ข้อคิดจากพระวาจาประจำวัน  โดย..คุณพ่อฉลองรัฐ สังขรัตน์

วันศุกร์ที่ 17 มีนาคม 2017
น.ปาตริก พระสังฆราช
ปฐก 37:3-4,12-13ก,17ข-28 / มธ 21:33-43,45-46
บทอ่านจากพระวรสารนักบุญมัทธิว                           

           เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสว่า “ท่านทั้งหลาย จงฟังอุปมาอีกเรื่องหนึ่งเถิด คหบดีผู้หนึ่งปลูกองุ่นไว้สวนหนึ่ง ทำรั้วล้อม ขุดบ่อย่ำองุ่น สร้างหอเฝ้า ให้ชาวสวนเช่า แล้วก็ออกเดินทางไปต่างเมือง เมื่อใกล้ถึงฤดูเก็บผล เจ้าของสวนจึงให้ผู้รับใช้ไปพบคนเช่าสวนเพื่อรับส่วนแบ่งจากผลผลิต

แต่คนเช่าสวนได้จับคนใช้ ทุบตีคนหนึ่ง ฆ่าอีกคนหนึ่ง เอาหินทุ่มอีกคนหนึ่ง เจ้าของสวนจึงส่งผู้รับใช้จำนวนมากกว่าพวกแรกไปอีก คนเช่าสวนก็ทำกับพวกนี้เช่นเดียวกัน ในที่สุด เจ้าของสวนได้ส่งบุตรชายของตนไปพบคนเช่าสวน คิดว่า ‘คนเช่าสวนคงจะเกรงใจลูกของเราบ้าง’ แต่เมื่อคนเช่าสวนเห็นบุตรเจ้าของสวนมา ก็พูดกันว่า ‘คนนี้เป็นทายาท เราจงฆ่าเขาเถิด เราจะได้มรดกของเขา’

     เขาจึงจับบุตรเจ้าของสวน นำตัวออกไปนอกสวนแล้วฆ่าเสีย ดังนี้ เมื่อเจ้าของสวนมา เขาจะทำอย่างไรกับคนเช่าสวนพวกนั้น” บรรดาผู้ฟังตอบว่า “เจ้าของสวนจะกำจัดพวกใจอำมหิตนี้อย่างโหดเหี้ยม และจะยกสวนให้คนอื่นเช่า ซึ่งจะแบ่งผลคืนให้เขาตามกำหนดเวลา” พระเยซูเจ้าจึงตรัสว่า “ท่านมิได้อ่านในพระคัมภีร์หรือว่า ‘หินที่ช่างก่อสร้างทิ้งเสียนั้น ได้กลายเป็นศิลาหัวมุม องค์พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงกระทำเช่นนั้น เป็นที่น่าอัศจรรย์แก่เรายิ่งนัก’

     ดังนั้น เราบอกท่านว่า พระอาณาจักรของพระเจ้าจะถูกยกจากท่านทั้งหลาย ไปมอบให้แก่ชนชาติอื่นที่จะทำให้บังเกิดผล”

 เมื่อบรรดาหัวหน้าสมณะและชาวฟาริสีได้ยินอุปมาเหล่านี้ก็เข้าใจว่า พระองค์ตรัสถึงพวกเขา จึงพยายามจับกุมพระองค์ แต่ยังเกรงประชาชน เพราะประชาชนนับถือพระองค์เป็นประกาศก

 (พระวาจาของพระเจ้า)

---------

 การหยาบคายต่อกัน การมองเห็นคนเป็นอื่น การเปรียบเปรยเรียกคนเป็นชื่อสัตว์เลื้อยคลาน เป็นลักษณะท่ีส่งผ่าน "ความดิบ" ไม่ได้เหลา ไม่ได้ขัดเกลา ไม่ได้ปลูกฝังการมองคุณค่าของคน
 ดังนั้น "คนสุก" คือคนที่บ่มแล้ว สุกด้วยความร้อนรนตามเวลา สุกด้วนเงื่อนเวลาขัดเกลา บ่มเพาะ สุกด้วยการอบรมหล่อหลอม

 กระบวนการแห่งวิถีมหาพรต ก็เป็นการทำให้คนสุก ที่อาจไม่ต้องใช้ความสุข
 เพราะเหตุว่า คนดิบเถื่อน หยาบคาย กระด้าง อาจทำแค่ "วงล้อมความพอใจ"

 แต่คนสุกปลั่ง อาจไม่ตามใจตัวเอง แต่เห็นเป้าหมายสูง คุณค่าที่ต้องใช้วิธียกระดับ มากกว่า เอาตามใจ ไปตามกระแส แค่สุขเพราะพอใจ
 ดังนั้นการสอน เล่าเรื่อง โยเซฟกับพี่ชาย ที่ลงเอยว่า

 "ทันใดนั้น เขาเงยหน้าขึ้น เห็นกองคาราวานของชาวอิชมาเอลกำลังเดินทางมาจากแคว้นกิเลอาดจะไปอียิปต์ มีอูฐบรรทุกยางสน เครื่องเทศ และยางไม้หอมมาด้วย ยูดาห์จึงแนะนำพี่น้องว่า “ถ้าเราฆ่าน้อง และกลบเลือดไว้ จะได้อะไรขึ้นมาเล่า เราจงขายน้องแก่ชาวอิชมาเอลดี กว่า เราจะได้ไม่ต้องทำร้ายเขา เพราะเขาก็ยังเป็นน้องและเป็นสายเลือดเดียวกันกับเรา”

 ความสำนึกมีได้ เพราะถูกอบรมมาแล้ว
 ความเกรงตัวกลัวบาป มีเพราะมีสายสัมพันธ์มัดรัดไว้

 การไม่เลวไปกว่าเดิม การหลงลงลึก สำนึกได้ เพราะเคยมีคนได้อภัยไว้ก่อนหน้า

 ดังนั้น บาป จึงถูกชำระด้วยความสำนึก การไม่หลงไปบาปต่อเนื่องจนจมบาป เพราะการสำนึกกลับใจใช้โทษบาป ดังนั้น พระเมตตาของพระเจ้าต่อบาป และต่อคนบาป เร่ิมต้นด้วยการสำนึก และกลับใจ

 พระเมตตาของพระเจ้าต่อบาป เป็นดังเลือกหินไม่มีค่า กลับมาใช้ประโยชน์อย่างที่เป็น เหมือนหินหัวมุม

  ‘หินที่ช่างก่อสร้างทิ้งเสียนั้น ได้กลายเป็นศิลาหัวมุม องค์พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงกระทำเช่นนั้น เป็นที่น่าอัศจรรย์แก่เรายิ่งนัก’

 พระเมตตาของพระเจ้า คัดสรรจากคนบาป ที่สำนึกกลับใจ กลับกลายเป็นคุณค่ามากกว่าขว้างทิ้ง