(ไฟล์ "เสียงวรสาร" โดย วัดแม่พระกุหลาบทิพย์ กรุงเทพฯ)

II. พระเยซูเจ้าทรงร่วมฉลองที่กรุงเยรูซาเล็มเป็นครั้งที่สอง

ชาวยิวเริ่มต่อต้านพระเยซูเจ้า

พระเยซูเจ้าทรงรักษาผู้ป่วยที่สระเบเธสดา

5 1หลังจากเหตุการณ์เหล่านี้ ก็ถึงวันฉลองวันหนึ่งของชาวยิวa พระเยซูเจ้าเสด็จขึ้นไปยังกรุงเยรูซาเล็ม 2ที่กรุงเยรูซาเล็ม ใกล้กับประตูแกะ มีสระชื่อเป็นภาษาฮีบรูว่าเบเธสดาb มีระเบียงล้อมรอบอยู่ห้าด้าน 3ตามระเบียงเหล่านี้ มีผู้เจ็บป่วยนอนอยู่เป็นจำนวนมาก เช่น คนตาบอด คนง่อย และคนเป็นอัมพาตc 5ที่นั่น มีชายคนหนึ่งป่วยมาสามสิบแปดปีแล้ว 6พระเยซูเจ้าทอดพระเนตรเห็นเขานอนอยู่ และทรงทราบว่าเขาป่วยมานาน จึงตรัสกับเขาว่า “ท่านอยากจะหายป่วยไหม” 7ผู้ป่วยนั้นตอบว่า “ท่านขอรับ ไม่มีใครช่วยจุ่มข้าพเจ้าลงในสระเมื่อน้ำกระเพื่อม พอข้าพเจ้ามาถึง คนอื่นก็ลงไปก่อนแล้ว” 8พระเยซูเจ้าจึงตรัสกับเขาว่า “จงลุกขึ้น ยกแคร่ที่นอนและเดินไปเถิด” 9ชายผู้นั้นก็หายเป็นปกติทันที เขายกแคร่ที่นอนและเริ่มเดินไป

วันนั้นเป็นวันสับบาโต 10ชาวยิวจึงพูดกับชายที่หายป่วยนั้นว่า “วันนี้เป็นวันสับบาโต ท่านแบกแคร่ที่นอนไม่ได้” 11เขาจึงตอบว่า “คนที่รักษาข้าพเจ้าให้หายป่วยบอกข้าพเจ้าว่า ‘จงยกแคร่ที่นอนและเดินไปเถิด’” 12เขาเหล่านั้นถามว่า “คนนั้นเป็นใคร คนที่บอกท่านให้ยกแคร่ที่นอนและเดินไป” 13แต่ชายที่หายป่วยไม่รู้ว่าเป็นใคร เพราะพระเยซูเจ้าเสด็จเข้าไปในหมู่ประชาชนที่อยู่ที่นั่นแล้ว 14ต่อมา พระเยซูเจ้าทรงพบชายผู้นั้นอีกในพระวิหาร จึงตรัสกับเขาว่า “ท่านหายเป็นปกติแล้ว อย่าทำบาปอีก มิฉะนั้น เหตุร้ายกว่านี้จะเกิดขึ้นแก่ท่าน”d 15ชายผู้นั้นจากไปแล้วบอกชาวยิวว่า พระเยซูเจ้าทรงเป็นผู้รักษาเขาให้หายป่วย 16ด้วยเหตุนี้ ชาวยิวจึงเริ่มเบียดเบียนพระเยซูเจ้าe เพราะพระองค์ทรงกระทำการนี้ในวันสับบาโต 17แต่พระเยซูเจ้าทรงยืนยันว่า “พระบิดาของเราทรงทำงานอยู่เสมอ เราก็ทำงานด้วยเช่นเดียวกัน”f 18เพราะคำยืนยันนี้ ชาวยิวยิ่งพยายามจะฆ่าพระองค์ให้ได้ เพราะพระองค์ไม่เพียงแต่ละเมิดวันสับบาโตเท่านั้น แต่ยังทรงเรียกพระเจ้าเป็นพระบิดาของพระองค์อีกด้วย ซึ่งเป็นการทำตนเสมอพระเจ้า

19พระเยซูเจ้าตรัสกับเขาว่าg

“เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า

พระบุตรไม่ทำสิ่งใดตามใจของตน

แต่ทำเฉพาะสิ่งที่ได้เห็นพระบิดาทรงกระทำเท่านั้น

เพราะสิ่งใดที่พระบิดาทรงกระทำ พระบุตรก็ย่อมทำเช่นเดียวกัน

20เพราะพระบิดาทรงรักพระบุตร

และทรงแสดงให้พระบุตรเห็นทุกสิ่งที่ทรงกระทำ

และจะทรงแสดงให้พระบุตรเห็นการกระทำที่ยิ่งใหญ่กว่านี้อีก

เพื่อให้ท่านทั้งหลายรู้สึกประหลาดใจ

21พระบิดาทรงทำให้ผู้ตายกลับคืนชีวิต

และประทานชีวิตให้ฉันใด

พระบุตรก็ประทานชีวิตให้แก่ผู้ที่พอพระทัยฉันนั้น

22เพราะพระบิดาไม่ทรงพิพากษาhผู้ใด

แต่ทรงมอบการพิพากษาทั้งหมดให้พระบุตรi

23เพื่อทุกคนจะได้ถวายพระเกียรติแด่พระบุตร

ดังที่เขาถวายพระเกียรติแด่พระบิดา

ผู้ที่ไม่ถวายพระเกียรติแด่พระบุตร

ก็ไม่ถวายพระเกียรติแด่พระบิดาผู้ทรงส่งพระบุตรมา

24เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า

ผู้ที่ฟังวาจาของเรา

และมีความเชื่อในพระองค์ผู้ทรงส่งเรามา

ก็ย่อมมีชีวิตนิรันดร

และไม่ต้องถูกพิพากษา

แต่เขาได้ผ่านจากความตายเข้าสู่ชีวิตแล้ว

25เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า

เวลานั้นกำลังจะมาถึง และขณะนี้ก็กำลังเริ่มแล้ว

เมื่อผู้ตายjจะได้ยินพระสุรเสียงของพระบุตรพระเจ้า

และผู้ที่ได้ยินแล้วจะมีชีวิต

26เพราะพระบิดาทรงมีชีวิตในพระองค์ฉันใด

พระองค์ก็ประทานให้พระบุตรมีชีวิตในพระองค์เองฉันนั้น

27พระบิดาได้ประทานให้พระบุตรมีอำนาจพิพากษา

เพราะพระบุตรทรงเป็นบุตรแห่งมนุษย์

28ท่านทั้งหลายอย่าแปลกใจในเรื่องนี้เลย

เพราะถึงเวลาแล้วที่ทุกคนในหลุมศพ

จะได้ยินพระสุรเสียงของพระบุตร

29และจะออกมา

ผู้ที่ได้ทำความดีจะกลับคืนชีวิตมารับชีวิตนิรันดรk

ส่วนผู้ที่ทำความชั่ว ก็จะกลับคืนชีวิตมารับโทษทัณฑ์

30เราทำอะไรตามใจของเราไม่ได้

เราได้ยินมาอย่างไร เราก็พิพากษาอย่างนั้นl

และคำพิพากษาของเราก็ถูกต้อง

เพราะเรามิได้แสวงหาที่จะทำตามใจของเรา

แต่ทำตามพระประสงค์ของพระองค์ผู้ทรงส่งเรามา

31ถ้าเราเป็นพยานยืนยันให้ตนเอง

คำยืนยันของเราก็ใช้ไม่ได้

32แต่ยังมีอีกผู้หนึ่งmที่เป็นพยานยืนยันให้เรา

และเรารู้ว่าnคำยืนยันของเขาถึงเรานั้นเป็นความจริง

33ท่านทั้งหลายได้ส่งคนไปถามยอห์น

และยอห์นก็ได้เป็นพยานยืนยันถึงความจริง

34เราไม่ต้องการคำยืนยันจากมนุษย์

แต่เรากล่าวเช่นนั้นเพื่อท่านทั้งหลายจะได้รอดพ้น

35ยอห์นเป็นเหมือนตะเกียงสว่างไสวที่จุดอยู่

ท่านทั้งหลายก็พอใจที่จะชื่นชมกับแสงสว่างของเขาอยู่ชั่วระยะหนึ่งเท่านั้น

36แต่เรามีคำยืนยันที่ยิ่งใหญ่กว่าคำยืนยันของยอห์น

คืองานที่พระบิดาทรงมอบหมายให้เราทำจนสำเร็จ

งานที่เรากำลังทำอยู่นี้

เป็นพยานถึงเราว่าพระบิดาทรงส่งเรามา

37พระบิดาผู้ทรงส่งเรามา

ยังทรงเป็นพยานถึงเราอีกด้วย

ท่านทั้งหลายไม่เคยได้ยินพระสุรเสียงของพระองค์

ทั้งไม่เคยเห็นพระพักตร์พระองค์

38และพระวาจาของพระองค์ไม่เคยอยู่ในท่าน

เพราะท่านไม่มีความเชื่อในผู้ที่พระองค์ทรงส่งมา

39ท่านทั้งหลายค้นคว้าoพระคัมภีร์

เพราะคิดว่าท่านจะพบชีวิตนิรันดรpได้ในพระคัมภีร์นั้น

พระคัมภีร์นี้เองเป็นพยานถึงเราq

40แต่ท่านก็ไม่ยอมมาหาเราเพื่อจะมีชีวิต

41เราไม่ต้องการเกียรติจากมนุษย์

42แต่เรารู้จักท่านทั้งหลาย

เรารู้ดีว่าท่านไม่รักพระเจ้าเลย

43เรามาในพระนามของพระบิดา

แต่ท่านทั้งหลายมิได้ต้อนรับเรา

ถ้าผู้อื่นมาในนามของตน

ท่านทั้งหลายก็ต้อนรับเขา

44แล้วท่านจะมีความเชื่อได้อย่างไร

เมื่อท่านแสวงหาเกียรติจากกันและกัน

แต่ไม่แสวงหาเกียรติที่มาจากพระเจ้าพระองค์เดียวr

45ท่านทั้งหลายอย่าคิดว่า

เราจะกล่าวหาท่านเฉพาะพระพักตร์พระบิดา

ผู้ที่กล่าวหาท่านมีอยู่แล้ว คือโมเสส ซึ่งท่านไว้วางใจ

46ถ้าท่านเชื่อโมเสสจริงๆ

ท่านก็คงจะเชื่อเราด้วย

เพราะโมเสสได้เขียนถึงเรา

47แต่ถ้าท่านไม่เชื่อข้อเขียนของโมเสส

ท่านจะเชื่อวาจาของเราได้อย่างไร”

 

เรียนพระคัมภีร์กับคุณพ่อสมเกียรติ ตรีนิกร
พระวรสารนักบุญยอห์น บทที่ 5

 



 

5 a สำเนาโบราณบางฉบับว่า วันฉลองนั้น อาจจะหมายถึงฉลองเปนเตกอสเต (50 วันหลังฉลองปัสกา ระลึกถึงพันธสัญญาที่ภูเขาซีนาย)

b สำเนาโบราณบางฉบับว่า เบธซาธา” “เบธไซดา” “เบลเซธา” “เบเธสดา แปลว่า บ้านแห่งความเมตตา *สระนี้มีระเบียงล้อมอยู่สี่ด้าน ระเบียงที่ห้าแบ่งสระออกเป็นสองส่วน

c สำเนาโบราณบางฉบับเพิ่มข้อความว่า คอยน้ำกระเพื่อม 4เพราะว่าบางครั้ง ทูตสวรรค์ขององค์พระผู้เป็นเจ้าลงมาในสระและทำให้น้ำกระเพื่อม ผู้ที่ลงไปในสระเป็นคนแรกหลังจากการกระเพื่อมนี้ ก็จะหายจากโรคทุกชนิดที่เขากำลังเป็นอยู่” ต้นฉบับไม่มีข้อ 4

d พระเยซูเจ้าไม่ได้ตรัสว่า โรคร้ายเป็นผลของบาป (เทียบ 9:2ฯ) พระองค์ทรงเตือนชายที่หายโรคนั้นว่า การหายโรคเป็นพระพรของพระเจ้าซึ่งจะต้องรับรู้ด้วยการกลับใจ (เทียบ มธ 9:2-8) ถ้าไม่ทำเช่นนี้ เขาอาจจะรับสิ่งที่เลวร้ายกว่าความเจ็บป่วยเสียอีก อัศจรรย์จึงเป็น เครื่องหมาย ของจิตใจที่รับชีวิตใหม่ (ข้อ 24)

e เรื่องนี้จะจบที่ 7:19-24 พระเยซูเจ้าทรงยืนยันว่ากิจกรรมของพระองค์เป็นหนึ่งเดียวกับกิจกรรมของพระเจ้าผู้ทรงเป็นผู้พิพากษาสูงสุด พระวาจานี้จึงทำให้ชาวยิวโกรธเคือง และพระเยซูเจ้าจำเป็นต้องอธิบายคำยืนยันนี้ของพระองค์ (เทียบ ลก 6:5 และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง มธ 12:1-8)

f นักเทววิทยาชาวยิวพยายามแสดงให้เห็นว่าไม่มีความขัดแย้งกันระหว่างข้อเท็จจริงที่ว่าพระเจ้า ทรงหยุดพัก หลังการเนรมิตสร้างกับการปกครองโลกนี้ซึ่งไม่มีวันหยุด โดยแยกแยะระหว่างกิจการของพระเจ้าในฐานะพระผู้สร้าง ซึ่งบัดนี้เสร็จสิ้นแล้ว กับกิจการของพระองค์ในฐานะผู้พิพากษา (ผู้ปกครอง) ซึ่งไม่มีวันหยุด (มนุษย์ต้องหยุดงานในวันสับบาโตตามอย่างการหยุดพักเช่นนี้ของพระเจ้า ปฐก 2:2ฯ)

g คำปราศรัยของพระเยซูเจ้าในข้อ 19-47 เป็นคำอธิบายที่สมบูรณ์ที่สุดตอนหนึ่งใน ยน กล่าวถึงความสัมพันธ์ระหว่างพระบุตรกับพระบิดา และอธิบายอย่างชัดเจนว่า พระบุตรทรงพระอานุภาพของพระเจ้า คำปราศรัยนี้แบ่งเป็นสองภาค (1) พระบิดาประทานอำนาจแก่พระบุตรที่จะประทานชีวิตแก่มนุษย์ (19-30) (2) พระบิดาทรงเป็นพยานถึงพระบุตร (ก) อาศัยยอห์นผู้ทำพิธีล้าง (ข) อาศัยกิจการซึ่งพระบิดาทรงกระทำโดยทางพระเยซูเจ้า และ (ค) อาศัยพระคัมภีร์ทางโมเสส (ข้อ 31-47)

h อำนาจสูงสุดของผู้พิพากษาก็คือ อำนาจเหนือชีวิตและความตาย (ดู ข้อ 21)

i พระเยซูเจ้าจะทรงเป็นผู้พิพากษาสูงสุดในวันสุดท้าย (ข้อ 26-30; 12:48; ดู มธ 25:31-46; รม 2:6 เชิงอรรถ b) การพิพากษานี้จะเปิดเผยผลของการพิจารณาคดี (ดู 3:11 เชิงอรรถ f) ซึ่งได้เริ่มต้นเมื่อพระบุตรเสด็จมา (ข้อ 25; 12:31) มนุษย์ทุกคนจะถูกพิพากษาตามความเชื่อ (3:12 เชิงอรรถ g) คือว่าเขาได้เชื่อหรือปฏิเสธไม่ยอมรับพระเยซูเจ้า (3:18-21; 16:8-11) พระเยซูเจ้าเป็นพระผู้ไถ่ของทุกคน ยกเว้นผู้ที่ปฏิเสธไม่ยอมรับพระองค์ (3:18; 8:15; 12:47)

j ผู้ตาย ในที่นี้หมายถึง คนบาปที่ไม่มีชีวิตพระ ผู้ตายฝ่ายจิต แต่ดูข้อ 28 และ 29 ซึ่งหมายถึง ผู้ตายฝ่ายกายด้วย

k เป็นการกล่าวถึงการกลับคืนชีพของบรรดาผู้ตายในวันสุดท้าย (เทียบ มธ 22:29-32)

l พระเยซูเจ้าทรงฟังพระบิดาเสมอ

m หมายถึง พระบิดา

n สำเนาโบราณบางฉบับว่า ท่านทั้งหลายรู้ จึงเป็นการเข้าใจผิดว่าข้อนี้หมายถึงคำพยานของยอห์นผู้ทำพิธีล้าง (ข้อ 33)

o ยังแปลได้อีกแบบหนึ่งว่า จงค้นคว้า

p พระคัมภีร์เป็นบ่อเกิดแห่งชีวิต เพราะถ่ายทอดพระวาจาของพระเจ้ามาถึงเรา (ดู ฉธบ 4:1; 8:1, 3; 30:15-20; 32:46ฯ; สดด 119; บรค 4:1)

q เรื่องราวในพระคัมภีร์มุ่งถึงพระเยซูเจ้า ผู้ทรงกระทำให้แผนการของพระเจ้าในพระคัมภีร์เป็นความจริง (ดู 1:45; 2:22; 5:39, 46; 12:16, 41; 19:28; 20:9)

r สำเนาโบราณบางฉบับว่า จากพระองค์ผู้เดียว