(ไฟล์ "เสียงวรสาร" โดย วัดแม่พระกุหลาบทิพย์ กรุงเทพฯ)

ค. วันกลับคืนพระชนมชีพของพระคริสตเจ้า

พระคูหาว่างเปล่า

20 1เช้าตรู่วันต้นสัปดาห์aขณะที่ยังมืด มารีย์ชาวมักดาลาออกไปที่พระคูหา ก็เห็นหินถูกเคลื่อนออกไปจากพระคูหาแล้ว 2นางจึงวิ่งไปหาซีโมนเปโตรกับศิษย์อีกคนหนึ่งที่พระเยซูเจ้าทรงรักบอกว่า “เขานำองค์พระผู้เป็นเจ้าไปจากพระคูหาแล้ว พวกเราไม่รู้ว่าเขานำพระองค์ไปไว้ที่ไหน”

3เปโตรกับศิษย์คนนั้นจึงออกไป มุ่งไปยังพระคูหา 4ทั้งสองคนวิ่งไปด้วยกัน แต่ศิษย์คนนั้นวิ่งเร็วกว่าเปโตร จึงมาถึงพระคูหาก่อน 5เขาก้มลงมองเห็นผ้าพันพระศพวางอยู่บนพื้น แต่ไม่ได้เข้าไปข้างในb 6ซีโมนเปโตรซึ่งตามไปติดๆ ก็มาถึง เข้าไปในพระคูหาและเห็นผ้าพันพระศพวางอยู่ที่พื้น 7รวมทั้งผ้าพันพระเศียรซึ่งไม่ได้วางอยู่กับผ้าพันพระศพ แต่พับแยกวางไว้อีกที่หนึ่ง 8ศิษย์คนที่มาถึงพระคูหาก่อนก็เข้าไปข้างในด้วย เขาเห็นและมีความเชื่อ 9เขาทั้งสองคนยังไม่เข้าใจพระคัมภีร์cที่ว่า พระองค์ต้องทรงกลับคืนพระชนมชีพจากบรรดาผู้ตาย 10หลังจากนั้น ศิษย์ทั้งสองคนก็กลับไปบ้าน

พระเยซูเจ้าทรงแสดงพระองค์แก่มารีย์ชาวมักดาลา

11มารีย์ยังคงยืนร้องไห้อยู่นอกพระคูหา ขณะที่ร้องไห้นั้น นางก้มลงมองในพระคูหา 12ก็เห็นทูตสวรรค์สององค์สวมเสื้อขาวนั่งอยู่ตรงที่ที่เขาวางพระศพของพระเยซูเจ้าไว้ องค์หนึ่งนั่งอยู่ทางเบื้องพระเศียร อีกองค์หนึ่งนั่งอยู่ทางเบื้องพระบาท 13ทูตสวรรค์ทั้งสององค์ถามนางว่า “นางเอ๋ย ร้องไห้ทำไม” นางตอบว่า “เขานำองค์พระผู้เป็นเจ้าของดิฉันไปแล้ว ดิฉันไม่รู้ว่า เขานำพระองค์ไปไว้ที่ใด” 14เมื่อตอบดังนี้แล้ว นางก็หันกลับมา และเห็นพระเยซูเจ้าทรงยืนอยู่ที่นั่น แต่ไม่รู้ว่าเป็นพระเยซูเจ้า 15พระองค์ตรัสถามนางว่า “นางเอ๋ย ร้องไห้ทำไม กำลังแสวงหาผู้ใด” นางคิดว่าพระองค์เป็นคนสวน จึงตอบว่า “นายเจ้าขา ถ้าท่านนำพระองค์ไป ช่วยบอกดิฉันว่าท่านนำพระองค์ไปไว้ที่ไหน ดิฉันจะได้ไปนำพระองค์กลับมา” 16พระเยซูเจ้าตรัสเรียกนางว่า “มารีย์” นางจึงหันไปdทูลพระองค์เป็นภาษาฮีบรูว่า “รับโบนี”e ซึ่งแปลว่า พระอาจารย์ 17พระเยซูเจ้าตรัสกับนางว่า “อย่าหน่วงเหนี่ยวเราไว้เลยf เพราะเรายังไม่ได้ขึ้นไปเฝ้าพระบิดา แต่จงไปหาพี่น้องของเราg และบอกเขาว่า เรากำลังขึ้นไปเฝ้าพระบิดาของเราh และพระบิดาของท่านทั้งหลาย ไปเฝ้าพระเจ้าของเรา และพระเจ้าของท่านทั้งหลาย” 18มารีย์ชาวมักดาลาจึงไปแจ้งข่าวกับบรรดาศิษย์ว่า “ดิฉันได้เห็นองค์พระผู้เป็นเจ้าแล้ว” และเล่าเรื่องที่พระองค์ตรัสกับนาง

พระเยซูเจ้าทรงสำแดงพระองค์กับบรรดาศิษย์

19ค่ำวันนั้นซึ่งเป็นวันต้นสัปดาห์ ประตูห้องที่บรรดาศิษย์กำลังชุมนุมกันปิดอยู่iเพราะกลัวชาวยิว พระเยซูเจ้าเสด็จเข้ามายืนอยู่ตรงกลาง ตรัสกับเขาทั้งหลายว่า “สันติสุขจงสถิตกับท่านทั้งหลายเถิด” 20ตรัสดังนี้แล้ว พระองค์ทรงให้บรรดาศิษย์ดูพระหัตถ์และด้านข้างพระวรกาย เมื่อเขาเหล่านั้นเห็นองค์พระผู้เป็นเจ้าก็มีความยินดี 21พระองค์ตรัสกับเขาอีกว่า “สันติสุขจงสถิตกับท่านทั้งหลายเถิด

พระบิดาทรงส่งเรามาฉันใด

เราก็ส่งท่านทั้งหลายไปฉันนั้น”

22ตรัสดังนี้แล้ว พระองค์ทรงเป่าลมjเหนือเขาทั้งหลาย ตรัสว่า

“จงรับพระจิตเจ้าเถิด

23ท่านทั้งหลายอภัยบาปของผู้ใด

บาปของผู้นั้นก็ได้รับการอภัย

ท่านทั้งหลายไม่อภัยบาปของผู้ใด

บาปของผู้นั้นก็ไม่ได้รับการอภัยด้วย”

24โทมัส ซึ่งเรียกกันว่า “ฝาแฝด” เป็นคนหนึ่งในบรรดาอัครสาวกสิบสองคน ไม่ได้อยู่กับอัครสาวกคนอื่นๆ เมื่อพระเยซูเจ้าเสด็จมา 25ศิษย์คนอื่นkบอกเขาว่า “พวกเราเห็นองค์พระผู้เป็นเจ้าแล้ว” แต่เขาตอบว่า “ถ้าข้าพเจ้าไม่ได้เห็นรอยตะปูที่พระหัตถ์ และไม่ได้เอานิ้วแยงเข้าไปที่รอยตะปู และไม่ได้เอามือคลำที่ด้านข้างพระวรกาย ข้าพเจ้าจะไม่เชื่อเป็นอันขาด” 26แปดวันต่อมา บรรดาศิษย์อยู่ด้วยกันในบ้านนั้นอีก โทมัสก็อยู่กับเขาด้วย พระเยซูเจ้าเสด็จเข้ามายืนอยู่ตรงกลางทั้งๆ ที่ประตูปิดอยู่ ตรัสกับเขาทั้งหลายว่า “สันติสุขจงสถิตกับท่านทั้งหลายเถิด” 27แล้วตรัสกับโทมัสว่า “จงเอานิ้วมาที่นี่ และดูมือของเราเถิด จงเอามือมาที่นี่ คลำที่สีข้างของเราl อย่าสงสัยอีกต่อไป แต่จงเชื่อเถิด” 28โทมัสทูลพระองค์ว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าของข้าพเจ้า และพระเจ้าของข้าพเจ้า” 29พระเยซูเจ้าตรัสกับเขาว่า

“ท่านเชื่อเพราะได้เห็นเรา

ผู้ที่เชื่อ แม้ไม่ได้เห็นm ก็เป็นสุข”

ง. บทสรุปครั้งแรก

30พระเยซูเจ้ายังทรงกระทำเครื่องหมายอัศจรรย์อื่นอีกหลายประการให้บรรดาศิษย์เห็น แต่ไม่ได้บันทึกไว้ในหนังสือเล่มนี้ 31เรื่องราวเหล่านี้ถูกบันทึกไว้เพื่อท่านทั้งหลายจะได้เชื่อว่า พระเยซูเจ้าเป็นพระคริสตเจ้า พระบุตรของพระเจ้า และเมื่อมีความเชื่อนี้แล้ว ท่านทั้งหลายก็จะมีชีวิตเดชะพระนามพระองค์

 

เรียนพระคัมภีร์กับคุณพ่อสมเกียรติ ตรีนิกร
พระวรสารนักบุญยอห์น บทที่ 20-21


 

20 a วันต้นสัปดาห์นี้จะกลายเป็น วันขององค์พระผู้เป็นเจ้า คือ วันอาทิตย์ของคริสตชน (ดู วว 1:10)

b ศิษย์คนนั้นยอมรับว่า เปโตรมีตำแหน่งใหญ่กว่า (เทียบ 21:15-17)

c ยน ไม่ได้อ้างถึงพระคัมภีร์ตอนใด เขาเพียงแต่ต้องการเน้นว่า บรรดาศิษย์ไม่ได้คิดว่าพระเยซูเจ้าจะกลับคืนพระชนมชีพ ทั้งๆ ที่พระคัมภีร์กล่าวล่วงหน้าไว้แล้วก็ตาม (เทียบ 2:22; 12:16; ลก 24:27, 32, 44-45)

d สำเนาโบราณบางฉบับว่า นางจำพระองค์ได้

e รับโบนี เป็นคำเรียกอาจารย์อย่างสง่ากว่าคำ รับบี มักจะใช้เมื่อกราบทูลพระเจ้า ดังนั้น สำนวนนี้จึงมีใจความใกล้เคียงกับการประกาศยืนยันความเชื่อของโทมัสในข้อ 28

f มารีย์ได้กราบลงแทบพระบาทพระเยซูเจ้าหมายจะกอดพระบาทไว้ (เทียบ มธ 28:9)

g สำเนาโบราณบางฉบับละ ของเรา

h คำยืนยันนี้ไม่ขัดแย้งเรื่องราวที่เล่าไว้ใน กจ 1:3ฯ พระคริสตเจ้า ได้เสด็จขึ้น ไปหาพระบิดา หมายความว่าพระกายของพระองค์เข้าสู่พระสิริรุ่งโรจน์แล้ว (3:13; 6:62; อฟ 4:10; 1 ทธ 3:16; ฮบ 4:14; 6:19ฯ; 9:24; 1 ปต 3:22; เทียบ กจ 2:33 เชิงอรรถ t, 36 เชิงอรรถ w) ตั้งแต่วันที่พระองค์ทรงกลับคืนพระชนมชีพจากพระคูหา (ยน 20:17; ลก 24:51) การเล่าว่าพระเยซูเจ้าได้เสด็จขึ้นสวรรค์สี่สิบวันต่อมา (กจ 1:2ฯ, 9-11) หมายความว่า เวลาที่พระองค์ทรงอยู่กับบรรดาศิษย์ในโลกนี้ได้ผ่านพ้นไปแล้ว และบัดนี้ พระองค์ ประทับ ณ เบื้องขวาของพระเจ้า และจะไม่เสด็จกลับมาอีกจนกว่าจะถึงการเสด็จมาอย่างรุ่งโรจน์ในวันสิ้นพิภพ

i สำเนาโบราณบางฉบับว่า อยู่ แทน ชุมนุมกัน

j ลมที่พระเยซูเจ้าทรงเป่าเหนือบรรดาศิษย์เป็นสัญลักษณ์ของพระจิตเจ้า (“ruah ในภาษาฮีบรู และ pneuma ในภาษากรีก แปลได้ทั้ง “ลม” และ “จิต”) พระเยซูเจ้าทรงส่งพระจิตเจ้าซึ่งจะทรงรื้อฟื้นทุกสิ่งขึ้นใหม่ (ปฐก 1:2; 2:7; ปชญ 15:11; อสค 37:9; ดู ยน 19:30 เชิงอรรถ o และ มธ 3:16 เชิงอรรถ n)

k สำเนาโบราณบางฉบับละ คนอื่น

l ในตอนจบพระวรสาร ยน ยังเชิญชวนให้คริสตชนผู้อ่านคิดถึงบาดแผลที่ด้านข้างพระวรกายของพระคริสตเจ้า (ดู 19:34 เชิงอรรถ r)

m ผู้ที่เชื่อ แม้ไม่ได้เห็น หมายถึงผู้ที่เชื่อเพราะได้ฟังคำเทศน์สอนของบรรดาอัครสาวกซึ่งเป็นพยานยืนยันถึงพระคริสตเจ้า (ดู 17:20-23 และ กจ 1:8 เชิงอรรถ k)