(ไฟล์ "เสียงวรสาร" โดย วัดแม่พระกุหลาบทิพย์ กรุงเทพฯ)

คำปราศรัยเรื่องอันตวิทยา

 

บทนำa

          13 1ขณะที่พระเยซูเจ้าเสด็จออกจากพระวิหาร ศิษย์คนหนึ่งทูลพระองค์ว่า “ดูซิ พระอาจารย์ ก้อนหินและอาคารเหล่านี้ช่างใหญ่โตจริงๆ” 2พระเยซูเจ้าตรัสกับเขาว่า “ท่านเห็นอาคารใหญ่เหล่านี้ไหม จะไม่มีก้อนหินเหลือซ้อนกันอยู่เลย ทุกสิ่งจะถูกทำลาย”

          3เมื่อพระองค์ประทับบนภูเขามะกอกเทศ ตรงข้ามกับพระวิหาร เปโตร ยากอบ ยอห์น และอันดรูว์ทูลถามพระองค์เป็นการส่วนตัวว่า 4“โปรดบอกเราเถิดว่า เหตุการณ์เหล่านี้จะเกิดขึ้นเมื่อใด และจะมีเครื่องหมายใดบอกว่าเหตุการณ์ทั้งหมดเหล่านี้กำลังจะเกิดขึ้น”

ความทุกข์จะเริ่มขึ้น

          5พระเยซูเจ้าจึงตรัสตอบว่า “จงระวังอย่าให้ใครหลอกลวงท่านได้ 6หลายคนจะอ้างนามของเราพูดว่า ‘เราเป็นพระคริสต์’ และจะหลอกลวงคนจำนวนมากให้หลงผิดไป 7เมื่อท่านทั้งหลายได้ยินข่าวลือเรื่องสงครามทั้งใกล้และไกล จงอย่าตกใจ เหตุการณ์เหล่านี้จำเป็นต้องเกิดขึ้น แต่ยังไม่ถึงวาระสุดท้าย 8ชนชาติหนึ่งจะลุกขึ้นต่อสู้กับอีกชนชาติหนึ่ง อาณาจักรหนึ่งจะลุกขึ้นต่อสู้กับอีกอาณาจักรหนึ่ง แผ่นดินไหวและความอดอยากจะเกิดขึ้นหลายแห่ง จะเป็นเหมือนการเริ่มต้นของความทุกข์ในการคลอดบุตร”

          9“จงระวังตัวให้ดี เขาจะมอบท่านให้ศาล ท่านจะถูกทุบตีในศาลาธรรม และท่านจะยืนต่อหน้าผู้ว่าราชการและกษัตริย์เพราะเรา เพื่อเป็นพยานถึงเราต่อหน้าพวกเขา 10แต่ก่อนหน้านั้นข่าวดีจะต้องได้รับการประกาศแก่ชนทุกชาติแล้ว”

          11“เมื่อเขานำท่านไปส่งมอบนั้น จงอย่ากังวลเลยว่าจะต้องพูดอะไร แต่จงพูดตามที่พระเจ้าทรงดลใจในเวลานั้นเถิด เพราะผู้พูดนั้นไม่ใช่ท่าน แต่เป็นพระจิตเจ้า 12พี่น้องจะกล่าวโทษกัน พ่อจะกล่าวโทษลูก ลูกจะลุกขึ้นมากล่าวหาพ่อแม่เพื่อให้ถูกประหารชีวิต 13ท่านทั้งหลายจะเป็นที่จงเกลียดจงชังของทุกคนเพราะนามของเรา แต่ผู้ใดยืนหยัดอยู่จนถึงวาระสุดท้าย ผู้นั้นก็จะรอดพ้น”

ความทุกขเวทนาอย่างใหญ่หลวงของกรุงเยรูซาเล็ม

          14“เมื่อใดที่ท่านทั้งหลายเห็นผู้ทำลายที่น่ารังเกียจยืนอยู่ในที่ไม่สมควร ผู้อ่านจงเข้าใจเองเถิดว่าหมายถึงอะไร เมื่อนั้น ให้ผู้ที่อยู่ในแคว้นยูเดียหนีไปยังภูเขา 15ผู้ที่อยู่บนดาดฟ้าก็อย่าลงมาเก็บข้าวของในบ้าน 16ผู้ที่อยู่ในทุ่งนา จงอย่ากลับไปเอาเสื้อคลุมที่บ้าน 17น่าสงสารหญิงมีครรภ์และแม่ลูกอ่อนในวันนั้น 18จงอธิษฐานภาวนาอย่าให้เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในฤดูหนาว 19เพราะในเวลานั้น จะมีความทุกขเวทนาอย่างที่ไม่เคยมีตั้งแต่พระเจ้าทรงสร้างโลกมาจนถึงบัดนี้ และจะไม่มีต่อไปอีกเลย 20ถ้าองค์พระผู้เป็นเจ้ามิได้ทรงให้วันเหล่านั้นสั้นลงแล้ว มนุษย์ทุกคนก็จะพินาศ แต่พระองค์ทรงให้วันเหล่านั้นสั้นลงเพราะทรงเห็นแก่ผู้ที่พระองค์ทรงเลือกสรรไว้”

          21“เวลานั้น ถ้าผู้ใดบอกท่านว่า ‘พระคริสต์อยู่ที่นี่’ หรือ ‘พระคริสต์อยู่ที่นั่น’ จงอย่าเชื่อ 22เพราะจะมีพระคริสต์เทียมและประกาศกเทียมหลายคนเกิดขึ้น จะทำเครื่องหมายอัศจรรย์และปาฏิหาริย์ ถ้าเป็นไปได้จะหลอกลวงผู้ที่พระเจ้าทรงเลือกสรรไว้ 23ท่านทั้งหลายจงระวังให้ดี เราได้กล่าวถึงเหตุการณ์ทั้งหมดนี้ให้ฟังไว้ก่อนแล้ว”

การเสด็จมาของบุตรแห่งมนุษย์b

          24“ในวันเหล่านั้นเมื่อทุกขเวทนาผ่านไปแล้ว ดวงอาทิตย์จะมืดไป ดวงจันทร์จะไม่ทอแสง 25ดวงดาวจะตกจากท้องฟ้า และอานุภาพบนท้องฟ้าจะสั่นสะเทือน 26เมื่อนั้นประชาชนทั้งหลายจะเห็นบุตรแห่งมนุษย์เสด็จมาในก้อนเมฆ ทรงพระอานุภาพและพระสิริรุ่งโรจน์ยิ่งใหญ่ 27เมื่อนั้น พระองค์จะทรงใช้ทูตสวรรค์ไปรวบรวมผู้ที่ทรงเลือกสรรจากทั้งสี่ทิศ จากปลายแผ่นดินจนสุดขอบฟ้า”

เวลาแห่งการเสด็จมาของบุตรแห่งมนุษย์

          28“จงเรียนคำอุปมาเรื่องต้นมะเดื่อเทศเถิด เมื่อมันแตกกิ่งอ่อนและผลิใบ ท่านทั้งหลายย่อมรู้ว่าฤดูร้อนใกล้เข้ามาแล้ว 29ท่านก็เช่นเดียวกัน เมื่อเห็นสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้น ก็จงรู้เถิดว่าพระองค์ทรงอยู่ใกล้ อยู่ที่ประตูแล้ว 30เราบอกความจริงแก่ท่านว่า คนในชั่วอายุนี้จะไม่ล่วงพ้นไปก่อนที่เหตุการณ์เหล่านี้จะเกิดขึ้น 31ฟ้าดินจะสูญสิ้นไป แต่วาจาของเราจะไม่สูญสิ้นไปเลย”

          32“ส่วนเรื่องวันและเวลานั้น ไม่มีใครรู้เลย ทั้งบรรดาทูตสวรรค์ และแม้แต่พระบุตร นอกจากพระบิดาเพียงพระองค์เดียว”

จงระวังตัวไว้ให้พร้อม

33“จงระวัง จงตื่นเฝ้าเถิด เพราะท่านทั้งหลายไม่รู้ว่าวันเวลานั้นจะมาถึงเมื่อไร 34เหมือนกับชายคนหนึ่งที่ก่อนจะเดินทางออกจากบ้านได้มอบอำนาจให้กับผู้รับใช้ ให้แต่ละคนมีงานของตนและยังสั่งคนเฝ้าประตูให้คอยตื่นเฝ้าไว้ 35ดังนั้น ท่านทั้งหลายจงตื่นเฝ้าเถิด เพราะท่านไม่รู้ว่าเจ้าของบ้านจะมาเมื่อไร อาจจะมาเวลาค่ำ เวลาเที่ยงคืน เวลาไก่ขัน หรือเวลารุ่งเช้าc 36ถ้าเขากลับมาโดยไม่คาดคิด อย่าให้เขาพบท่านกำลังหลับอยู่ 37สิ่งที่เราบอกท่าน เราก็บอกทุกคนด้วยว่า จงตื่นเฝ้าเถิด”

 

13 a มธ เพิ่มความหมายของคำปราศรัยของพระเยซูเจ้าเรื่องการทำลายกรุงเยรูซาเล็มและพระวิหารให้มีมิติหมายถึงการสิ้นพิภพด้วย (ดู มธ 24:1 เชิงอรรถ a) ส่วนคำปราศรัยใน มก จำกัดอยู่ที่การทำลายกรุงเยรูซาเล็มเท่านั้น นักวิชาการหลายคนเห็นว่าในที่นี้ มก ใช้สำนวนภาษาสัญลักษณ์และความคิดของวรรณกรรมแบบวิวรณ์ที่คัดมาจากหนังสือดาเนียล (ข้อ 7-8, 14-20, 24-27) โดยเพิ่มพระวาจาของพระเยซูเจ้าลงไปด้วย (ข้อ 5-6, 9-13, 21-23, 28-37) ทั้งพระวาจาของพระเยซูเจ้าและข้อความจากหนังสือดาเนียลไม่กล่าวถึงการสิ้นพิภพเลย เพียงแต่ทำนายถึงวิกฤตการณ์ที่กำลังจะมาถึงในสมัยของพระเมสสิยาห์ และกล่าวถึงการปลดปล่อยประชากรที่ทรงเลือกสรรตามที่รอคอยกันอยู่ เหตุการณ์เหล่านี้ได้เกิดขึ้นแล้วเมื่อพระคริสตเจ้าทรงกลับคืนพระชนมชีพ เสด็จมาในพระศาสนจักรและเมื่อกรุงเยรูซาเล็มถูกทำลาย

b มก ใช้ภาษาตามธรรมประเพณีประกาศก บอกถึงปรากฏการณ์ประหลาดในจักรวาลเพื่อบรรยายว่าพระเจ้าทรงแทรกแซงเข้ามาในประวัติศาสตร์ด้วยพระอานุภาพ ในที่นี้ มก บรรยายถึงวิกฤตการณ์ในยุคพระเมสสิยาห์ ตามด้วยชัยชนะเด็ดขาดของประชากรที่ทรงเลือกสรรโดยมีบุตรแห่งมนุษย์เป็นผู้นำ เราไม่จำเป็นต้องคิดว่า มก กำลังกล่าวถึงการสิ้นพิภพ ดังที่มักจะเข้าใจกัน เนื่องจาก มธ นำเหตุการณ์เหล่านี้มาบรรยายถึงวันสิ้นพิภพไว้ด้วย (ดู มธ 24:1 เชิงอรรถ a)

c กลางคืนถูกแบ่งออกเป็นสี่ยาม แต่ละยามยาวสามชั่วโมง