(ไฟล์ "เสียงวรสาร" โดย วัดแม่พระกุหลาบทิพย์ กรุงเทพฯ)

กษัตริย์เฮโรดและพระเยซูเจ้า

14 1เวลานั้น กษัตริย์เฮโรดทรงได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับพระเยซูเจ้า 2จึงตรัสกับข้าราชบริพารว่า “คนนี้คือยอห์นผู้ทำพิธีล้างที่กลับคืนชีพจากบรรดาผู้ตาย ดังนั้นเขาจึงมีอำนาจทำอัศจรรย์ได้”

ยอห์นผู้ทำพิธีล้างถูกสั่งตัดศีรษะ

3กษัตริย์เฮโรดทรงสั่งให้จับกุมยอห์นล่ามโซ่และขังคุกไว้ เพราะเรื่องของนางเฮโรเดียส ภรรยาของฟีลิปaพระอนุชา 4ยอห์นเคยทูลกษัตริย์เฮโรดว่า “ไม่ถูกต้องที่พระองค์ทรงรับนางมาเป็นมเหสี” 5กษัตริย์เฮโรดต้องการจะฆ่ายอห์น แต่ทรงเกรงประชาชน เพราะประชาชนคิดว่ายอห์นเป็นประกาศก 6ในวันคล้ายวันประสูติของกษัตริย์เฮโรด บุตรหญิงของนางเฮโรเดียสbได้เต้นรำต่อหน้าแขกรับเชิญ เป็นที่พอพระทัยกษัตริย์เฮโรดอย่างยิ่ง 7พระองค์จึงทรงสัญญาและทรงสาบานจะประทานทุกสิ่งที่นางทูลขอ

8นางจึงทูลตามคำแนะนำที่ได้รับจากมารดาว่า “โปรดประทานศีรษะของยอห์นผู้ทำพิธีล้างใส่ถาดมาให้หม่อมฉันที่นี่เถิด” 9กษัตริย์ทรงเป็นทุกข์ แต่เพราะได้ทรงสาบานไว้ และเพราะเห็นแก่ผู้รับเชิญ จึงทรงสั่งให้จัดการตามที่นางขอ 10กษัตริย์เฮโรดทรงส่งคนไปตัดศีรษะของยอห์นในคุก 11เขาจึงนำศีรษะของยอห์นใส่ถาดมาส่งให้หญิงสาว หญิงสาวจึงนำไปให้มารดา 12บรรดาศิษย์ของยอห์นได้มารับศพไปฝัง แล้วแจ้งข่าวให้พระเยซูเจ้าทรงทราบ

พระเยซูเจ้าทรงทวีขนมปังครั้งแรกc

13เมื่อพระเยซูเจ้าทรงทราบข่าวนี้ ได้เสด็จออกจากที่นั่น ลงเรือไปยังที่สงัดตามลำพังdเมื่อประชาชนรู้ต่างก็เดินเท้าeจากเมืองต่างๆ มาเฝ้าพระองค์ 14เมื่อเสด็จขึ้นจากเรือ ทรงเห็นประชาชนจำนวนมากก็ทรงสงสาร และทรงรักษาผู้เจ็บป่วยให้หายจากโรค

15เมื่อถึงเวลาเย็น บรรดาศิษย์เข้ามาทูลพระองค์ว่า “สถานที่นี้เป็นที่เปลี่ยว และเป็นเวลาเย็นมากแล้ว ขอพระองค์ทรงอนุญาตให้ประชาชนไปตามหมู่บ้านเพื่อซื้ออาหารเถิด” 16พระเยซูเจ้าตรัสว่า “เขาไม่จำเป็นต้องไปจากที่นี่ ท่านทั้งหลายจงหาอาหารให้เขากินเถิด” 17เขาทูลตอบว่า “ที่นี่เรามีขนมปังเพียงห้าก้อนกับปลาสองตัวเท่านั้น” 18พระองค์จึงตรัสว่า “เอามาให้เราที่นี่เถิด” 19พระองค์ทรงสั่งให้ประชาชนนั่งลงบนพื้นหญ้า ทรงรับขนมปังห้าก้อนกับปลาสองตัวขึ้นมา ทรงแหงนพระพักตร์ขึ้นมองท้องฟ้า ทรงกล่าวถวายพระพร ทรงบิขนมปังส่งให้บรรดาศิษย์ไปแจกแก่ประชาชน 20ทุกคนได้กินจนอิ่ม แล้วยังเก็บเศษที่เหลือได้ถึงสิบสองกระบุง 21จำนวนคนที่กินมีผู้ชายประมาณห้าพันคน ไม่นับผู้หญิงและเด็ก

พระเยซูเจ้าทรงดำเนินบนผิวน้ำ

22ทันทีหลังจากนั้น พระเยซูเจ้าทรงสั่งให้บรรดาศิษย์ลงเรือข้ามทะเลสาบล่วงหน้าพระองค์ไป ในขณะที่พระองค์ทรงจัดให้ประชาชนกลับ 23เมื่อทรงลาประชาชนแล้ว พระองค์ก็เสด็จขึ้นไปบนภูเขาเพื่อทรงอธิษฐานภาวนาตามลำพังf ครั้นเวลาค่ำ พระองค์ทรงอยู่ที่นั่นเพียงพระองค์เดียว 24ส่วนเรืออยู่ห่างจากฝั่งหลายร้อยเมตรg กำลังแล่นโต้คลื่นอย่างหนักเพราะทวนลม 25เมื่อถึงยามที่สี่h พระองค์ทรงดำเนินบนทะเลไปหาบรรดาศิษย์ 26เมื่อบรรดาศิษย์เห็นพระองค์ทรงดำเนินอยู่บนทะเลดังนั้น ต่างตกใจมากกล่าวว่า “ผีมา” และส่งเสียงอื้ออึงด้วยความกลัว 27ทันใดนั้นพระเยซูเจ้าตรัสแก่เขาว่า “ทำใจให้ดี เราเอง อย่ากลัวเลย” 28เปโตรiทูลตอบว่า “พระเจ้าข้า ถ้าเป็นพระองค์ ก็จงสั่งให้ข้าพเจ้าเดินบนน้ำไปหาพระองค์เถิด” 29พระองค์ตรัสว่า “มาเถิด” เปโตรจึงลงจากเรือ เดินบนน้ำไปหาพระเยซูเจ้า 30แต่เมื่อเห็นว่าลมแรง เขาก็กลัวและเริ่มจมลง แล้วร้องว่า “พระเจ้าข้า ช่วยข้าพเจ้าด้วย” 31ทันใดนั้นพระเยซูเจ้าทรงยื่นพระหัตถ์จับเขา ตรัสว่า “ท่านช่างมีความเชื่อน้อยจริง สงสัยทำไมเล่า” 32เมื่อพระองค์เสด็จขึ้นมาประทับในเรือพร้อมกับเปโตรแล้ว ลมก็สงบ 33คนที่อยู่ในเรือจึงเข้ามากราบนมัสการพระองค์ ทูลว่า “พระองค์เป็นพระบุตรของพระเจ้าอย่างแท้จริง”

พระเยซูเจ้าทรงรักษาผู้เจ็บป่วยที่เมืองเยนเนซาเรท

34พระเยซูเจ้าทรงข้ามฟากพร้อมกับบรรดาศิษย์มาขึ้นฝั่งที่เมืองเยนเนซาเรท 35ผู้คนที่นั่นจำพระองค์ได้ จึงส่งข่าวต่อๆ กันไปทั่วบริเวณนั้น เขานำผู้เจ็บป่วยทุกคนมาเฝ้าพระองค์ 36ทูลขอสัมผัสเพียงฉลองพระองค์เท่านั้น และทุกคนที่สัมผัสแล้ว ก็หายจากโรค

 

14 a ต้นฉบับภาษาละตินละชื่อ “ฟีลิป” อาจเป็นเพราะผู้ที่ชื่อฟีลิปมีหลายคน ฟีลิปที่กล่าวถึงที่นี่ไม่ใช่ ฟีลิปผู้ปกครองแคว้นอิทูเรียและแคว้นตราโคนิติส (ลก 3:1) แต่เป็นโอรสอีกองค์หนึ่งของกษัตริย์เฮโรดมหาราช ประสูติจากพระนางมาเรียมเนที่ 2 ดังนั้น จึงเป็นพระอนุชาต่างมารดาของอันทิปาส โยเซฟุสเรียกฟีลิปคนนี้ว่าเฮโรดเช่นกัน ความผิดของอันทิปาสมิใช่อยู่ที่ได้แต่งงานกับหลานสาวเท่านั้น แต่เพราะได้แย่งเธอมาจากน้องชายที่ยังมีชีวิตอยู่ และยิ่งกว่านั้น อันทิปาสยังได้หย่ากับภรรยาคนแรกด้วย

b ในข้อเขียนของโยเซฟุส บุตรสาวของนางเฮโรเดียสคนนี้ชื่อ ซาโลเม

c ลก 9:10-17 และ ยน 6:1-13 เล่าถึงอัศจรรย์การทวีขนมปังเพียงครั้งเดียว แต่ มธ 14:13-21; 15:32-39 และ มก 6:30-44; 8:1-10 เล่าถึงอัศจรรย์สองครั้ง การเล่าถึงอัศจรรย์สองครั้งเช่นนี้ มีมาแต่โบราณอย่างแน่นอน ดู 16:9ฯ กล่าวถึงเหตุการณ์เดียวกัน แต่เล่าตามธรรมประเพณีสองสาย ธรรมประเพณีสายแรกซึ่งโบราณกว่ามาจากเขตแคว้นปาเลสไตน์ ดูเหมือนจะให้เหตุการณ์เกิดขึ้นบนฝั่งตะวันตกของทะเลสาบกาลิลี (ดูเชิงอรรถถัดไป) และกล่าวถึงจำนวนสิบสองตะกร้า อันเป็นจำนวนเผ่าของชาวอิสราเอล และจำนวนอัครสาวก (ดู มก 3:14 เชิงอรรถ c) ธรรมประเพณีอีกสายหนึ่งมาจากกลุ่มคริสตชนที่อาศัยอยู่ท่ามกลางคนต่างศาสนา ซึ่งอยู่ทางฝั่งตะวันออกของทะเลสาบกาลิลี (ดู มก 7:31) และกล่าวถึงจำนวนเจ็ดตะกร้า อันเป็นจำนวนชนชาติในแคว้นคานาอัน (กจ 13:19) และเป็นจำนวนของสังฆานุกรที่พูดภาษากรีก (กจ 6:5; 21:8) ธรรมประเพณีทั้งสองสายเล่าเหตุการณ์ตามแบบเรื่องราวในพันธสัญญาเดิม โดยเฉพาะเรื่องการที่ประกาศกเอลีชาทวีน้ำมันมะกอกและขนมปัง (2 พกษ 4:1-7, 42-44) และเรื่องมานนาและนกคุ่ม (อพย 16; กดว 11) พระภารกิจของพระเยซูเจ้าเป็นการประทานอาหารจากสวรรค์เพื่อเลี้ยงประชาชนเช่นเดียวกัน แต่แสดงพระอานุภาพยิ่งใหญ่กว่าเดิม ธรรมประเพณีดั้งเดิมแลเห็นแล้วว่าการทวีขนมปังเป็นการเตรียมการเลี้ยงด้วยศีลมหาสนิทในยุคสุดท้าย ความคิดเช่นนี้แลเห็นได้เด่นชัดในพระวรสารสหทรรศน์ (ดู 14:19; 15:36 และ 26:26) และในคำปราศรัยเรื่องปังแห่งชีวิต (ยน 6)

d การกล่าวเช่นนี้ไม่จำเป็นต้องคิดว่าพระเยซูเจ้าทรงข้ามทะเลสาบจากฝั่งตะวันตกไปยังฝั่งตะวันออก พระองค์อาจแล่นเรือตามฝั่งตะวันตก จากเหนือลงใต้ หรือจากใต้ขึ้นเหนือ ข้ามโค้งของทะเลสาบ “ไปอีกฝั่งหนึ่ง” (ข้อ 22) ก็ได้

e ประชาชนรีบเดินตามชายฝั่งไปยังสถานที่ที่เรือกำลังมุ่งไป

f ผู้นิพนธ์พระวรสาร โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ลก มักจะบันทึกว่าพระเยซูเจ้าทรงอธิษฐานภาวนาตามลำพังหรือในเวลากลางคืน (14:23//; มก 1:35; ลก 5:16) ทรงอธิษฐานภาวนาเมื่อจะเสวยพระกระยาหาร (มธ 14:19//; 15:36//; 26:26-27//) ทรงอธิษฐานภาวนาก่อนเหตุการณ์สำคัญ เช่นเมื่อทรงรับพิธีล้าง (ลก 3:21) ก่อนทรงเลือกอัครสาวกสิบสองคน (ลก 6:12) เมื่อทรงสอนบทข้าแต่พระบิดา (ลก 11:1 ดู มธ 6:5 เชิงอรรถ c) เมื่อเปโตรยืนยันความเชื่อที่เมืองซีซารียา (ลก 9:18) เมื่อทรงสำแดงพระองค์อย่างรุ่งโรจน์ (ลก 9:28-29) เมื่อทรงอยู่ที่สวนเกทเสมนี (มธ 26:36-44) บนไม้กางเขน (มธ 27:46//; ลก 23:46//) พระองค์ทรงอธิษฐานภาวนาเพื่อเพชฌฆาต (ลก 23:34) เพื่อเปโตร (ลก 22:32) เพื่อบรรดาศิษย์ของพระองค์และคริสตชนที่จะมาภายหลัง (ยน 17:9-24) พระองค์ทรงอธิษฐานภาวนาสำหรับพระองค์เองด้วย (26:39// เทียบ ยน 17:1-5; ฮบ 5:7) การอธิษฐานภาวนาเหล่านี้แสดงว่าพระองค์ทรงเป็นหนึ่งเดียวกับพระบิดาตลอดเวลา (11:25-27//) และพระบิดาไม่ทรงทอดทิ้งให้พระองค์อยู่โดดเดี่ยวเลย (ยน 8:29) พระบิดาทรงฟังคำภาวนาของพระองค์เสมอ (ยน 11:22, 42; เทียบ มธ 26:53) จากตัวอย่างและคำสอนพระเยซูเจ้าทรงย้ำให้บรรดาศิษย์เห็นว่าจำเป็นต้องอธิษฐานภาวนาอย่างไร (6:5 เชิงอรรถ c) บัดนี้ พระองค์ทรงพระสิริรุ่งโรจน์แล้ว ก็ยังทรงอธิษฐานภาวนาเพื่อคริสตชนต่อไป (รม 8:34; ฮบ 7:25; 1 ยน 2:1) ดังที่ทรงสัญญาไว้ (ยน 14:16)

g เทียบ ยน 6:19 สำเนาโบราณบางฉบับว่า “ไกลออกไปในทะเล” (เทียบ มก 6:47)

h คือเวลาเช้ามืดระหว่าง 3 ถึง 6 นาฬิกา

i มัทธิวแบ่งเรื่องเล่า “เกี่ยวกับพระศาสนจักร” (13:53-18:35) ออกเป็นสามตอนโดยมีเรื่องของเปโตร 3 เรื่องคั่นอยู่ คือ ตอนนี้ 16:16-20 และ 17:24-27