“ถ้าท่านทั้งหลายยึดมั่นในวาจาของเรา ท่านก็เป็นศิษย์ของเราอย่างแท้จริง" (ยน. 8:31)

รำพึงพระวาจาประจำวัน โดยคุณพ่อสมเกียรติ  ตรีนิกร
วันเสาร์ที่ 30 พฤษภาคม 2015
สัปดาห์ที่แปด เทศกาลธรรมดา
มก 11:27-33...

27พระเยซูเจ้าเสด็จกลับมาที่กรุงเยรูซาเล็มอีกพร้อมกับบรรดาศิษย์ ขณะที่ทรงพระดำเนินอยู่ในพระวิหาร บรรดามหาสมณะ บรรดาธรรมาจารย์ และผู้อาวุโสได้เข้ามาพบพระองค์ 28ทูลถามว่า “ท่านมีอำนาจใดจึงทำเช่นนี้ ใครมอบอำนาจให้ท่านทำการเหล่านี้” 29พระเยซูเจ้าตรัสกับเขาว่า “เราขอถามท่านอย่างหนึ่งด้วยเหมือนกัน ถ้าท่านตอบ เราก็จะบอกท่านว่าเราทำเช่นนี้โดยอำนาจอะไร 30พิธีล้างของยอห์นมาจากสวรรค์หรือมาจากมนุษย์ จงตอบมาซิ”

31บรรดามหาสมณะ ธรรมาจารย์และผู้อาวุโส จึงปรึกษากันว่า “ถ้าเราตอบว่ามาจากสวรรค์ เขาก็จะถามว่า ‘แล้วทำไมท่านจึงไม่เชื่อยอห์น’ 32แต่เราจะบอกว่ามาจากมนุษย์ได้อย่างไร” เขาเหล่านั้นกลัวประชาชน เพราะประชาชนคิดว่า ยอห์นเป็นประกาศก 33จึงทูลตอบพระเยซูเจ้าว่า “เราไม่รู้” พระเยซูเจ้าจึงตรัสว่า “เราก็ไม่บอกท่านเช่นเดียวกันว่าเราทำการเหล่านี้ด้วยอำนาจใด”

อรรถาธิบายและไตร่ตรอง
• “ก็ไม่รู้สินะ” “ก็แล้วแต่” “เอาที่สบายใจแล้วกัน” พ่อเปิดสติกเกอร์ที่เขานิยมส่งต่อกันผ่านทางสมาร์ทโฟน ทางไลน์ หรือเฟสบุคแมสเสจ พ่อเห็นมีภาพการ์ตูนแบบนี้ เดียวนี้มีเสียงประกอบด้วย เวลาคุยๆกันเมื่อต้องตัดสินใจ เมื่อต้องเลือก หรือตัดสินใจจริงๆ และตัดสินใจไม่ได้ หรือได้แต่ก็ไม่อยากมีส่วนร่วมตัดสินใจ ก็จะเห็นตัวการ์ตูนขึ้นมา และก็มีเสียงร้องว่า “ก็ไม่รู้สินะ” หรือคำว่า “ก็แล้วแต่” หรือที่เป็นตัวจระเข้อ้วนๆ หน้าตาน่ารัก มันร้องว่า “เอาที่สบายใจแล้วกัน” เออ สติกเกอร์ใหม่ มีมาเรื่อยๆ แต่ประเด็นคือ มีประเภทที่ไม่ตัดสินใจละ แล้วแต่ละ ไม่รู้ละ... ฯลฯ สิ่งเหล่านี้เป็นแนวใหม่ของยุคของเรา คือ “ไม่ขอรับผิดชอบด้วย หรือ ไม่ตัดสินใจด้วย”

• ครับ พ่อขึ้นบทเทศน์วันนี้แปลกนิดหน่อย... เพราะ วันนี้พระวรสารนักบุญมาระโกให้เราได้ติดตามพระเยซูเจ้าในเยรูซาเล็ม พระองค์กำลังเผชิญหน้ากับบรรดาสมณะ ธรรมจารย์ คัมภีราจารย์ ผู้ใหญ่ของศาสนาพวกที่กระทำกับศาสนาจนกลายเป็นพวกเขากลายเป็นแบบที่พ่อเน้น ไปเมื่อวาน คือ เป็น “พาณิชยศาสนา” หรือเป็น “พาณิชยศาสนบริกร” คนศาสนาที่ทำให้ศาสนากลายเป็นการค้าพาณิชย์และหาประโยชน์กับพระวิหาร... คำถามน่าคิดคือ

o คนพวกนี้เก่งไหม... คำตอบเก่งที่สุดในบรรดาชาวยิวเลยเพราะการศึกษาดีกว่าใครๆ รู้ธรรมบัญญัติของโมเสสดีกว่าใครๆ เป็นคนเมืองหลวง คือ เยรูซาเล็ม และอยู่กับหัวใจของเมือหลวง คือ “พระวิหาร” 

o คนพวกนี้ตระกูลสูงไหม... คำตอบ ไม่เพียงตระกูลสูง แต่เป็นตระกูลสงฆ์ หรือตระกูลสมณะเลวีเลยทีเดียว มีตำแหน่ง เป็นที่เคารพ และชอบให้คนเคารพ และที่สำคัญ เอาเรื่องพระเจ้ามาเป็นโอกาสหากินทางพาณิชย์ และบางสมัยก็เพิ่มความโลภหลงเข้าไปมากมาย อีกทั้งประวัติศาสตร์บอกกับเราว่า พวกนี้กินกับพระวิหาร ใช้เวลากับเรื่องเงินทอง และลูกหลานก็ใช้โอกาสขู่กรรโชกคนอื่นๆ อีกทั้งสร้างระบบหาความสบาย บางทีก็สร้างระบบเอาเปรียบทั้งทางเพศ ศีลธรรมจรรยา พระเยซูเคยกล่าวว่า “พวกนั่งบนที่นั่งของโมเสส... พวกนี้กินบ้านของหญิงหม้าย” คือ ใช้อำนาจศาสนาเพื่อเบียดเบียนคนยากไร้อย่างที่สุด

o คนพวกนี้รวยไหม...คำตอบคือรวย แต่ส่วนใหญ่ไม่เคยพอ เพราะได้มาง่ายไป ได้มาจากงเงินทำบุญ หรือเงินถวายพระวิหาร ถวายพระเจ้า และเมื่อมีเครื่องบูชามาถวาย ก็บ่อยครั้ง ฉกฉวยส่วนดีๆไว้สำหรับตนเอง...และอ้างว่าถวายพระเจ้า... บางทีก็ออกกฎหยุมหยิมเพื่อได้เพิ่ม ไม่รู้พอ...

o พวกนี้โกงไหม... โอ...ไม่อยากตัดสิน แต่ แต่ แต่... ถ้าเงินเข้ามาพาณิชยศาสนาพาไป ความฉ้อโกงก็คงเป็นเรื่อง เกิดได้ง่ายได้และธรรมดามากๆๆ

o ถามต่อว่า พวกนี้รู้ไหมว่า สิ่งที่ทำนั้น บ่อยครั้งผิด ไม่ควรทำ ผิดศีลธรรมจรรยา ไม่เหมาะสม บาปผิด และฉ้อโกง.. เอาเปรียบ ฯลฯ ตรงนี้ ถ้าถามคนพวกนี้... เตือนมโนธรรมพวกเขา... คำตอบมักจะเป็นแบบว่า “เราไม่รู้” ทั้งๆที่รู้อยู่แก่ใจ “ก้ไม่รู้สินะ” หรือ อาจจะมีแบบที่ว่า “เอาที่สบายใจแล้วกัน” 555 มาหมดเลย แต่พวกเขาอาจจะอ้างว่า “ไม่รู้ ให้พระเจ้าตัดสิน” นั่น ส่งไปให้พระเจ้าซะ ทุกคนก็ยอมหมด

• พ่อคิดว่า พระวาจาวันนี้ซึ่งต่อเนื่องจากเมื่อวาน พระเยซูเจ้าต้องชำระพระวิหาร ต้องชำระจิตใจของคนศาสนาพวกนี้จริง.... และพระเยซูก็พบสภาพอย่างที่พ่อเขียนมาแต่แรก..

o พวกเขามาขู่ถามพระเยซู... ว่าพระองค์มีอำนาจอะไรมาทำเช่นนี้ มาชำระพระวิหาร คว่ำโต๊ะแลกเงิน ฯลฯ ขับไล่พวกเขา หรือลูกหลานครอบครัวของพวกเขาที่ถือครองพระวิหารและศาสนากันมาจนเหนียว หนึบ...

o เมื่อพระองค์ถามกลับ... “เราขอถามท่านอย่างหนึ่งด้วยเหมือนกัน... พิธีล้างของยอห์นมาจากสวรรค์หรือมาจากมนุษย์ จงตอบมาซิ” 

o ดูพฤติกรรมของพวกเขาที่จะต้องตอบสิครับ... “บรรดามหาสมณะ ธรรมาจารย์และผู้อาวุโส จึงปรึกษากันว่า “ถ้าเราตอบว่ามาจากสวรรค์ เขาก็จะถามว่า ‘แล้วทำไมท่านจึงไม่เชื่อยอห์น’ แต่เราจะบอกว่ามาจากมนุษย์ได้อย่างไร” เขาเหล่านั้นกลัวประชาชน เพราะประชาชนคิดว่ายอห์นเป็นประกาศก จึงทูลตอบพระเยซูเจ้าว่า “เราไม่รู้”

• นี่อย่างไรครับ สภาพสูญญากาศทางศาสนาที่เป็นพาณิชย์ สภาพที่ไม่สามารถอยู่กับความจริง ต่อหน้าพระเยซูเจ้า ต่อหน้าประชาชน ในเรื่องศีลล้างบาปของยอห์นบัปติส.. รู้ รู้จริงว่าศีลล้างบาปของยอห์นมาจากไหน รู้ดีว่า พระเยซูเจ้าชะระพระวิหารนั้นถูกต้องแล้ว แต่รับไม่ได้ ไม่สามารถรับได้เพราะมีสิ่งที่เราเรียกในสมัยของเราว่า “ผลประโยชน์แอบแฝง” ก็เลยเกิดอการ “ผลประโยชน์ทับซ้อนซ่อนเงื่อนเลือนลางศาสนาและความจริง” ดังนั้น หลังจากปรึกษากันอย่างดี... คำตอบเดียวที่ทำได้คือ “เราไม่รู้” โถๆๆๆ โง่สิ โง่เลยถ้าจะต้อบว่าไม่รู้ เพราะพวกนี้รู้พระคัมภีร์ดีที่สุด รู้ศาสนาและความจริงทางประกาศกดีที่สุด... แต่จำเป็นต้อง “โง่” เพราะประโยชน์ทับซ้อนนั่นเอง

o เรื่องนี้สอนเราได้ดีครับ... สอนพ่อได้ดีมากๆเลย “ความรักในความจริง” “ความจริงจะทำให้ท่านเป็นอิสระ” (เทียบ ยน 8 และ 1ยน)

o พ่อเคยถูกสอนมาเวลาเรียนปรัชญาว่า... ถ้าเราไม่รู้ในสิ่งที่ควรรู้นั่นเรียกว่า “โง่” แต่ถ้าเราไม่รู้ในสิ่งที่ไม่ควรรู้นั้นไม่โง่เลย... เช่นถ้าพ่อไม่รู้เรื่องตลาดหุ้นที่เขาเรียกกันว่า ราคาพาร์ แรงต้าน...อะไรทำนองนี้ที่พ่อได้ยิน เยอะแยะ... พ่อไม่รู้เลย... พ่อไม่โง่ครับ เพราะพ่อเป็นพระสงฆ์ไม่ใช่นักเล่นหุ้น... 

o แต่ถ้าพ่อถูกถามเรื่องพระคัมภีร์ เรื่องคำสอนพระศาสนจักร ศีลธรรม และเรื่องเกี่ยวกับศาสนาที่พ่อควรจะรู้ และพ่อไม่รู้ ไม่ชัด ไม่สามารถแสวงหาคำตอบ... เออ แบบนี้พ่อโง่จริงๆ

o แต่ในทางกลับบ้าน ถ้าพ่อเป็นพระสงฆ์ และไม่รู้เรื่องพระคัมภีร์ดีๆ แต่รู้เรื่องหุ้นทุกตัว ตามได้ทุกพอร์ต เข้าใจ วิเคราะห์ขาด... ถ้าเป็นแบบนี้ จะเรียกว่อะไรดี... “ก็ไม่รู้สิ เอาที่สบายใจแล้วกัน”

• พี่น้องที่รัก เราคริสตชน นักบวช พระสงฆ์ เราโง่ไม่ได้นะครับ ไม่รู้ไม่ได้ ทำตัวแบบอินดิฟเฟอเรนซ์ คือไม่ตัดสิน ไม่ได้ กับเรื่อง พระเยซู เรื่องความรักเมตตา เรื่องพระบัญญัติแห่งความรัก การให้อภัย ความยุติธรรม ความถูกต้อง และความดี เรื่องเหล่านี้ ห้าม “ก็แล้วแต่ หรือเอาที่สบายใจแล้วกัน” หรือ ห้าม “ก็ไม่รู้สิ” ไม่ได้นะครับ

• ชีวิตเราต้อง คม ชัด ลึก จริง ในเรื่องความจริง และความดี ความรัก และความยุติธรรมตลอดไป พ่อสรุปว่าอย่างนี้พอได้ไหมหนอ

o เราคริสตชน เราต้องฉลาดชัดเจนในเรื่องความยุติธรรม ความจริง ความรักเมตตา ความใจดี และเรื่องพระเจ้าของเรา คือ ต้องไม่โง่ในเรื่องดีๆเหล่านี้เลย

o และเราไม่ต้องฉลาด (แกมโกง) ในเรื่องโง่ คือ เรื่องความเลว ความอยุติธรรม การฉ้อโกง กิจการที่ไม่สะอาด ต้องไม่ฉลาดในเรื่องโง่ๆ แบบนี้ และห้ามสรุปว่า “ก็ไม่รู้สิ ก็แล้วแต่ หรือ เอาที่สบายใจแล้วกัน” เพราะเราสบายใจอาจบนความทุกข์ใจของคนอื่น...

o สรุป ว่า ตรงไปตรงมา ฉลาดในความจริง ในความรักเมตตา และในความดีนะครับ... เรื่องสวรรค์ฉลาดไว้ โง่ไม่ได้ เรื่องนรกๆๆ ไม่ต้องฉลาดกับกระแสของปีศาจเลยก็จะดี ครับ 

o ขอพระเจ้าอวยพรให้เราฉลาด ด้วยปรีชาญาณของพระเจ้าเสมอไปครับ

เช้าวันใหม่ใส่ใจพระวาจา

Lectio Divina-Daily 2022

เช้าวันเสาร์เราคิดถึงพระวาจา

Video อบรมพระคัมภีร์

ความรู้พื้นฐานพระคัมภีร์และหนังสือปฐมกาล

หนังสืออพยพและเลวีนิติ

หนังสือกันดารวิถีและเฉลยธรรมบัญญัติ

หนังสือโยชูวา ผู้วินิจฉัยและนางรูธ

หนังสือซามูแอล ฉบับที่ 1 และ ฉบับที่ 2

หนังสือพงศ์กษัตริย์ ฉบับที่ 1 และ ฉบับที่ 2

หนังสือพงศาวดาร เอสราและเนหะมีย์

หนังสือโทบิต ยูดิธ เอสเธอร์และมัคคาบี 1 และ 2

ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับประกาศกและประกาศกอาโมส

หนังสือประกาศกโฮเชยาและมีคาห์

หนังสือประกาศกอิสยาห์

หนังสือประกาศกโยนาห์และประกาศกเศฟันยาห์

หนังสือประกาศกนาฮูมและฮาบากุก

หนังสือประกาศกเยเรมีห์-เพลงคร่ำครวญ-บารุค

หนังสือประกาศกเอเสเคียลและดาเนียล

บทเทศน์บนภูเขา มธ. 5-7

พระวรสารนักบุญมัทธิว 10,13,18

พระวรสารนักบุญมาระโก

หนังสือกิจการอัครสาวก