“ถ้าท่านทั้งหลายยึดมั่นในวาจาของเรา ท่านก็เป็นศิษย์ของเราอย่างแท้จริง" (ยน. 8:31)


(ไฟล์ "เสียงวรสาร" โดย วัดแม่พระกุหลาบทิพย์ กรุงเทพฯ)

คำปราศรัยของสเทเฟน

7 1 มหาสมณะถามสเทเฟนว่า “ข้อกล่าวหาเหล่านี้เป็นความจริงหรือ”

2สเทเฟนตอบว่าa “ท่านมหาสมณะและพี่น้องทั้งหลาย จงฟังข้าพเจ้าเถิด พระเจ้าผู้ทรงพระสิริรุ่งโรจน์ได้แสดงพระองค์แก่อับราฮัมบรรพบุรุษของเรา ขณะที่เขายังอยู่ในแคว้นเมโสโปเตเมีย ก่อนที่จะไปอยู่ที่แผ่นดินฮารานb 3พระองค์ตรัสกับเขาว่า ‘จงละทิ้งแผ่นดินของท่านและญาติพี่น้องของท่านไปยังแผ่นดินที่เราจะแสดงแก่ท่าน’ 4อับราฮัมจึงออกจากแผ่นดินของชาวเคลเดียไปอยู่ที่ฮาราน หลังจากบิดาของอับราฮัมตาย พระเจ้าทรงย้ายเขาให้มาอยู่ในแผ่นดินนี้ที่ท่านทั้งหลายอยู่จนถึงบัดนี้ 5พระเจ้ามิได้ให้อับราฮัมมีสมบัติใดๆ เป็นมรดกในแผ่นดินนี้แม้แต่แผ่นดินกว้างเท่าฝ่าเท้า แต่พระองค์ทรงสัญญาจะประทานแผ่นดินนี้ให้เป็นกรรมสิทธิ์แก่เขา และแก่เชื้อสายของเขาในภายหลัง แม้ว่าเวลานั้นอับราฮัมยังไม่มีบุตร 6พระเจ้าตรัสว่า ‘เชื้อสายของอับราฮัมจะไปอาศัยในแผ่นดินของคนต่างชาติ จะตกเป็นทาสและถูกกดขี่เป็นเวลาสี่ร้อยปี 7แต่เราจะตัดสินลงโทษชนชาติที่ทำให้เขาเป็นทาส’ พระเจ้าตรัส ‘หลังจากนี้เขาจะออกจากแผ่นดินนั้นและถวายคารวกิจแก่เรา ณ สถานที่นี้c 8พระเจ้าประทานพันธสัญญาซึ่งมีพิธีสุหนัตเป็นเครื่องหมายให้อับราฮัม อับราฮัมให้กำเนิดอิสอัคและทำพิธีสุหนัตให้อิสอัค ในวันที่แปด อิสอัคให้กำเนิดยาโคบและยาโคบให้กำเนิดบรรพบุรุษทั้งสิบสองคนของเรา

9บรรดาบรรพบุรุษของเราอิจฉาโยเซฟ จึงขายโยเซฟเป็นทาสให้ถูกนำตัวไปยังอียิปต์ แต่พระเจ้าสถิตกับเขา 10และทรงช่วยเขาให้พ้นจากความทุกข์ยากทุกประการ พระองค์ประทานปรีชาญาณให้ เขาจึงเป็นที่โปรดปรานของกษัตริย์ฟาโรห์แห่งอียิปต์ กษัตริย์ฟาโรห์ทรงแต่งตั้งโยเซฟให้ปกครองอียิปต์และทรัพย์สินทั้งหมดของพระองค์ 11เมื่อเกิดกันดารอาหารทั่วแผ่นดินอียิปต์และคานาอัน ก็มีความทุกข์ยากอย่างใหญ่หลวง บรรดาบรรพบุรุษของเราไม่มีอาหารเลี้ยงชีวิต 12เมื่อยาโคบได้ยินว่ามีข้าวขายในอียิปต์ จึงส่งบรรดาบรรพบุรุษของเราไปที่นั่นเป็นครั้งแรก 13ในครั้งที่สองโยเซฟแสดงตนให้พี่น้องรู้ว่าตนเป็นใคร กษัตริย์ฟาโรห์จึงทรงทราบถึงวงศ์ตระกูลของโยเซฟด้วย 14หลังจากนั้นโยเซฟส่งคนไปรับยาโคบผู้บิดาและญาติพี่น้องทุกคนเป็นจำนวนเจ็ดสิบห้าคน 15ยาโคบลงไปยังอียิปต์ เขาและบรรดาบรรพบุรุษของเราสิ้นชีวิตที่นั่น 16ศพของเขาทั้งหลายถูกย้ายมาอยู่ที่เมืองเชเคม และถูกฝังไว้ในสุสานซึ่งอับราฮัมซื้อไว้ด้วยเงินจากบุตรของฮาโมร์ บิดาของเชเคมd

17เมื่อจวนถึงเวลาที่พระเจ้าจะทรงกระทำให้พันธสัญญาที่ประทานแก่อับราฮัมเป็นจริง จำนวนประชาชนเพิ่มขึ้นอย่างมากในอียิปต์ 18ต่อมากษัตริย์องค์ใหม่ทรงขึ้นปกครองอียิปต์ พระองค์ไม่ทรงรู้จักโยเซฟเลย 19จึงทรงใช้อุบายมาทำร้ายชาติของเรา โดยทรงบังคับให้บรรพบุรุษของเรานำทารกไปทิ้งให้ตาย 20โมเสสเกิดมาในเวลานั้นเอง เขาเป็นเด็กน่ารักมาก ได้รับการเลี้ยงดูอยู่ในบ้านบิดาของเขาเป็นเวลาสามเดือน 21เมื่อเขาถูกนำไปทิ้ง พระธิดาของกษัตริย์ฟาโรห์ทรงเก็บไปเลี้ยงเป็นบุตรบุญธรรม 22ดังนั้น โมเสสจึงได้เรียนรู้วิชาความรู้ทุกอย่างของชาวอียิปต์ และเป็นคนสำคัญเพราะคำพูดและการกระทำของเขา

23เมื่อโมเสสอายุสี่สิบปีe เขาต้องการไปเยี่ยมพี่น้องชาวอิสราเอลทั้งหลาย 24เมื่อเห็นชาวอิสราเอลคนหนึ่งถูกทำร้าย เขาจึงเข้าไปป้องกันและฆ่าชาวอียิปต์ที่ข่มเหงเป็นการแก้แค้น 25โมเสสคิดว่าพี่น้องคงเข้าใจว่าพระเจ้ากำลังทรงใช้เขาเป็นเครื่องมือเพื่อช่วยชาวอิสราเอลให้รอดพ้น แต่ชาวอิสราเอลไม่เข้าใจเช่นนั้น 26วันรุ่งขึ้น โมเสสพบชาวอิสราเอลสองคนกำลังทะเลาะกันอยู่ เขาพยายามไกล่เกลี่ยทั้งสองคนให้คืนดีกัน กล่าวว่า ‘เพื่อนเอ๋ย ท่านเป็นพี่น้องกัน ทำไมท่านจึงทำร้ายกันเล่า’ 27แต่คนที่ทำร้ายเพื่อนบ้านผลักเขาออกไป ถามว่า ‘ใครแต่งตั้งท่านให้เป็นหัวหน้าและผู้พิพากษาของพวกเราf 28ท่านต้องการฆ่าข้าพเจ้าอย่างที่ท่านฆ่าชาวอียิปต์เมื่อวานนี้หรือ29เมื่อได้ยินเช่นนี้g โมเสสจึงหนีไปอยู่ในแผ่นดินมีเดียน ที่นั่นเขาให้กำเนิดบุตรชายสองคน

30เวลาผ่านไปสี่สิบปี ทูตสวรรค์องค์หนึ่งปรากฏให้โมเสสเห็นในเปลวไฟของพุ่มไม้ที่กำลังลุกไหม้ในถิ่นทุรกันดารแห่งภูเขาซีนาย 31โมเสสรู้สึกประหลาดใจในสิ่งที่ตนเห็น และขณะที่เข้าไปดูใกล้ๆ นั้น เขาได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า ตรัสว่า 32‘เราเป็นพระเจ้าของบรรดาบรรพบุรุษของท่าน พระเจ้าของอับราฮัม ของอิสอัคและของยาโคบ’ โมเสสกลัวจนตัวสั่นไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมอง 33แต่องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับเขาว่า ‘จงถอดรองเท้าออก เพราะที่ที่ท่านยืนอยู่นี้เป็นแผ่นดินศักดิ์สิทธิ์ 34เราเห็นประชากรของเราถูกกดขี่ข่มเหงในอียิปต์แล้ว เราได้ยินเสียงร้องคร่ำครวญของเขา เราจึงลงมาเพื่อช่วยเขาให้เป็นอิสระ ถึงเวลาแล้ว มาเถิด เรากำลังจะส่งท่านกลับไปยังอียิปต์’

35โมเสสผู้นี้ถูกชาวอิสราเอลปฏิเสธhด้วยคำพูดที่ว่า ‘ใครแต่งตั้งให้ท่านเป็นหัวหน้าและผู้พิพากษาของเรา’ แต่พระเจ้าทรงส่งเขาไปเป็นหัวหน้าและผู้ไถ่กู้โดยทางทูตสวรรค์ที่ปรากฏมาในพุ่มไม้ 36เขานำชาวอิสราเอลออกจากอียิปต์ โดยทำปาฏิหาริย์และเครื่องหมายอัศจรรย์ต่างๆ ในแผ่นดินนั้น ที่ทะเลแดงและในถิ่นทุรกันดารเป็นเวลาสี่สิบปี 37ผู้นี้คือโมเสสที่กล่าวกับบรรดาบุตรของอิสราเอลว่า ‘พระเจ้าจะทรงบันดาลให้ประกาศกคนหนึ่งเหมือนข้าพเจ้าเกิดขึ้นเพื่อท่านจากกลุ่มพี่น้องของท่านi 38ผู้นี้อยู่ในที่ชุมนุมjในถิ่นทุรกันดาร เป็นคนกลางระหว่างทูตสวรรค์ที่ตรัสบนภูเขาซีนายkกับบรรพบุรุษของเรา เขาได้รับพระวาจาทรงชีวิตlมามอบให้เรา 39บรรพบุรุษของเราไม่ยอมเชื่อฟังเขา ยิ่งกว่านั้นได้ปฏิเสธไม่ยอมรับเขา ต้องการmจะกลับไปอียิปต์อีก 40บรรพบุรุษของเราได้กล่าวกับอาโรนว่า ‘จงสร้างรูปพระซึ่งจะนำหน้าเราให้เราเถิด เพราะเราไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นแก่โมเสสผู้นี้ซึ่งนำเราออกมาจากอียิปต์’ 41ในโอกาสนั้น เขาทั้งหลายปั้นรูปลูกโคตัวหนึ่ง แล้วถวายเครื่องบูชาแก่รูปเคารพนั้น และชื่นชมผลงานจากมือของตน 42แต่พระเจ้าทรงเบือนพระพักตร์ไปจากเขา ทรงปล่อยเขาให้กราบไหว้ดวงดาวในท้องฟ้าn ดังที่มีเขียนไว้ในหนังสือของบรรดาประกาศกว่า

‘พงศ์พันธุ์อิสราเอลเอ๋ย

ท่านทั้งหลายนำเครื่องบูชาและของถวายมาให้เราในถิ่นทุรกันดารตลอดเวลาสี่สิบปีหรือ

43เปล่าเลย ท่านแบกกระโจมของพระโมลอคและดาวของพระเรฟาน

ซึ่งเป็นรูปเคารพที่เจ้าปั้นขึ้นเพื่อนมัสการ

ดังนั้น เราจะเนรเทศท่านให้ไปไกลกว่าบาบิโลนอีก’

44บรรพบุรุษของเรามีกระโจมนัดพบในถิ่นทุรกันดารดังที่พระเจ้าตรัสบัญชาให้โมเสสสร้างขึ้นตามแบบที่เขาเห็น 45บรรพบุรุษของเราได้รับกระโจมนั้น และสมัยของโยชูวา เขาเหล่านั้นนำกระโจมเข้ามาในแผ่นดินของชนต่างศาสนาที่พระเจ้าทรงขับไล่ออกไปต่อหน้าบรรพบุรุษของเรา กระโจมนี้คงอยู่จนถึงสมัยกษัตริย์ดาวิด 46กษัตริย์ดาวิดทรงเป็นที่โปรดปรานของพระเจ้า และทรงขอสร้างที่พำนักสำหรับพระเจ้าของยาโคบo 47แต่กษัตริย์ที่ทรงสร้างที่พำนักถวายแด่พระเจ้าคือกษัตริย์ซาโลมอน 48แม้กระนั้น พระผู้สูงสุดก็มิได้ทรงพำนักอยู่ในสิ่งก่อสร้างจากมือมนุษย์ ดังที่ประกาศกกล่าวไว้ว่า

49‘สวรรค์เป็นบัลลังก์ของเรา

แผ่นดินเป็นที่วางเท้าของเรา

ท่านทั้งหลายจะสร้างบ้านชนิดใดให้เรา องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัส

หรือสถานที่ใดจะเป็นที่พักผ่อนของเรา

50มิใช่มือของเราที่สร้างสิ่งทั้งมวลเหล่านี้หรือ

51ท่านผู้ดื้อรั้น ใจกระด้างและหูตึงทั้งหลายเอ๋ย ท่านต่อต้านพระจิตเจ้าpอยู่เสมอ บรรพบุรุษของท่านเคยทำเช่นไร ท่านก็ทำเช่นนั้น 52มีประกาศกคนใดบ้างที่บรรพบุรุษของท่านมิได้เบียดเบียน เขาฆ่าผู้ที่ประกาศล่วงหน้าถึงการเสด็จมาของพระเยซูเจ้าผู้ทรงชอบธรรม และบัดนี้ท่านทั้งหลายก็ทรยศและฆ่าพระองค์ด้วย 53ท่านทั้งหลายได้รับธรรมบัญญัติผ่านทางทูตสวรรค์ แต่ก็หาได้ปฏิบัติตามธรรมบัญญัตินั้นไม่”

54เมื่อได้ฟังดังนั้น ทุกคนรู้สึกขุ่นเคืองเจ็บใจ ขบฟันคำรามเข้าใส่สเทเฟน

สเทเฟนถูกหินขว้าง เซาโลผู้เบียดเบียน

55สเทเฟนเปี่ยมด้วยพระจิตเจ้า เพ่งมองท้องฟ้า มองเห็นพระสิริรุ่งโรจน์ของพระเจ้า และเห็นพระเยซูเจ้าทรงยืนอยู่qเบื้องขวาของพระเจ้าr 56จึงพูดว่า “ดูซิ ข้าพเจ้าเห็นท้องฟ้าเปิดออก และเห็นบุตรแห่งมนุษย์ทรงยืนอยู่เบื้องขวาของพระเจ้า” 57ทุกคนจึงร้องเสียงดัง เอามืออุดหู วิ่งกรูกันเข้าใส่สเทเฟน 58ฉุดลากเขาออกไปนอกเมืองแล้วเริ่มเอาหินขว้างเขาs บรรดาพยานtนำเสื้อคลุมของตนมาวางไว้ที่เท้าของชายหนุ่มคนหนึ่งชื่อ “เซาโล”u 59ขณะที่คนทั้งหลายกำลังเอาหินขว้างสเทเฟน สเทเฟนอธิษฐานภาวนาว่าv “ข้าแต่พระเยซูองค์พระผู้เป็นเจ้า โปรดรับวิญญาณของข้าพเจ้าด้วย” 60เขาคุกเข่าลงและร้องเสียงดังว่า “ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า โปรดอย่าทรงลงโทษพวกเขาเพราะบาปนี้เลย” เมื่อกล่าวดังนี้แล้ว เขาก็สิ้นใจ

 

7 a คำปราศรัยเริ่มด้วยการสรุปเรื่องอับราฮัมและโยเซฟ (ข้อ 2-16) ต่อด้วยเรื่องราวของโมเสส (ข้อ 17-43) (ดูคำกล่าวหาโจมตีสเทเฟนด้วย 6:11) สเทเฟนได้แสดงท่าทีของอิสราเอลซึ่งต่อต้านแผนการแห่งความรอดพ้นที่พระเจ้าทรงมอบให้แก่โมเสส อันได้แก่ การปฏิเสธไม่ยอมรับ การไม่เชื่อฟัง ความไม่ซื่อสัตย์ ซึ่งเป็นความคิดที่พบบ่อยๆ ในพันธสัญญาเดิม (ดู ฉธบ) แต่ในที่นี้ถูกนำมากล่าวอย่างละเอียด โดยคำนึงถึงเหตุการณ์ในพระชนมชีพของพระเยซูเจ้า เมื่อสเทเฟนกล่าวถึงโมเสส เขาคิดถึงพระคริสตเจ้าซึ่งมีโมเสสเป็นรูปแบบ ชาวยิวในเวลานี้มีปฏิกิริยาโต้ตอบเช่นเดียวกับชาวอิสราเอลในอดีต ในการเล่าถึงประวัติศาสตร์ของชาวอิสราเอล สเทเฟนเน้นเป็นพิเศษรายละเอียดที่ชี้ให้เห็นว่าไม่ต้องผูกพันกับประเทศใดประเทศหนึ่งโดยเฉพาะ (ข้อ 2-6) ไม่ต้องให้ความสัมพันธ์แก่การถวายสัตว์เป็นสักการบูชาเช่นที่ชาวยิวทำ (ข้อ 39-43) หรือให้ความสำคัญแก่พระวิหารที่เป็นวัตถุ (ข้อ 44-50) ดูข้อกล่าวหาใน 6:13 ในคำปราศรัยของสเทเฟนเราพบความคิดของชาวยิวพูดภาษากรีกที่อาศัยนอกปาเลสไตน์ได้อย่างชัดเจน

b สเทเฟนไม่เล่าเรื่องตามธรรมประเพณีของพระคัมภีร์ใน ปฐก 11:31 ที่ว่าการปรากฏพระองค์เกิดขึ้นที่ฮาราน

c “สถานที่นี้” ใน อพย 3:12 หมายถึงภูเขาโฮเรบ (หรือซีนาย) แต่สเทเฟน หมายถึง พระวิหาร

d วลี “บิดาของเชเคม” คัดมาจาก ปฐก 33:19 สำเนาโบราณบางฉบับว่า “ฮาโมร์บุตรของเชเคม” “บุตรของฮาโมร์ที่เชเคม” ข้อ 16 เน้นรายละเอียดที่ไม่พบในพระคัมภีร์ตอนอื่น

e ตามธรรมประเพณีของชาวยิว

f พระเจ้าได้ทรงแต่งตั้งพระเยซูเจ้าให้เป็น “หัวหน้า” (เทียบ 5:31) และ “ผู้พิพากษา” (เทียบ 10:42; 17:31) เมื่อทรงบันดาลให้พระองค์ท่านกลับคืนพระชนมชีพจากบรรดาผู้ตาย

g ใน อพย 2:15 โมเสสได้หนีไปเพราะกลัวกษัตริย์ฟาโรห์ แต่ในข้อนี้เขาหนีไปเพราะเพื่อนร่วมชาติปฏิเสธไม่ยอมรับเขา

h พระคัมภีร์มิได้ใช้คำกริยา “ปฏิเสธ (ไม่ยอมรับ)” กับโมเสส แต่ใน 3:13-14 ลก ใช้คำนี้กับพระเยซูเจ้า และพระคัมภีร์ก็ไม่เคยเรียกโมเสสว่า “ผู้ไถ่กู้” เลย แต่เนื่องด้วยโมเสสเป็นรูปแบบของพระคริสตเจ้า ลก จึงใช้ลักษณะบางประการของพระเยซูเจ้ากับโมเสสด้วย

i ข้อความกล่าวถึงพระเมสสิยาห์นี้เราได้พบแล้วใน 3:22 พระเมสสิยาห์ซึ่งเป็นโมเสสอีกคนหนึ่ง จะมีบทบาทเป็นประกาศกเช่นเดียวกัน (มธ 16:14 เชิงอรรถ c; ยน 1:21 เชิงอรรถ t)

j คำนี้ยังหมายถึง “พระศาสนจักร” ด้วย (ดู 5:11 เชิงอรรถ b; มธ 16:18 เชิงอรรถ g) ใน ฉธบ 4:10 คำนี้หมายถึงประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรมาชุมนุมกันในถิ่นทุรกันดาร (เทียบ “การประชุมศักดิ์สิทธิ์” ใน อพย 12:16; ลนต 23:3; กดว 29:1) พระศาสนจักรคือประชากรใหม่ที่พระเจ้าทรงเลือกสรร (9:13 เชิงอรรถ g) เป็นผู้สืบตำแหน่งประชากรเดิมของพระเจ้า

k โมเสสได้ทำหน้าที่เป็นคนกลางระหว่าง “ทูตสวรรค์” และประชาชน “ทูตสวรรค์ของพระยาห์เวห์” ในหนังสือแรกๆ ของพระคัมภีร์หมายถึง “พระยาห์เวห์ผู้สำแดงพระองค์” (ปฐก 16:7 เชิงอรรถ c, ดู มธ 1:20 เชิงอรรถ g) ต่อมาภายหลัง ได้มีการแยกแยะระหว่าง “พระยาห์เวห์” กับ “ทูตสวรรค์ของพระองค์” เพื่อที่จะเน้นอุตรภาพของพระเจ้า ดังนั้น พระคัมภีร์จึงกล่าวถึงโมเสสว่าเขาได้สัมผัสมิใช่กับพระเจ้าโดยตรง แต่กับทูตสวรรค์องค์หนึ่งหรือหลายองค์ เรายังพบร่องรอยของความคิดนี้ ใน กท 3:19; ฮบ 2:2

l การปฏิบัติตามธรรมบัญญัติคือการมีชีวิต (ลนต 18:5; ฉธบ 4:1; 8:1, 3; 30:15-16, 19-20; 32:46-47) อ้างถึงใน รม 10:5; กท 3:12; เพราะฉะนั้น ธรรมบัญญัติจึงถูกเรียกว่าเป็น “กฎเกณฑ์แห่งชีวิต” (บรค 3:9; อสค 33:15) สำหรับคริสตชน การประกาศข่าวดีคือ “พระวาจาแห่งชีวิต” (ฟป 2:16; เทียบ กจ 5:20) คือ “พระวาจาแห่งความรอดพ้น” (กจ 13:26) เนื่องด้วยชีวิตเกิดจากพระวาจาของพระเจ้า พระวาจานี้จึง “ทรงชีวิต” ด้วย (เทียบ ฮบ 4:12; 1 ปต 1:23) และพระเยซูเจ้าก็คือ “พระวาจาทรงชีวิต” (1 ยน 1:1)

m ดู อพย 16:3; กดว 14:3, และดู อสค 20:8-14 ด้วย

n แปลตามตัวอักษรว่า “กองทัพสวรรค์” หมายถึง ดวงดาวต่างๆ ซึ่งคนโบราณมักจะกราบไหว้เป็นเทพเจ้า (ดู ฉธบ 4:19; 17:3; 2 พกษ 21:3-5; ยรม 8:2; 19:13; ศฟย 1:5)

o สำเนาโบราณบางฉบับว่า “สำหรับบ้าน (พงศ์พันธุ์) ของยาโคบ”

p พระจิตเจ้าตรัสทางโมเสสและบรรดาประกาศก

q พระเยซูเจ้า “ทรงยืน” มากกว่า “ประทับ” (ดังที่พบใน ลก 22:69ฯ) เพื่อแสดงว่าพระเยซูเจ้าทรงเป็นพยานในการเป็นมรณสักขีของสเทเฟน

r ภาพนิมิตที่สเทเฟนเห็น ทำให้ใบหน้าของเขามีแสงรุ่งโรจน์ (ดู 6:15 เชิงอรรถ k)

s การที่สเทเฟนถูกเอาหินทุ่มไม่ใช่เป็นการจบขั้นตอนการพิจารณาคดีในศาล แต่เป็นการกระทำแบบศาลเตี้ย ลก เล่าเหตุการณ์นี้เหมือนกับว่าเป็นการพิจารณาคดีในศาล เพื่อเปรียบเทียบกับการพิจารณาคดีของพระเยซูเจ้า

t “พยาน” นี้หมายถึง พยานเท็จที่กล่าวไว้ใน 6:13-14 พยานปรักปรำจะต้องเป็นคนแรกที่เอาหินทุ่มจำเลย (ฉธบ 17:7)

u “เซาโล” ผู้นี้คือเปาโล อัครสาวกในอนาคต (13:9 เชิงอรรถ f)

v คำอธิษฐานภาวนานี้เป็นตัวอย่างชัดเจนของ “การเรียกขานพระนามองค์พระผู้เป็นเจ้า” (2:21 เชิงอรรถ m) ลูกาเน้นลักษณะสองประการ (ข้อ 59-60) ที่คล้ายกันระหว่างความตายของสเทเฟนและพระทรมานของพระเยซูเจ้า

เช้าวันใหม่ใส่ใจพระวาจา

Lectio Divina-Daily 2022

เช้าวันเสาร์เราคิดถึงพระวาจา

Video อบรมพระคัมภีร์

ความรู้พื้นฐานพระคัมภีร์และหนังสือปฐมกาล

หนังสืออพยพและเลวีนิติ

หนังสือกันดารวิถีและเฉลยธรรมบัญญัติ

หนังสือโยชูวา ผู้วินิจฉัยและนางรูธ

หนังสือซามูแอล ฉบับที่ 1 และ ฉบับที่ 2

หนังสือพงศ์กษัตริย์ ฉบับที่ 1 และ ฉบับที่ 2

หนังสือพงศาวดาร เอสราและเนหะมีย์

หนังสือโทบิต ยูดิธ เอสเธอร์และมัคคาบี 1 และ 2

ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับประกาศกและประกาศกอาโมส

หนังสือประกาศกโฮเชยาและมีคาห์

หนังสือประกาศกอิสยาห์

หนังสือประกาศกโยนาห์และประกาศกเศฟันยาห์

หนังสือประกาศกนาฮูมและฮาบากุก

หนังสือประกาศกเยเรมีห์-เพลงคร่ำครวญ-บารุค

หนังสือประกาศกเอเสเคียลและดาเนียล

บทเทศน์บนภูเขา มธ. 5-7

พระวรสารนักบุญมัทธิว 10,13,18

พระวรสารนักบุญมาระโก

หนังสือกิจการอัครสาวก