“ถ้าท่านทั้งหลายยึดมั่นในวาจาของเรา ท่านก็เป็นศิษย์ของเราอย่างแท้จริง" (ยน. 8:31)

เอสราสั่งให้ชาวอิสราเอลที่แต่งงานกับหญิงต่างชาติต้องหย่าร้างa

9         1เมื่อทำเช่นนี้แล้ว บรรดาหัวหน้าชาวอิสราเอลมาพบข้าพเจ้า พูดว่า “ประชากรอิสราเอล บรรดาสมณะและชนเลวี ไม่ได้แยกตนออกจากชนชาติท้องถิ่น คือ ชาวคานาอัน ชาวฮิตไทต์ ชาวเปริสซี ชาวเยบุส ชาวอัมโมน ชาวโมอับ ชาวอียิปต์ และชาวอาโมไรต์ เขาเหล่านี้ประกอบกิจกรรมที่น่ารังเกียจ 2ชาวอิสราเอลและบรรดาบุตรได้แต่งงานกับหญิงต่างชาติเหล่านี้ จึงทำให้เชื้อสายศักดิ์สิทธิ์เป็นมลทินไปปะปนกับชนชาติท้องถิ่นเหล่านั้น บรรดาหัวหน้าและผู้ปกครองเป็นชนกลุ่มแรกที่ล่วงละเมิดในเรื่องนี้” 3เมื่อข้าพเจ้าได้ยินเรื่องนี้ ข้าพเจ้าก็ฉีกเสื้อผ้าและเสื้อคลุมของข้าพเจ้า ดึงทึ้งผมบนศีรษะและหนวดเครา นั่งลงด้วยความทุกข์ 4ทุกคนที่เกรงกลัวการตัดสินลงโทษของพระเจ้าแห่งอิสราเอล เพราะการล่วงละเมิดของผู้ที่กลับมาจากถิ่นเนรเทศb ก็มาชุมนุมกับข้าพเจ้า ข้าพเจ้านั่งนิ่งด้วยความเศร้าจนถึงเวลาถวายเครื่องบูชายามเย็น 5เมื่อถึงเวลาถวายเครื่องบูชายามเย็น ข้าพเจ้าก็ลุกขึ้นจากสภาพความทุกข์ สวมเสื้อผ้าและเสื้อคลุมที่ขาดวิ่น คุกเข่าลง ชูมือขึ้นหาพระยาห์เวห์พระเจ้าของข้าพเจ้า 6ทูลว่าc

“ข้าแต่พระเจ้าของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าละอายใจเหลือเกินที่จะเงยหน้าขึ้นหาพระองค์ พระเจ้าของข้าพเจ้า เพราะความผิดของข้าพเจ้าทั้งหลายมีมากจนท่วมศีรษะ และการกระทำชั่วร้ายของข้าพเจ้าทั้งหลายกองสุมขึ้นไปจนถึงท้องฟ้า 7ข้าพเจ้าทำความชั่วยิ่งใหญ่ตั้งแต่สมัยบรรพบุรุษจนถึงวันนี้ และเพราะความชั่วร้าย ข้าพเจ้าทั้งหลาย บรรดากษัตริย์และบรรดาสมณะจึงตกในเงื้อมมือของบรรดากษัตริย์ต่างชาติ ถูกฆ่า ถูกจับเป็นเชลย ถูกปล้น ถูกสบประมาทอย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ 8แต่บัดนี้ พระยาห์เวห์พระเจ้าของข้าพเจ้าทั้งหลายได้โปรดปรานชั่วระยะหนึ่ง ทรงปล่อยให้ข้าพเจ้าบางคนรอดชีวิตเหลืออยู่ และประทานที่พำนักอย่างปลอดภัยในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์ เพื่อพระเจ้าของข้าพเจ้าจะทรงบันดาลให้จิตใจของข้าพเจ้าทั้งหลายสดชื่นขึ้น ได้รับความบรรเทาพ้นจากการเป็นทาส 9จริงอยู่ ข้าพเจ้าทั้งหลายเป็นทาส แต่พระเจ้าของข้าพเจ้ามิได้ทรงละทิ้งไว้ให้เป็นทาสต่อไป แต่โปรดให้เป็นที่โปรดปรานของบรรดากษัตริย์แห่งเปอร์เซีย พระองค์ประทานชีวิตใหม่ให้ข้าพเจ้าทั้งหลาย เพื่อจะสร้างพระวิหารของพระเจ้าของข้าพเจ้าขึ้นใหม่ และซ่อมแซมสิ่งปรักหักพัง พระองค์ยังประทานที่หลบภัยแก่ข้าพเจ้าทั้งหลายในแคว้นยูดาห์และที่กรุงเยรูซาเล็ม 10บัดนี้ ข้าแต่พระเจ้าของข้าพเจ้า เมื่อพระองค์ทรงกระทำเช่นนี้แล้ว ข้าพเจ้าทั้งหลายจะพูดอะไรได้อีก เพราะข้าพเจ้าได้ละทิ้งบทบัญญัติของพระองค์ 11ซึ่งพระองค์ทรงบัญชาไว้อาศัยบรรดาประกาศกผู้รับใช้ของพระองค์ว่า “แผ่นดินซึ่งท่านทั้งหลายกำลังจะเข้าไปยึดครองนี้ เป็นแผ่นดินที่มีมลทิน เพราะการกระทำชั่วร้ายน่าสะอิดสะเอียนของชาติต่างๆ แห่งแผ่นดินเหล่านั้น ซึ่งเต็มไปด้วยความสกปรกdของเขาจากปลายหนึ่งจนถึงอีกปลายหนึ่ง 12ดังนั้น ท่านทั้งหลายต้องไม่ให้บุตรหญิงของท่านแต่งงานกับบุตรชายของเขา และอย่ารับบุตรหญิงของเขาเป็นภรรยาของบุตรชายของท่าน ท่านต้องไม่ส่งเสริมความสงบสุขและความเจริญรุ่งเรืองของเขา ท่านทั้งหลายจะได้แข็งแรง กินผลิตผลดีๆ ของแผ่นดิน และมอบแผ่นดินนั้นเป็นมรดกแก่ลูกหลานของท่านตลอดไป”

13“แม้กิจการชั่วร้ายและความผิดยิ่งใหญ่ของข้าพเจ้าทั้งหลายนำโทษมาให้พระองค์พระเจ้าของข้าพเจ้า ก็ยังทรงลงโทษน้อยกว่าที่ความผิดของข้าพเจ้าทั้งหลายสมควรจะได้รับ พระองค์ยังประทานให้ข้าพเจ้ามีผู้รอดชีวิตกลุ่มหนึ่งเหลืออยู่ 14แล้วข้าพเจ้าทั้งหลายจะกลับละเมิดบทบัญญัติของพระองค์ ไปแต่งงานกับชนชาติที่ประพฤติสิ่งน่าสะอิดสะเอียนเช่นนี้อีกได้อย่างไร พระองค์คงจะทรงพระพิโรธถึงกับทรงทำลายข้าพเจ้าทั้งหลายจนหมดสิ้น ไม่ให้มีผู้ใดรอดชีวิตอยู่ได้เลย 15ข้าแต่พระยาห์เวห์พระเจ้าแห่งอิสราเอล พระองค์ทรงเที่ยงธรรมe โปรดให้ข้าพเจ้าทั้งหลายรอดชีวิตอยู่ได้จนทุกวันนี้ บัดนี้ ข้าพเจ้าจึงมีความผิดมาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระองค์ แม้ว่าไม่มีผู้ใดจะยืนอยู่เฉพาะพระพักตร์พระองค์ได้ เพราะความผิดของตน”

 

9 a ในสมัยแรกๆ ไม่มีการห้ามชาวอิสราเอลมิให้แต่งงานกับหญิงต่างชาติ (ปฐก 41:45; 48:5ฯ; กดว 12:1ฯ; นรธ 1:4; 2 ซมอ 3:3) แต่ต่อมาหนังสือเฉลยธรรมบัญญัติจะห้ามการแต่งงานเช่นนี้ เพื่อต่อต้านการกราบไหว้รูปเคารพ เพราะภรรยาต่างชาติอาจนำรูปเช่นนี้มาไว้ภายในบ้าน (ฉธบ 7:1-4; ดู ฉธบ 23:4ฯ) อันตรายที่ว่านี้มีมากขึ้น เมื่อชาวอิสราเอลกลับมาจากแดนเนรเทศ เพราะผู้ที่กลับมาส่วนใหญ่เป็นชาย เหตุผลที่อ้างว่าต้องหย่าร้างกับหญิงต่างชาติเป็นเหตุผลทางศาสนา (9:1, 11) แต่ยังมีผู้อ้างเหตุผลอื่นอีกด้วย คือ การเป็นห่วงที่จะรักษาเชื้อชาติไว้มิให้ผสมกับชนต่างชาติ (9:3)

b “ผู้ที่กลับมาจากถิ่นเนรเทศ” ชุมชนชาวยิวในปาเลสไตน์ภายหลังการเนรเทศมักจะได้ชื่อตามบุคคลที่มีความสำคัญพิเศษ คือ “บรรดาผู้ที่กลับมาจากแดนเนรเทศ” (4:1; 6:16; 10:6, 8,16) ซึ่งคิดว่าตนเป็นชนกลุ่มน้อย “ที่รอดชีวิตเหลืออยู่” (the Ramnant) (ดู อสย 4:3 เชิงอรรถ c)

c คำอธิษฐานภาวนาของเอสรา ซึ่งมีลักษณะเหมือนบทเทศน์ด้วยนั้น ได้รับความคิดมาจาก ฉธบ และคำสอนของบรรดาประกาศก (ดูข้อ 11ฯ)

d “ความสกปรก” หมายถึง ผลของการกราบไหว้รูปเคารพ

e “ทรงเที่ยงธรรม” ความยุติธรรมของพระเจ้าอยู่คู่กับพระกรุณา มิฉะนั้นแล้วคงไม่มีใครรอดชีวิตได้ ด้วยเหตุนี้จึงกล่าวว่า “พระเจ้าทรงเที่ยงธรรม” ซึ่งหมายความว่าทรงช่วยให้มนุษย์ได้รับความรอดพ้นด้วย (ดู อสย 56:1; รม 1:17)

เช้าวันใหม่ใส่ใจพระวาจา

Lectio Divina-Daily 2022

เช้าวันเสาร์เราคิดถึงพระวาจา

Video อบรมพระคัมภีร์

ความรู้พื้นฐานพระคัมภีร์และหนังสือปฐมกาล

หนังสืออพยพและเลวีนิติ

หนังสือกันดารวิถีและเฉลยธรรมบัญญัติ

หนังสือโยชูวา ผู้วินิจฉัยและนางรูธ

หนังสือซามูแอล ฉบับที่ 1 และ ฉบับที่ 2

หนังสือพงศ์กษัตริย์ ฉบับที่ 1 และ ฉบับที่ 2

หนังสือพงศาวดาร เอสราและเนหะมีย์

หนังสือโทบิต ยูดิธ เอสเธอร์และมัคคาบี 1 และ 2

ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับประกาศกและประกาศกอาโมส

หนังสือประกาศกโฮเชยาและมีคาห์

หนังสือประกาศกอิสยาห์

หนังสือประกาศกโยนาห์และประกาศกเศฟันยาห์

หนังสือประกาศกนาฮูมและฮาบากุก

หนังสือประกาศกเยเรมีห์-เพลงคร่ำครวญ-บารุค

หนังสือประกาศกเอเสเคียลและดาเนียล

บทเทศน์บนภูเขา มธ. 5-7

พระวรสารนักบุญมัทธิว 10,13,18

พระวรสารนักบุญมาระโก

หนังสือกิจการอัครสาวก