ไม่ซื่อสัตย์ต่อพระเจ้า

9ลูกหลานของเอฟราอิมที่เชี่ยวชาญในการยิงธนู

        ก็ยังหันหลังหนีในวันสู้รบc

10เขาไม่รักษาพันธสัญญาของพระเจ้า

        ไม่ยอมเดินตามธรรมบัญญัติของพระองค์

11เขาละลืมกิจการยิ่งใหญ่ทั้งหลายของพระองค์

        ลืมการอัศจรรย์ที่ทรงสำแดงแก่เขาd

12พระองค์ทรงกระทำการอัศจรรย์ต่อหน้าบรรพบุรุษของเขา

        ในแผ่นดินอียิปต์ ในที่ราบแห่งโศอาน

13พระองค์ทรงแยกทะเลและทรงนำเขาเดินข้ามไป

        ทรงบันดาลให้น้ำตั้งขึ้นเหมือนมีเขื่อนกั้นไว้

14ทรงให้เมฆนำเขาเวลากลางวัน

        ทรงให้ไฟส่องสว่างเขาเวลากลางคืน

15ทรงทำให้หินแยกออกในถิ่นทุรกันดาร

        ประทานน้ำจากใต้บาดาลให้เขาดื่ม

16ทรงบันดาลให้สายน้ำออกมาจากหินผา

        และทรงบันดาลให้น้ำไหลลงมาดังสายธาร

17แต่เขาทั้งหลายยังทำบาปผิดต่อพระองค์มากยิ่งขึ้น

        เป็นกบฏต่อพระผู้สูงสุดในถิ่นทุรกันดาร

18เขาจงใจทดลองพระเจ้า

        เรียกร้องอาหารตามใจปรารถนา

19เขาบ่นว่าพระเจ้าโดยพูดว่า

        “พระเจ้าจะทรงจัดโต๊ะเลี้ยงพวกเราในถิ่นทุรกันดารได้หรือ

20จริงอยู่เมื่อพระองค์ทรงตีหินผา

        น้ำก็ทะลักออกมาและหลั่งไหลดั่งสายธาร

แต่พระองค์จะประทานอาหารให้ได้ด้วยหรือ

        จะทรงจัดเนื้อให้ประชากรของพระองค์กินได้ไหม”

21เมื่อพระยาห์เวห์ทรงได้ยินก็กริ้ว

        พระพิโรธพลุ่งออกมาใส่ยาโคบเหมือนไฟ

พระพิโรธพลุ่งใส่อิสราเอล

22เพราะเขาทั้งหลายไม่มีความเชื่อในพระเจ้า

        ขาดความไว้ใจว่าจะทรงช่วยให้รอดพ้น

23แม้กระนั้นพระองค์ทรงบัญชาหมู่เมฆเบื้องบน

        ทรงเปิดประตูท้องฟ้า

24ปล่อยให้มานนาตกลงมาดังห่าฝนเพื่อเป็นอาหาร

        พระองค์ประทานข้าวสาลีจากสวรรค์ให้เขา

25มนุษย์กินอาหารของทูตสวรรค์e

        พระองค์ประทานอาหารให้เขาอย่างอุดมสมบูรณ์

26พระองค์ทรงปล่อยลมตะวันออกในท้องฟ้า

        ทรงส่งลมทิศใต้ให้พัดอย่างรุนแรง

27ทรงบันดาลให้เนื้อตกลงมาเหนือเขาประดุจผงคลี

        คือฝูงนกตกลงมาเหมือนทรายที่ชายทะเล

28ทรงทำให้นกตกภายในค่าย

        กระจัดกระจายอยู่รอบกระโจม

29เขาทั้งหลายได้กินมากจนอิ่ม

        พระองค์ทรงตอบสนองความอยากของเขา

30แต่เขาก็ยังอยากกินอีก

        ทั้งๆ ที่อาหารยังคาอยู่ในปาก

31เมื่อพระพิโรธของพระเจ้าพลุ่งขึ้นใส่เขา

        ทรงฆ่าชายฉกรรจ์ที่แข็งแรงที่สุดในหมู่เขา

ทรงสังหารนักรบชำนาญศึกแห่งอิสราเอล

32ถึงกระนั้นเขาก็ยังทำบาปต่อไปf

        ไม่เชื่อในการอัศจรรย์ที่ทรงกระทำ

33พระองค์จึงทรงบันดาลให้วันของเขาสิ้นสลายไปดังสายหมอก

        และปีของเขาก็จบลงด้วยความพรั่นกลัว

34เมื่อพระองค์ทรงสังหารเขาบางคน เขาก็แสวงหาพระองค์

        เขากลับใจหันมาหาพระเจ้าg

35ระลึกได้ว่าพระเจ้าทรงเป็นหลักศิลาของเขา

        พระผู้สูงสุดทรงเป็นผู้ช่วยเขาให้รอดพ้น

36ปากของเขาประจบพระองค์

        ลิ้นของเขากล่าวเท็จต่อพระองค์

37ใจของเขาโลเลไม่มั่นคงต่อพระองค์

        เขาไม่ซื่อสัตย์ต่อพันธสัญญาของพระองค์

38แต่พระองค์ก็ยังทรงมีพระทัยเมตตาสงสาร

        ทรงให้อภัยความผิด ไม่ทรงทำลายเขา

ทรงระงับพระพิโรธครั้งแล้วครั้งเล่า

        ไม่ทรงปล่อยความโกรธอย่างเต็มที่

39กลับทรงระลึกว่าเขาเป็นเพียงมนุษย์ที่ต้องตาย

        เป็นเพียงลมวูบเดียวที่พัดไปและไม่กลับมา

40กี่ครั้งกี่หนที่เขาเป็นกบฏต่อพระองค์ในถิ่นทุรกันดาร

        กี่ครั้งกี่หนที่เขาทำให้พระองค์ต้องเศร้าพระทัยในที่เปลี่ยว

41แต่เขาก็ยังทดลองพระเจ้าอยู่ซ้ำซาก

        ทำให้พระผู้ศักดิ์สิทธิ์แห่งอิสราเอลทรงรำคาญ

42เขาไม่จดจำพระอานุภาพของพระองค์

        ในวันที่ทรงช่วยเขาให้รอดพ้นจากผู้กดขี่ข่มเหง

43เมื่อพระองค์ทรงกระทำเครื่องหมายอัศจรรย์ในอียิปต์h

        ทรงสำแดงปาฏิหาริย์ในที่ราบแห่งโศอาน

44ทรงเปลี่ยนสายน้ำของคนเหล่านั้นให้กลายเป็นเลือด

        ไม่ให้เขาดื่มน้ำจากสายธาร

45พระองค์ทรงส่งฝูงเหลือบกัดกินพวกเขา

        ทรงส่งฝูงกบรังควาน

46พระองค์ทรงให้หนอนกัดกินพืชผล

        ทรงให้ตั๊กแตนทำลายผลิตผลจากงานของเขา

47พระองค์ทรงให้ลูกเห็บทำลายเถาองุ่น

        ให้น้ำค้างแข็งทำลายต้นมะเดื่อเทศ

48ทรงให้ลูกเห็บทำลายฝูงปศุสัตว์

        และให้สายฟ้าฟาดทำลายฝูงแพะแกะ

49พระองค์ทรงปล่อยพระพิโรธร้อนแรงใส่เขา

        ทรงส่งความโกรธ ความขัดเคือง และความทรมาน

เป็นเหมือนทูตแห่งหายนะ

50ทรงปล่อยพระพิโรธออกมาอย่างเสรี

        ไม่ทรงกันเขาไว้จากความตาย

ทรงปล่อยโรคระบาดคร่าชีวิตของเขา

51ทรงสังหารบุตรคนแรกทุกคนในอียิปต์

        ทรงฆ่าผลแรกแห่งพลังหนุ่มในกระโจมของฮาม

52ทรงนำประชากรของพระองค์ออกมาดังฝูงแกะi

        ทรงนำทางเขาเหมือนทรงนำฝูงแกะในถิ่นทุรกันดาร

53ทรงพาเขาไปอย่างปลอดภัยและไร้ความกลัว

        แต่ทรงบันดาลให้ทะเลกลืนศัตรูของเขา

54ทรงนำเขาไปยังเขตแดนศักดิ์สิทธิ์

        บนภูเขาซึ่งพระหัตถ์ขวายึดมาได้

55ทรงขับไล่นานาชาติออกไปให้พ้นหน้าเขา

        ทรงรังวัดที่ดินแบ่งสรรให้เป็นมรดกแก่เขา

ทรงจัดให้เผ่าต่างๆ แห่งอิสราเอลพำนักในกระโจมของตน

56แต่เขาก็ยังทดลองและเป็นกบฏต่อพระเจ้าสูงสุด

        ไม่ยอมปฏิบัติตามพระกฤษฎีกาของพระองค์j

57ประพฤตินอกทางและทรยศต่อพระองค์เช่นเดียวกับบรรพบุรุษ

        ผิดพลาดเหมือนกับคันธนูสายหย่อน

58เขาสร้างสักการสถานบนที่สูงทำให้พระองค์ทรงพระพิโรธ

        ปั้นรูปเคารพเป็นคู่แข่งกับพระองค์

59พระเจ้าทรงฟังและทรงสำแดงพระพิโรธ

        ทรงทอดทิ้งอิสราเอลโดยสิ้นเชิง

60ทรงละทิ้งที่ประทับของพระองค์ที่เมืองชิโลห์

        คือกระโจมที่พระองค์ทรงตั้งไว้ในหมู่มนุษย์

61พระองค์ทรงปล่อยให้หีบพันธสัญญาkถูกยึดเป็นเชลย

        ทรงอนุญาตให้พระสิริรุ่งโรจน์ตกอยู่ในมือของศัตรู

62ทรงปล่อยให้ประชากรของพระองค์เป็นเหยื่อของคมดาบ

        และทรงระบายพระพิโรธเหนือมรดกของพระองค์

63ไฟลุกโพลงขึ้นเผาผลาญชายหนุ่มของเขา

        หญิงสาวของเขาไม่ได้ร้องเพลงมงคลสมรส

64บรรดาสมณะถูกประหารชีวิตด้วยคมดาบ

        และหญิงม่ายก็ไม่ได้ร้องคร่ำครวญ

65องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงลุกขึ้นประดุจเพิ่งตื่นจากบรรทม

        เหมือนชายฉกรรจ์ที่หลับไปเพราะเมาเหล้า

66ทรงฟาดศัตรูของพระองค์ทางด้านหลังl

        ทรงทำให้เขาต้องอับอายตลอดไป

67ทรงปฏิเสธกระโจมของโยเซฟm

        ไม่ทรงเลือกเผ่าเอฟราอิม

68แต่ทรงเลือกเผ่ายูดาห์

        ทรงเลือกภูเขาศิโยนที่ทรงรัก

69ทรงสร้างสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์ให้สูงดังท้องฟ้าn

        ทรงตั้งให้มั่นคงตลอดไปเหมือนแผ่นดิน

70ทรงเลือกดาวิดผู้รับใช้ของพระองค์

        ทรงนำเขาไปจากคอกแกะ

71จากการเลี้ยงแม่แกะ พระองค์ทรงนำเขาให้มาเลี้ยงดูยาโคบประชากรของพระองค์

        และอิสราเอลมรดกของพระองค์

72กษัตริย์ดาวิดทรงเลี้ยงดูเขาด้วยพระทัยซื่อตรง

        ทรงจูงเขาไปด้วยพระหัตถ์ที่เชี่ยวชาญ

 

78 a เพลงสดุดีบทนี้เป็นบทรำพึงสอนใจตามแนวความคิดของหนังสือเฉลยธรรมบัญญัติ ดำเนินเรื่องตามประวัติศาสตร์ของชาติอิสราเอล กล่าวถึงบาปของชาติและการลงโทษจากพระเจ้า สดด บทนี้เน้นความรับผิดชอบของชนเผ่าเอฟราอิมซึ่งเป็นต้นตระกูลของชาวสะมาเรีย เน้นการที่พระเจ้าทรงเลือกตระกูลยูดาห์และทรงเรียกดาวิดมาเป็นกษัตริย์

b “คำประพันธ์” แปลจากคำ “mashal” ซึ่งหมายถึงข้อความสอนใจที่ใช้ความคิดคล้องจอง (parallelism) เป็นหลักในการเขียน

c ข้อความในข้อนี้ทำลายความต่อเนื่องของเรื่องราวในประวัติศาสตร์ที่กำลังกล่าวถึง นักวิชาการส่วนใหญ่จึงคิดว่าเป็นข้อความที่เสริมเข้ามาในภายหลัง หรือย้ายมาจากข้อ 57 เพื่อบอกล่วงหน้าถึงบรรพบุรุษของชาวสะมาเรีย (เทียบ ศคย 11:14 และ ข้อ 67)

d หมายถึง การอัศจรรย์ต่างๆ ในสมัยอพยพที่จะกล่าวถึงต่อไปในข้อ 12-31

e “ทูตสวรรค์” แปลตามตัวอักษรว่า “ผู้ทรงอำนาจ”

f “ทำบาปต่อไป” ข้อ 32-39 เล่าถึงบาปต่างๆ ของชาวอิสราเอลในถิ่นทุรกันดารและความเพียรอดทนของพระเจ้าโดยสังเขป

g “พระเจ้า” สำนวนแปลโบราณภาษาซีเรียคว่า “พระองค์”

h ข้อ 43-51 สรุปเรื่องภัยพิบัติในอียิปต์ (ดู อพย 7:8 เชิงอรรถ a)

i ข้อ 52-55 สรุปเรื่องการอพยพออกจากอียิปต์และการยึดครองแผ่นดินคานาอัน

j ข้อ 56-64 สรุปเรื่องบาปของอิสราเอลในสมัยซามูเอลและซาอูล

k “หีบพันธสัญญา” แปลตามตัวอักษรว่า “อำนาจของพระองค์” (เทียบ สดด 132:8; 2 พศด 6:41)

l บางคนคิดว่าข้อนี้กล่าวพาดพิงถึงเรื่องราวใน 1 ซมอ 5:6-9 ที่ชาวฟีลิสเตียเป็นริดสีดวงทวารเมื่อยึดหีบพันธสัญญาไว้ได้

m ข้อ 67 กล่าวพาดพิงถึงการที่พระเจ้าไม่ทรงเลือกเผ่าเอฟราอิม ข้อ 68-69 กล่าวถึงการที่ทรงเลือกภูเขาศิโยนเป็นที่ประทับเหมือนที่ประทับในสวรรค์ ข้อ 70-72 กล่าวถึงกษัตริย์ดาวิดที่พระยาห์เวห์ทรงเลือกและเรียกให้มาปกครองดูแลประชากรของพระองค์ เป็นรูปแบบของพระเมสสิยาห์ซึ่งจะเสด็จมาในภายหลัง

n “ท้องฟ้า” แปลตามตัวอักษรว่า “ที่สูง”