(ไฟล์ "เสียงวรสาร" โดย วัดแม่พระกุหลาบทิพย์ กรุงเทพฯ)

พระเยซูเจ้าทรงส่งศิษย์เจ็ดสิบสองคนa

10 1ต่อจากนั้นองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงแต่งตั้งศิษย์อีกเจ็ดสิบสองคนbและทรงส่งเขาล่วงหน้าพระองค์cเป็นคู่ๆ ไปทุกตำบลทุกเมืองที่พระองค์จะเสด็จ 2พระองค์ตรัสกับเขาว่า “ข้าวที่จะเกี่ยวมีมาก แต่คนงานมีน้อย จงวอนขอเจ้าของนาให้ส่งคนงานมาเก็บเกี่ยวข้าวของพระองค์เถิด 3จงไปเถิด เราส่งท่านทั้งหลายไปดุจลูกแกะในฝูงสุนัขป่า 4อย่านำถุงเงิน ย่ามหรือรองเท้าไปด้วย อย่าเสียเวลาทักทายผู้ใดตามทาง 5เมื่อท่านเข้าบ้านใด จงกล่าวก่อนว่า ‘สันติสุขจงมีแก่บ้านนี้เถิด’ 6ถ้ามีผู้สมควรจะรับสันติสุขอยู่ที่นั่นd สันติสุขของท่านจะอยู่กับเขา มิฉะนั้น สันติสุขของท่านจะกลับมาอยู่กับท่านอีก 7จงพักอาศัยในบ้านนั้น กินและดื่มของที่เขาจะนำมาให้ เพราะว่าคนงานสมควรที่จะได้รับค่าจ้างของตน อย่าเข้าบ้านนี้ออกบ้านโน้น 8เมื่อท่านเข้าไปในเมืองใดและเขาต้อนรับท่าน จงกินของที่เขาจะนำมาตั้งให้ 9จงรักษาผู้เจ็บป่วยในเมืองนั้นและบอกเขาว่า ‘พระอาณาจักรของพระเจ้าอยู่ใกล้ท่านทั้งหลายแล้ว’ 10แต่ถ้าท่านเข้าไปในเมืองใดและเขาไม่ต้อนรับ ก็จงออกไปกลางลานสาธารณะ และกล่าวว่า 11‘แม้แต่ฝุ่นจากเมืองของท่านที่ติดเท้าของเรา เราจะสลัดทิ้งไว้กล่าวโทษท่าน จงรู้เถิดว่า พระอาณาจักรของพระเจ้าใกล้เข้ามาแล้ว’ 12เราบอกท่านทั้งหลายว่า ในวันพิพากษา ชาวเมืองโสโดมจะรับโทษเบากว่าชาวเมืองนั้น”

13“วิบัติจงเกิดแก่เจ้า เมืองโคราซิน วิบัติจงเกิดแก่เจ้า เมืองเบธไซดา ถ้าอัศจรรย์ที่ได้เกิดขึ้นในเจ้าได้เกิดขึ้นที่เมืองไทระและเมืองไซดอนแล้ว เขาเหล่านั้นคงได้นุ่งกระสอบ นั่งบนกองขี้เถ้า กลับใจเสียนานแล้ว 14ดังนั้น เมืองไทระและเมืองไซดอนจะรับโทษเบากว่าเจ้าในวันพิพากษา 15ส่วนเจ้า เมืองคาเปอรนาอุม เจ้าจะยกตนขึ้นถึงฟ้าเทียวหรือ เจ้าจะตกลงไปถึงแดนผู้ตาย

16ผู้ใดฟังท่าน ผู้นั้นฟังเรา ผู้ใดสบประมาทท่าน ผู้นั้นสบประมาทเรา ผู้ที่สบประมาทเรา ก็สบประมาทผู้ที่ทรงส่งเรามา”

สาเหตุแท้จริงที่ทำให้บรรดาอัครสาวกชื่นชมยินดี

17ศิษย์ทั้งเจ็ดสิบสองคนกลับมาด้วยความชื่นชมยินดี ทูลว่า “พระเจ้าข้า แม้แต่ปีศาจก็ยังอ่อนน้อมต่อเราเดชะพระนามพระองค์” 18พระองค์ตรัสตอบว่า “เราเห็นซาตานตกจากฟ้าเหมือนฟ้าแลบ 19จงฟังเถิด เราให้อำนาจแก่ท่านที่จะเหยียบงูและแมงป่อง มีอำนาจเหนือกำลังทุกอย่างของศัตรู ไม่มีอะไรจะทำร้ายท่านได้ 20อย่าชื่นชมยินดีที่ปีศาจอ่อนน้อมต่อท่าน แต่จงชื่นชมยินดีมากกว่าที่ชื่อของท่านจารึกไว้ในสวรรค์แล้ว”

ผู้ต่ำต้อยได้รับข่าวดี : พระบิดาและพระบุตร

          21ในเวลานั้น พระเยซูเจ้าทรงปลาบปลื้มพระทัยเดชะพระจิตเจ้าตรัสว่า “ข้าแต่พระบิดาเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดิน ข้าพเจ้าสรรเสริญพระองค์ ที่พระองค์ทรงปิดบังเรื่องเหล่านี้จากบรรดาผู้ปรีชาและรอบรู้ แต่ทรงเปิดเผยแก่บรรดาผู้ต่ำต้อย ถูกแล้ว พระบิดาเจ้าข้า พระองค์พอพระทัยเช่นนั้น 22eพระบิดาทรงมอบทุกสิ่งแก่ข้าพเจ้า ไม่มีใครรู้ว่าพระบุตรทรงเป็นใคร นอกจากพระบิดา และไม่มีใครรู้ว่าพระบิดาทรงเป็นใคร นอกจากพระบุตรและผู้ที่พระบุตรทรงเปิดเผยให้รู้”

สิทธิพิเศษของบรรดาศิษย์

          23แล้วพระองค์ทรงหันพระพักตร์ไปยังบรรดาศิษย์ ตรัสกับเขาโดยเฉพาะว่า “นัยน์ตาของท่านเป็นสุขที่มองเห็นสิ่งต่างๆ ที่ท่านเห็น 24เราบอกท่านทั้งหลายว่า ประกาศกและกษัตริย์จำนวนมากปรารถนาจะเห็นสิ่งที่ท่านได้เห็น แต่ก็ไม่ได้เห็น ปรารถนาจะได้ฟังสิ่งที่ท่านได้ฟัง แต่ก็ไม่ได้ฟัง”f

บัญญัติเอก

          25ขณะนั้น นักกฎหมายคนหนึ่งยืนขึ้นทูลถามเพื่อจะจับผิดพระองค์ว่า “พระอาจารย์ ข้าพเจ้าจะต้องทำสิ่งใดเพื่อจะได้ชีวิตนิรันดร” 26พระองค์ตรัสถามเขาว่า “ในธรรมบัญญัติมีเขียนไว้อย่างไร ท่านอ่านว่าอย่างไร” 27เขาทูลตอบว่า “ท่านจะต้องรักองค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าของท่านสุดจิตใจ สุดวิญญาณ สุดกำลัง และสุดสติปัญญาของท่าน ท่านจะต้องรักเพื่อนมนุษย์เหมือนรักตนเอง28พระองค์ตรัสกับเขาว่า “ท่านตอบถูกแล้ว จงทำเช่นนี้ แล้วจะได้ชีวิต”

อุปมาเรื่องชาวสะมาเรียใจดี

          29ชายคนนั้นต้องการแสดงว่าตนถูกต้องg จึงทูลถามพระเยซูเจ้าว่า “แล้วใครเล่าเป็นเพื่อนมนุษย์ของข้าพเจ้า” 30พระเยซูเจ้าจึงตรัสต่อไปว่า “ชายคนหนึ่งกำลังเดินทางจากกรุงเยรูซาเล็มไปยังเมืองเยรีโค เขาถูกโจรปล้น พวกโจรปล้นทุกสิ่ง ทุบตีเขา แล้วก็จากไป ทิ้งเขาไว้อาการสาหัสเกือบสิ้นชีวิต 31สมณะผู้หนึ่งเดินผ่านมาทางนั้นโดยบังเอิญ เห็นเขาและเดินผ่านเลยไปอีกฟากหนึ่ง 32ชาวเลวีคนหนึ่งผ่านมาทางนั้น เห็นเขาและเดินผ่านเลยไปอีกฟากหนึ่งเช่นเดียวกัน 33แต่ชาวสะมาเรียผู้หนึ่งhเดินทางผ่านมาใกล้ๆ เห็นเขาก็รู้สึกสงสาร 34จึงเดินเข้าไปหา เทน้ำมันและเหล้าองุ่นลงบนบาดแผลแล้วพันผ้าให้ นำเขาขึ้นหลังสัตว์ของตนพาไปถึงโรงแรมแห่งหนึ่งและช่วยดูแลเขา 35วันรุ่งขึ้น ชาวสะมาเรียผู้นั้นนำเงินสองเหรียญออกมามอบให้เจ้าของโรงแรมไว้ กล่าวว่า ‘ช่วยดูแลเขาด้วย เงินที่ท่านจะจ่ายเกินไปนั้น ฉันจะคืนให้เมื่อกลับมา’ 36ท่านคิดว่าในสามคนนี้ใครเป็นเพื่อนมนุษย์ของคนที่ถูกโจรปล้น” 37เขาทูลตอบว่า “คนที่แสดงความเมตตาต่อเขา” พระเยซูเจ้าจึงตรัสกับเขาว่า “ท่านจงไปและทำเช่นเดียวกันเถิด”

มารธาและมารีย์i

          38ขณะที่พระเยซูเจ้าทรงพระดำเนินพร้อมกับบรรดาศิษย์ พระองค์เสด็จเข้าไปในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง สตรีผู้หนึ่งชื่อมารธารับเสด็จพระองค์ที่บ้าน 39นางมีน้องสาวชื่อมารีย์ซึ่งนั่งอยู่แทบพระบาทขององค์พระผู้เป็นเจ้า คอยฟังพระวาจาของพระองค์ 40มารธากำลังยุ่งอยู่กับการปรนนิบัติรับใช้จึงเข้ามาทูลว่า “พระเจ้าข้า พระองค์ไม่สนพระทัยหรือที่น้องสาวปล่อยดิฉันคนเดียวให้ปรนนิบัติรับใช้ ขอพระองค์บอกเขาให้มาช่วยดิฉันบ้าง” 41แต่องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสตอบว่า “มารธา มารธา เธอเป็นห่วงและวุ่นวายหลายสิ่งนัก 42สิ่งที่จำเป็นมีเพียงสิ่งเดียวj มารีย์ได้เลือกเอาส่วนที่ดีที่สุดที่จะไม่มีใครเอาไปจากเขาได้”

 

10 a ข้อมูลรวมพระวาจาของพระเยซูเจ้าซึ่ง มธ และ ลก ใช้เป็นแหล่งข้อมูลมีคำปราศรัยในการส่งศิษย์ออกไปปฏิบัติงานคล้ายกับข้อความใน มก 6:8-11 มธ ได้นำข้อมูลทั้งสองมารวมเป็นคำปราศรัยเดียว (10:7-16) ส่วน ลก ยังรักษาข้อมูลให้แยกกันต่อไป เป็นคำปราศรัยสองครั้ง ครั้งแรกตรัสกับบรรดาอัครสาวกสิบสองคนซึ่งหมายถึงจำนวนตระกูลทั้งสิบสองของอิสราเอล คำปราศรัยครั้งที่สองตรัสกับบรรดาศิษย์เจ็ดสิบคน (หรือเจ็ดสิบสอง) ซึ่งหมายถึงจำนวนของชาติต่างศาสนา กรณีนี้คล้ายกับเรื่องการทวีจำนวนขนมปังสองครั้ง (ดู มธ 14:13 เชิงอรรถ c)

b สำเนาโบราณบางฉบับว่า “เจ็ดสิบ”

c ไม่ใช่เพื่อจัดเตรียมการต้อนรับพระองค์เหมือนใน 9:52 แต่เป็นการไปเตรียมประชาชนให้ฟังคำสั่งสอนของพระองค์

d แปลตามตัวอักษรว่า “บุตรของสันติ” เป็นสำนวนภาษาฮีบรู หมายถึง บุคคลที่สมควรได้รับ “สันติสุข” สันติสุขหมายถึงพระพรต่างๆ ทั้งฝ่ายจิตใจและวัตถุ (ดู ยน 14:27 เชิงอรรถ s)

e สำเนาโบราณบางฉบับเสริมว่า “แล้วพระองค์ทรงหันพระพักตร์ไปยังบรรดาศิษย์ตรัสว่า” (ดูข้อ 23)

f เปาโลเน้นข้อเท็จจริงที่ว่าพระเจ้าได้ทรงปิดบัง “ธรรมล้ำลึก” ไว้เป็นเวลายาวนาน (รม 16:25 เชิงอรรถ l ดู 1 ปต 1:11-12)

g นักกฎหมายคนนี้ต้องการแสดงว่าตนถูกต้องเพราะได้ถามพระเยซูเจ้าในเรื่องที่เขาทราบดีอยู่แล้ว

h สมณะและชาวเลวีในฐานะผู้ปฏิบัติธรรมบัญญัติอย่างเคร่งครัด น่าจะแสดงความรักต่อผู้บาดเจ็บ กลับไม่แสดง ส่วนชาวสะมาเรียคนต่างชาตินอกรีต (ยน 8:48 ดู ลก 9:53 เชิงอรรถ o) น่าจะแสดงความเกลียดชังต่อชาวยิวที่บาดเจ็บ กลับแสดงความเมตตา

i พี่น้องสองคนนี้ยังจะปรากฏอีกในเรื่องการปลุกลาซารัสขึ้นมาจากความตาย (ยน 11:1-44)

j บางคนแปลว่า “มีน้อยสิ่งที่จำเป็น ที่จริงแล้วมีเพียงสิ่งเดียว” ถ้าแปลเช่นนี้ พระเยซูเจ้าไม่เพียงแต่บอกมารธาว่าไม่ต้องเตรียมอาหารมากสิ่ง (มีน้อยสิ่งที่จำเป็น) เพราะสิ่งเดียวที่จำเป็นไม่ใช่อาหารแต่เป็นการฟังพระวาจาของพระเจ้า