"พระคริสตเจ้าทรงเป็นผู้ใดสำหรับข้าพเจ้า" อธิบายพระวรสารตามคำบอกเล่าของนักบุญมาระโก โดย บาทหลวงฟรังซิส ไก้ส์
“บางเมล็ดตกในที่ดินดี จึงงอกขึ้น เติบโต และเกิดผล”

16.  อุปมาเรื่องผู้หว่าน (3)
- บางเมล็ดตกในพงหนาม โดยทั่วไป เมื่อเก็บเกี่ยวพืชแล้ว ทุ่งนาในปาเลสไตน์ก็ปกคลุมไปด้วยพงหนามซึ่งบางครั้งอาจจะสูงถึงหนึ่งเมตรครึ่งและมีรากลึกฝังลงในดิน เมื่อชาวนาหว่านพืชและไถนา คันไถที่ใช้อาจจะไม่ใหญ่พอที่จะขุดรากหนามออกหมด ดังนั้น ต้นหนามก็ขึ้นคลุมมันไว้ต้นข้าวสาลีจึงไม่เกิดผล

-บางเมล็ดตกในที่ดินดี ดินดีเป็นเพียงดินที่เมล็ดพืชสามารถงอกขึ้นเติบโตตามปกติจนถึงเวลาเก็บเกี่ยว โดยทั่วไป ดินที่มีหินดังที่เล่าในอุปมา อาจเกิดผลอย่างมาก 10 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งก็ยังคุ้มค่าเมื่อเทียบกับเมล็ดพืชที่ได้หว่านไว้ เกิดผลสามสิบเท่าบ้างหกสิบเท่าบ้างร้อยเท่าบ้างก็ดูเหมือนเกินความจริงพระเยซูเจ้าทรงพระประสงค์ที่จะดึงดูดความสนใจของผู้ฟังให้คิดถึงชะตากรรมของเมล็ดพืช แม้เมล็ดพืชที่ตกในดินสามกลุ่มแรกไม่เกิดผล แต่การเก็บเกี่ยวที่อุดมสมบูรณ์ของเมล็ดพืชที่ตกในดินกลุ่มที่สี่ก็ชดเชยกับความล้มเหลวของสามกลุ่มแรก พระเยซูเจ้าทรงเน้นว่า การประกาศข่าวดีเรื่องพระอาณาจักรของพระเจ้าจะเกิดผลอย่างแน่นนอน แม้ไม่เพียงจะมีการต่อต้านแต่เพราะอาศัยการต่อต้าน พระอาณาจักรเป็นเหตุการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้นในศาสนบริการของพระองค์
-แล้วพระองค์ตรัสว่า “ใครมีหูสำหรับฟังก็จงฟังเถิด” แม้เราพบวลีนี้บ่อย ๆ ในพันธสัญญาใหม่ (เทียบ 4:33; 7:16; มธ 11-15; 13:43; ลก 14-35; วว 2:7,11,17) แต่ในข้อความนี้เป็นการเชิญชวนผู้ฟังแต่ละคนให้ไตร่ตรองความหมายเป็นการส่วนตัว อุปมาไม่เล่าเรื่องจนจบแต่มุ่งที่จะแสดงความจริงที่ผู้ฟังต้องแสวงหาในสถานการณ์ที่ผู้เล่าได้บรรยายไว้ ผู้ฟังจะค้นพบและเข้าใจความจริงนั้นถ้าเขามีเจตนาดี และใช้สติปัญญาพิจารณาอย่างรอบคอบ

b) ประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน
         1. ในข้อความนี้เราพบความคิดหรือสภาพตรงกันข้ามหลายคำเช่น ความล้มเหลวกับความสำเร็จ การปิดบังกับการปรากฏ ความต่ำต้อยกับความยิ่งใหญ่ โดยทั่วไปมนุษย์ทุกคนมักจะแสวงหาความสำเร็จ  ความจริงที่ชัดเจนและความยิ่งใหญ่ แต่พระเยซูเจ้าทรงพยายามสั่งสอนเราให้ยอมรับวิธีคิดของพระเจ้า เป็นวิธีคิดตรงกันข้ามกับความคิดตามประสามนุษย์ เราพร้อมที่จะเปลี่ยนวิธีคิดหรือไม่

         2. ความเชื่อของคริสตชนมีพื้นฐานในการฟังพระวาจาของพระเจ้า เพราะความเชื่อเป็นการตอบสนองพระเจ้าผู้ทรงเปิดเผยพระองค์เองและแผนการของพระองค์แก่มนุษย์ เราจึงต้องตั้งใจฟังพระวาจาของพระเจ้าเพื่อจะตอบรับพระวาจานั้นในชีวิตของเรา การสนทนากับพระเจ้าเช่นนี้เป็นความหมายลึกซึ้งของชีวิตเรา เราจึงควรทูลขอพระเจ้าโปรดประทานความสามารถที่จะรู้จักฟังพระวาจา มีความเพียรทนในการรอคอยให้พระวาจาเกิดผลในชีวิต

         3. การที่พระเยซูเจ้าทรงประกาศพระวาจาไม่เป็นการเพียงพอ พระองค์ยังทรงสั่งสอน เพราะมนุษย์จะฟังพระวาจาอย่างเดียวก็ยังไม่เพียงพอ เขายังต้องเข้าใจความหมายของพระวาจานั้น เมล็ดพืชที่หว่านจะเกิดผลได้ก็ขึ้นอยู่กับลักษณะของพื้นดินฉันใด ผู้ได้ฟังพระวาจาจะเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของตนก็ต่อเมื่อเขาพยายามเข้าใจว่าพระเยซูเจ้าทรงเรียกเขาให้กลับใจฉันนั้น พระเยซูเจ้าจึงตรัสกับเราแต่ละคนว่า “ใครมีหูสำหรับฟังก็จงฟังเถิด”

         4. นักบุญมาระโกช่วยเราให้มองเหตุการณ์ในชีวิตในแง่ดี แม้หลายครั้งพระวาจาและพระอาณาจักรของพระเจ้าประสบความล้มเหลวแต่ยังเจริญเติบโตได้โดยอาศัยความล้มเหลวเหล่านี้ เมล็ดพืชเป็นเครื่องหมายแสดงศักยภาพที่ยังไม่ปรากฏและยังไม่เกิดผล แต่มีอยู่จริงและเป็นรูปธรรมแล้ว เมล็ดพืชพลิกวิถีชีวิตที่จบลงด้วยความตาย เพื่อเป็นพยานยืนยันว่าความตายเป็นเงื่อนไขและการเริ่มต้นของชีวิตใหม่เราจึงควรทูลขอพระเจ้าโปรดประทานความสามารถที่จะรู้จักมองทุกอย่างในแง่ดีด้วยความเชื่อ รู้จักเห็นแผนการของพระเจ้าในชีวิตของเราและประวัติศาสตร์ทั้งหมดของมนุษย์

         5. อุปมาเรื่องผู้หว่านสอนเราให้มั่นใจว่า แม้ในระหว่างความล้มเหลว ความเหน็ดเหนื่อยและการรับทรมาน เราก็ยังมีเมล็ดพืชที่เกิดผลดีอยู่เสมอ ทั้ง ๆ ที่เราอาจมีประสบการณ์การเกิดผลนาน ๆ ครั้ง

         6. เราควรขอบพระคุณพระเยซูเจ้าที่ทรงผ่านทางความล้มเหลวก่อนเรา ไม่ทรงยอมแพ้เมื่อต้องประสบการต่อต้าน ความไม่เข้าใจและความมีใจแข็งกระด้างของมนุษย์