(ไฟล์ "เสียงวรสาร" โดย วัดแม่พระกุหลาบทิพย์ กรุงเทพฯ)

อุปมาเรื่องหญิงสาวสิบคนa

25 1“อาณาจักรสวรรค์เปรียบได้กับหญิงสาวสิบคนถือตะเกียงออกไปรอรับเจ้าบ่าวb 2ห้าคนเป็นคนโง่ อีกห้าคนเป็นคนฉลาด

3หญิงโง่นำตะเกียงไป แต่มิได้นำน้ำมันไปด้วย 4ส่วนหญิงฉลาด นำน้ำมันใส่ขวดไปพร้อมกับตะเกียง 5ทุกคนต่างง่วงและหลับไปเพราะเจ้าบ่าวมาช้า 6ครั้นเวลาเที่ยงคืน มีเสียงตะโกนบอกว่า ‘เจ้าบ่าวมาแล้ว จงออกไปรับกันเถิด’

7หญิงสาวทุกคนจึงตื่นขึ้นแต่งตะเกียง 8หญิงโง่พูดกับหญิงฉลาดว่า ‘ขอน้ำมันให้เราบ้าง เพราะตะเกียงของเราจวนจะดับแล้ว’

9หญิงฉลาดจึงตอบว่า ‘ไม่ได้ เพราะน้ำมันอาจไม่พอสำหรับเราและสำหรับพวกเธอด้วย จงไปหาคนขายแล้วซื้อเอาเองดีกว่า’ 10ขณะที่หญิงเหล่านั้นกำลังไปซื้อน้ำมัน เจ้าบ่าวก็มาถึง หญิงสาวที่เตรียมพร้อมจึงเข้าไปในห้องงานแต่งงานพร้อมกับเจ้าบ่าว แล้วประตูก็ปิด 11ในที่สุด พวกหญิงโง่ก็มาถึง พูดว่า ‘นายเจ้าขา นายเจ้าขา เปิดรับพวกเราด้วย’ 12แต่เขาตอบว่า ‘เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า เราไม่รู้จักท่าน’ 13ดังนั้น จงตื่นเฝ้าระวังไว้เถิด เพราะท่านไม่รู้วันและเวลา”

อุปมาเรื่องเงินตะลันต์c

14“อาณาจักรสวรรค์ยังจะเปรียบได้กับบุรุษผู้หนึ่งกำลังจะเดินทางไกล เรียกผู้รับใช้มามอบทรัพย์สินให้ 15ให้คนที่หนึ่งห้าตะลันต์ ให้คนที่สองสองตะลันต์ ให้คนที่สามหนึ่งตะลันต์ ตามความสามารถของแต่ละคน แล้วจึงออกเดินทางไป

16คนที่รับห้าตะลันต์รีบนำเงินนั้นไปลงทุน ได้กำไรมาอีกห้าตะลันต์ 17คนที่รับสองตะลันต์ก็ได้กำไรมาอีกสองตะลันต์เช่นเดียวกัน 18แต่คนที่รับหนึ่งตะลันต์ไปขุดหลุมซ่อนเงินของนายไว้

19หลังจากนั้นอีกนาน นายของผู้รับใช้พวกนี้ก็กลับมาและตรวจบัญชีของพวกเขา 20คนที่รับห้าตะลันต์เข้ามา นำกำไรอีกห้าตะลันต์มาด้วย กล่าวว่า ‘นายขอรับ ท่านให้ข้าพเจ้าห้าตะลันต์ นี่คือเงินอีกห้าตะลันต์ที่ข้าพเจ้าทำกำไรได้’ 21นายพูดว่า ‘ดีมาก ผู้รับใช้ที่ดีและซื่อสัตย์ เจ้าซื่อสัตย์ในสิ่งเล็กน้อย เราจะให้เจ้าจัดการในเรื่องใหญ่ๆ จงมาร่วมยินดีกับนายของเจ้าเถิด’d 22คนที่รับสองตะลันต์เข้ามารายงานว่า ‘นายขอรับ ท่านให้ข้าพเจ้าสองตะลันต์ นี่คือเงินอีกสองตะลันต์ที่ข้าพเจ้าทำกำไรได้’ 23นายพูดว่า ‘ดีมาก ผู้รับใช้ที่ดีและซื่อสัตย์ เจ้าซื่อสัตย์ในสิ่งเล็กน้อย เราจะให้เจ้าจัดการในเรื่องใหญ่ๆ จงมาร่วมยินดีกับนายของเจ้าเถิด’

24คนที่รับหนึ่งตะลันต์เข้ามารายงานว่า ‘นายขอรับ ข้าพเจ้ารู้ว่าท่านเป็นคนเข้มงวด เก็บเกี่ยวในที่ที่ท่านไม่ได้หว่าน เก็บรวบรวมในที่ที่ท่านไม่ได้โปรย 25ข้าพเจ้ามีความกลัว จึงนำเงินของท่านไปฝังดินซ่อนไว้ นี่คือเงินของท่าน’ 26นายจึงตอบว่า ‘ผู้รับใช้เลวและเกียจคร้าน เจ้ารู้ว่าข้าเก็บเกี่ยวในที่ที่ข้ามิได้หว่าน เก็บรวบรวมในที่ที่ข้ามิได้โปรย 27เจ้าก็ควรนำเงินของข้าไปฝากธนาคารไว้ เมื่อข้ากลับมาจะได้ถอนเงินของข้าพร้อมกับดอกเบี้ย 28จงนำเงินหนึ่งตะลันต์จากเขาไปให้แก่ผู้ที่มีสิบตะลันต์ 29เพราะผู้ที่มีมาก จะได้รับมากขึ้น และเขาจะมีเหลือเฟือ แต่ผู้ที่มีน้อย สิ่งเล็กน้อยที่เขามีก็จะถูกริบไปด้วย 30ส่วนผู้รับใช้ที่ไร้ประโยชน์นี้ จงนำไปทิ้งในที่มืดข้างนอก ที่นั่นจะมีแต่การร่ำไห้คร่ำครวญ และขบฟันด้วยความขุ่นเคือง’”

การพิพากษาครั้งสุดท้าย

31“เมื่อบุตรแห่งมนุษย์จะเสด็จมาในพระสิริรุ่งโรจน์eพร้อมกับบรรดาทูตสวรรค์ พระองค์จะประทับเหนือพระบัลลังก์รุ่งโรจน์ 32บรรดาประชาชาติfจะมาชุมนุมกันเฉพาะพระพักตร์ พระองค์จะทรงแยกเขาออกเป็นสองพวก ดังคนเลี้ยงแกะแยกแกะออกจากแพะ 33ให้แกะอยู่เบื้องขวา ส่วนแพะอยู่เบื้องซ้าย 34แล้วพระมหากษัตริย์จะตรัสแก่ผู้ที่อยู่เบื้องขวาว่า ‘เชิญมาเถิด ท่านทั้งหลายที่ได้รับพระพรจากพระบิดาของเรา เชิญมารับอาณาจักรเป็นมรดกที่เตรียมไว้ให้ท่านแล้วตั้งแต่สร้างโลกg 35เพราะว่า เมื่อเราหิว ท่านให้เรากิน เรากระหาย ท่านให้เราดื่ม เราเป็นแขกแปลกหน้า ท่านก็ต้อนรับ 36เราไม่มีเสื้อผ้า ท่านก็ให้เสื้อผ้าแก่เรา เราเจ็บป่วย ท่านก็มาเยี่ยม เราอยู่ในคุก ท่านก็มาหา’h

37บรรดาผู้ชอบธรรมจะทูลถามว่า ‘พระเจ้าข้า เมื่อใดเล่าข้าพเจ้าทั้งหลายเห็นพระองค์ทรงหิว แล้วถวายพระกระยาหาร หรือทรงกระหาย แล้วถวายให้ทรงดื่ม 38เมื่อใดเล่าข้าพเจ้าทั้งหลายเห็นพระองค์ทรงเป็นแขกแปลกหน้า แล้วต้อนรับ หรือทรงไม่มีเสื้อผ้า แล้วถวายให้ 39เมื่อใดเล่าข้าพเจ้าทั้งหลายเห็นพระองค์ประชวรหรือทรงอยู่ในคุกแล้วไปเยี่ยม’ 40พระมหากษัตริย์จะตรัสตอบว่า ‘เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ท่านทำสิ่งใดต่อพี่น้องผู้ต่ำต้อยที่สุดของเราคนหนึ่ง ท่านก็ทำสิ่งนั้นต่อเรา’

41แล้วพระองค์จะตรัสกับพวกที่อยู่เบื้องซ้ายว่า ‘ท่านทั้งหลายที่ถูกสาปแช่ง จงไปให้พ้น ลงไปในไฟนิรันดรที่ได้เตรียมไว้ให้ปีศาจและบริวารของมัน 42เพราะว่า เมื่อเราหิว ท่านไม่ให้อะไรเรากิน เรากระหาย ท่านไม่ให้อะไรเราดื่ม 43เราเป็นแขกแปลกหน้า ท่านก็ไม่ต้อนรับ เราไม่มีเสื้อผ้า ท่านก็ไม่ให้เสื้อผ้า เราเจ็บป่วยและอยู่ในคุก ท่านก็ไม่มาเยี่ยม’ 44พวกนั้นจะทูลถามว่า ‘พระเจ้าข้า เมื่อใดเล่าที่ข้าพเจ้าทั้งหลายเห็นพระองค์ทรงหิว ทรงกระหาย ทรงเป็นแขกแปลกหน้า หรือไม่มีเสื้อผ้า เจ็บป่วย หรืออยู่ในคุก และไม่ได้ช่วยเหลือ’ 45พระองค์จะตรัสตอบว่า ‘เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ท่านไม่ได้ทำสิ่งใดต่อผู้ต่ำต้อยของเราคนหนึ่ง ท่านก็ไม่ได้ทำสิ่งนั้นต่อเรา’ 46แล้วพวกนี้ก็จะไปรับโทษนิรันดร ส่วนผู้ชอบธรรมจะไปรับชีวิตนิรันดร”

 

25 a หญิงสาว (แปลตามตัวอักษร “สาวพรหมจารี”) ซึ่งมาคอยรับเจ้าบ่าว หมายถึงคริสตชนที่กำลังรอคอยพระคริสตเจ้า แม้ว่าพระองค์จะเสด็จมาช้า เขาก็ต้องเตรียมรอคอย โดยจัดตะเกียงไว้ให้พร้อมเสมอ

b สำเนาโบราณบางฉบับเสริมว่า “และเจ้าสาว”

c “ตะลันต์” หมายถึงปริมาณทองคำหนักประมาณ 30 กิโลกรัม คริสตชนเป็นผู้รับใช้ที่พระเยซูเจ้าผู้เป็นเจ้านายคาดหวังว่าจะใช้พระพรทุกอย่างที่พระองค์ประทานให้อย่างเต็มที่เพื่อช่วยขยายพระอาณาจักรของพระองค์ให้เจริญขึ้นในโลก เขาจะต้องรายงานให้เจ้านายทราบว่าได้จัดการกับเงินที่ได้รับฝากไว้อย่างไร อุปมาเรื่องเงินมีนาใน ลก 19:12-27 มีโครงสร้างเหมือนกัน แต่อุปมาเรื่องมีนาให้บทสอนต่างกัน

d “ความยินดีกับนาย” หมายถึงความสุขในเมืองสวรรค์ (8:11 เชิงอรรถ c) “เราจะให้เจ้าจัดการในเรื่องใหญ่ๆ” หมายถึงการมีส่วนร่วมกับพระคริสตเจ้าในการปกครองของพระองค์

e อุปมา 3 เรื่องที่แล้วกล่าวถึงการรอคอยการเสด็จกลับมาครั้งสุดท้ายของพระคริสตเจ้า ส่วนอุปมาเรื่องนี้เปลี่ยนมุมมองมากล่าวถึงการที่พระคริสตเจ้าเสด็จมาพิพากษาเมื่อสิ้นพิภพ

f “บรรดาประชาชาติ” หมายถึงมนุษย์ทุกคนในทุกยุคทุกสมัย ไม่จำเป็นต้องกล่าวถึงการกลับคืนชีพของบรรดาผู้ตาย (เทียบ 10:15; 11:22, 24; 12:41ฯ)

g พระคริสตเจ้าซึ่งเป็นพระเมสสิยาห์-กษัตริย์ ทรงนำผู้ที่พระเจ้าทรงเลือกสรรจากพระอาณาจักรของพระองค์เข้าสู่พระอาณาจักรของพระบิดา (13:43 เชิงอรรถ k)

h มนุษย์จะถูกพิพากษาตัดสินจากกิจการแสดงเมตตาจิตที่เขาได้ทำ ไม่ใช่จากวีรกรรมพิเศษ (เทียบ 7:22ฯ) มธ ใช้ภาษาของพันธสัญญาเดิมกล่าวถึงกิจการแสดงเมตตาจิต (เทียบ โยบ 22:6ฯ; บสร 7:32ฯ; อสย 58:7) นอกจากกิจการแสดงเมตตาจิตเหล่านี้แล้ว มนุษย์ยังต้องประกาศยืนยันความเชื่ออีกด้วย (10:32ฯ)