“ถ้าท่านทั้งหลายยึดมั่นในวาจาของเรา ท่านก็เป็นศิษย์ของเราอย่างแท้จริง" (ยน. 8:31)

รำพึงพระวาจาประจำวัน โดยคุณพ่อสมเกียรติ  ตรีนิกร
วันพุธที่ 23 สิงหาคม 2017
สัปดาห์ที่ยี่สิบ เทศกาลธรรมดา
มธ 20:1-16…
1“อาณาจักรสวรรค์เปรียบเหมือนพ่อบ้านผู้หนึ่งซึ่งออกไปตั้งแต่เช้าตรู่ เพื่อจ้างคนงานมาทำงานในสวนองุ่น 2ครั้นได้ตกลงค่าจ้างวันละหนึ่งเหรียญกับคนงานแล้ว ก็ส่งไปทำงานในสวนองุ่น 3ประมาณสามโมงเช้า พ่อบ้านออกมาก็เห็นคนอื่นๆ ยืนอยู่ที่ลานสาธารณะโดยไม่ทำงาน 4จึงพูดกับคนเหล่านี้ว่า ‘จงไปทำงานในสวนองุ่นของฉันเถิด ฉันจะให้ค่าจ้างตามสมควร’ 5คนเหล่านี้ก็ไป พ่อบ้านออกไปอีกประมาณเที่ยงวันและบ่ายสามโมง กระทำเช่นเดียวกัน 6ประมาณห้าโมงเย็น พ่อบ้านออกไปอีก พบคนอื่นๆ ยืนอยู่ จึงถามเขาว่า ‘ทำไมท่านยืนอยู่ที่นี่ทั้งวันโดยไม่ทำอะไร’ เขาตอบว่า ‘เพราะไม่มีใครมาจ้าง’ พ่อบ้านจึงพูดว่า ‘จงไปทำงานในสวนองุ่นของฉันเถิด’


8“ครั้นถึงเวลาค่ำ เจ้าของสวนบอกผู้จัดการว่า ‘ไปเรียกคนงานมา จ่ายค่าจ้างให้เขาโดยเริ่มตั้งแต่คนสุดท้ายจนถึงคนแรก’ 9เมื่อพวกที่เริ่มงานเวลาห้าโมงเย็นมาถึง เขาได้รับคนละหนึ่งเหรียญ 10เมื่อคนงานพวกแรกมาถึง เขาคิดว่าตนจะได้รับมากกว่านั้น แต่ก็ได้รับคนละหนึ่งเหรียญเช่นเดียวกัน 11ขณะรับค่าจ้างเขาก็บ่นต่อหน้าเจ้าของสวนว่า 12‘พวกที่มาสุดท้ายนี้ทำงานเพียงชั่วโมงเดียว ท่านก็ให้ค่าจ้างแก่เขาเท่ากับเรา ซึ่งต้องตรากตรำอยู่กลางแดดตลอดวัน’ 13เจ้าของสวนจึงพูดกับคนหนึ่งในพวกนี้ว่า ‘เพื่อนเอ๋ย ฉันไม่ได้โกงท่านเลย ท่านไม่ได้ตกลงกับฉันคนละหนึ่งเหรียญหรือ 14จงเอาค่าจ้างของท่านไปเถิด ฉันอยากจะให้คนที่มาสุดท้ายนี้เท่ากับให้ท่าน 15ฉันไม่มีสิทธิ์ใช้เงินของฉันตามที่ฉันพอใจหรือ ท่านอิจฉาริษยาเพราะฉันใจดีหรือ’
16“ดังนี้แหละ คนกลุ่มสุดท้ายจะกลับเป็นคนกลุ่มแรก และคนกลุ่มแรกจะกลับเป็นคนกลุ่มสุดท้าย”

อรรถาธิบายและไตร่ตรอง
• พ่อชอบพระคัมภีร์เรื่องนี้อย่างพิเศษ พ่อรักเรื่องเล่าเรื่องนี้ที่พระเยซูเจ้าเล่าจริงๆ
o ตอนเด็กๆพ่อฟังพ่อก็ว่าเจ้าของสวนคนนี้ไม่ค่อยยุติธรรมเลย คนพวกแรกที่มาทำงานแต่เช้าได้เงินเท่ากันคนที่มาทำงานห้าโมงเย็นซึ่งทำงานเพียงชั่วโมงเดียวเท่านั้น พ่อก็รู้สึกว่าแปลกๆนะครับ มาทำงานตั้งแต่เช้าน่าจะได้เงินเยอะกว่าสิ... คนที่มากลุ่มสุดท้ายน่าจะได้น้อยกว่าสิ ทำไมเป็นแบบนี้
o คำของเจ้าของสวนกับคนที่มาพวกแรกและได้รับเงินเป็นพวกสุดท้าย และโวยวายด้วย เจ้าของสวนก็พูดกับพวกเขาด้วย “‘เพื่อนเอ๋ย ฉันไม่ได้โกงท่านเลย ท่านไม่ได้ตกลงกับฉันคนละหนึ่งเหรียญหรือ จงเอาค่าจ้างของท่านไปเถิด ฉันอยากจะให้คนที่มาสุดท้ายนี้เท่ากับให้ท่าน ฉันไม่มีสิทธิ์ใช้เงินของฉันตามที่ฉันพอใจหรือ ท่านอิจฉาริษยาเพราะฉันใจดีหรือ’”

• คำพูดของเจ้าของสวนกึ่งตำหนิอีกต่างหาก “อิจฉาริษาเพราะฉันใจดีหรือ” พ่อเคยคาใจและเคยคิดเรื่องนี้อยู่นาน และเมื่อได้ศึกษาพระคัมภีร์และมองดูมัทธิวอย่างดีๆ ในตัวบทนี้ พ่อคิดว่า พระคัมภีร์กำลังเตือนเรื่องความ “ย่ามใจ” พระองค์สอนบรรดาศิษย์ของพระองค์ให้ทำงานหนักและทำงานเพื่อพระอาณาจักรพระเจ้า และขณะเดียวกันก็อย่าย่ามใจในความพิเศษของคนเองที่เป็นคนติดตามพระคริสตเจ้า พระองค์ตรัสในตอนสุดท้าย เหมือนพระวรสารบทที่ 19 สรุปว่า บทที่ 20:16 ข้อนี้ ลงท้ายแบบเดียวกับบทที่ 19:30
o “คนกลุ่มสุดท้ายจะกลับเป็นคนกลุ่มแรก และคนกลุ่มแรกจะกลับเป็นคนกลุ่มสุดท้าย” (มธ 20:16)
o “หลายคนที่เป็นกลุ่มแรกจะกลับเป็นกลุ่มสุดท้าย และกลุ่มสุดท้ายจะกลับเป็นกลุ่มแรก” (มธ 19:30)

• พระวรสารเรื่องนี้ เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในระหว่างเดินทางจากกาลิลีสู่เยรูซาเล็มตามพระวรสารนักบุญมัทธิว พระองค์กำลังเคร่งครัดสอนบรรดาศิษย์ใกล้ชิดเป็นพิเศษ เมื่อเปโตรถามพระองค์ว่า “ติดตามพระองค์แล้วจะได้อะไร”
o พี่น้องคงจำบทอ่านนี้ที่อ่านในมิสซาวานนี้ได้ และพระองค์ก็เตือน ดูเหมือนพระองค์กำลังเตือนคนใกล้ตัวพระองค์ บรรดาศิษย์ใกล้ชิดที่ติดตามพระองค์ ทำงานหนักเพื่อพระองค์
o คนเราทำงานหนักมากกว่าก็บางทีหวังอยากได้อะไรเป็นการตอบแทนมากกว่า น่าจะธรรมดาแหลครับ.. และเรื่องราวของคนเช่าสวนองุ่นนี้กำลังสอนเรื่องนี้เช่นกัน และเตือนเรื่องนี้เช่นกัน

• เราอาจจะมองเรื่องอุปมานี้ออกได้สองประเด็น คือ
o “ด้านความยุติธรรม” เจ้าของสวนไม่ได้ผิดความยุติธรรมแต่ประการใดเลย เพราะสำหรับพวกแรกที่มาทำงานในสวนองุ่นนั้น ได้ตกลงข้าจ้างกันไว้ที่ราคาวันละ 1 เหรียญ จำนวนค่าจ้างวันละหนึ่งเหรียญ สมัยพระเยซูเจ้านี้เราจะเรียกว่านี่เป็นราคาค่าแรงที่พอเพียงสำหรับคนหนึ่งหาได้ต่อวันเพื่อเลี้ยงตนเองและครอบครัว พอเพียงกับการดำเนินชีวิตก็ว่าได้ ดังนั้น การตกลงจึงตกลงกันเรียบร้อยกับคนที่มาพวกแรกและเจรจากัน แม้จะได้รับเงินเป็นพวกสุดท้าย แต่ไม่ได้ผิดความยุติธรรมตามที่ตกลงกันไว้นั้นเลย เพียงแต่พวกเขาเห็นพวกที่มาภายหลังได้หนึ่งเหรียญ จึงเริ่มหวังที่จะได้มากกว่าที่ตกลง จะเรียกว่า พวกเขาเริ่มออกอาการโลภและลืมความยุติธรรมก็ว่าได้ เริ่มอยากได้มากกว่าที่ตกลง และลืมข้อตกลงไปเสียแล้ว
o “ความรักเมตตา” คนที่ทำงานพวกที่สอง เจ้าของสวนตกลงว่าจะให้เงิน “ตามสมควร” พวกที่มากสายกว่านั้น จนถึงพวกสุดท้ายที่ทำงานเพียงชั่วโมงเดียว ไม่มีใครจากพวกเขา พวกเขายืนรอหางานเพื่อยังชีพ แต่ไม่มีใครมาจ้าง เจ้าของสวนก็เรียกให้ไปทำงานในสวนของตน แม้ไม่ได้บอกว่าจะให้ค่าจ้างตามสมควรหรือไม่และพวกเขาก็ไป เมื่อจบงาน เจ้าของสวนให้เงินทุกคนตามสมควร สมควรกับอะไร... คำตอบคือสมควรกับการที่คนหนึ่งๆจะอยู่ได้ทั้งตนเองและครอบครัวที่จำเป็น ความจำเป็นของคนหาเช้ากินค่ำและมีรายได้เป็นรายวัน พอสำหรับเอาตัวรอด คือถ้าไม่มีงาน ไม่ได้หนึ่งเหรียญ ก็คงไม่มีกินสำหรับตนเองและครอบครัว ชีวิตไม่สามารถอยู่ได้อย่างสมกับความต้องการที่พอเพียงเพื่อมีชีวิต... เจ้าของสวนจึงให้คนละหนึ่งเหรียญทุกคนตามความรักเมตตาต่อชีวิตที่จำเป็นต้องมีเงินพอสำหรับแต่ละคน ไม่ใช่เพราะพวกเขาไม่ได้หางาน หรือขี้เกียจ แต่พวกเขาคือคนธรรมดาที่ต้องรอให้คนมาจ้าง และทำงานเพื่อมีชีวิตได้แต่ละวันอย่างพอเพียง และอุปมาก็บอกเราว่าความเมตตาของเจ้าของสวนก็ตอบสนองพวกเขาให้พอเพียงกับความจำเป็น...

• ปัญหาอยู่ที่พวกที่มาพวกแรกที่ได้ตกลงกันอย่างยุติธรรม และเจ้าของสวนก็ไม่ได้ผิดความยุติธรรม เพียงแต่พวกเขาเห็นคนที่มาทีหลังได้พอกินหนึ่งวันเท่ากับค่าแรงหนึ่งวันเพราะความใจดีของเจ้าของสวน พวกเขาจึงเริ่มโลภ รอ และอยากได้มากกว่า พวกเขาเริ่มลืมข้อตกลงที่ได้ตกลงไว้ พอได้ตามที่ตกลงก็โกรธ อิจฉาริษยา และโวยวายกับผู้จัดการ ประเด็นไม่ใช่เรื่องเงินตามที่ตกลงเพราะได้ตกลงกันไว้ แต่เรื่องที่ตนทำงานมากกว่า ทำงานทั้งวัน พวกสุดท้ายทำงานชั่วโมงเดียวทำไมได้เงินหนึ่งเหรียญเท่าพวกตน... ประเด็นเปลี่ยนไปทีเดียว อาจสรุปได้ว่า
o โกรธ ที่ตนได้หนึ่งเหรียญ (แต่ตกลงกันไว้เท่านี้นี่น่า) แต่ก็โกรธเพราะอยากได้มากกว่าที่ตกลงเสียแล้ว
o อิจฉา โกรธ ที่พวกสุดท้ายออกแรงน้อยกว่าพวกตน อันนี้คงไม่ได้เคืองเจ้าของสวนเสียทีเดียว แต่เคืองพวกคนที่มาทีหลังและได้เงินเท่ากัน ถ้าปล่อยให้บ่นต่อคงจะพาลต่อว่าพวกที่มาที่หลังดันได้เงินก่อนอีกด้วย...
o อิจฉา เพราะความใจดีของเจ้าของสวน ความเมตตาต่อคนที่หางานไม่ได้

• พี่น้องที่รัก... นี่คือสิ่งที่เราต้องแยกแยะให้ชัด ความยุติธรรมก็ถูกต้อง ความรักเมตตาต่อคนไม่มีงานทำและต้องการเงินเพื่อชีวิตก็ถูกต้อง
o แต่บ่อยครั้งคนเราลืมความยุติธรรม และมองความเมตตาของเจ้าของสวนและก็เริ่มอิจฉาริษยา และโวยวาย ดูเหมือนคำสอนของพระคัมภีร์ต้องการสอนเราว่า ความยุติธรรมนั้นจำเป็นและความเมตตาก็จำเป็นเพื่อการมีชีวิตแต่ละวันเช่นกัน พระเจ้าทรงเมตตาเสมอ และไม่ทรงผิดความยุติธรรมแน่นอน
o บ่อยครั้งความโลภ ความอยากได้ ต่างหากที่ทำให้เรามนุษย์ลืมความยุติธรรมและเริ่มกระหน่ำใส่กันด้วยความอิจฉาและลืมความจำเป็นพื้นฐานของเพื่อนมนุษย์ไป...

• เรื่องราวพระวรสารวันนี้ มีบทสอนเยอะทีเดียว และพ่อเองก็ไตร่ตรอง
o พ่อเห็นความยุติธรรมในความรักเมตตา และ
o เห็นความรักเมตตาในความยุติธรรมจากเรื่องอุปมาของพระเยซูเจ้า...

• แต่บ่อยครั้ง ชีวิตจริงของเรามนุษย์เพราะความโลภ โกรธ ความอิจฉา เราไม่เห็นความยุติธรรมอีกต่อไป เราลืมความยุติธรรมได้เลย

เช้าวันใหม่ใส่ใจพระวาจา

Lectio Divina-Daily 2022

เช้าวันเสาร์เราคิดถึงพระวาจา

Video อบรมพระคัมภีร์

ความรู้พื้นฐานพระคัมภีร์และหนังสือปฐมกาล

หนังสืออพยพและเลวีนิติ

หนังสือกันดารวิถีและเฉลยธรรมบัญญัติ

หนังสือโยชูวา ผู้วินิจฉัยและนางรูธ

หนังสือซามูแอล ฉบับที่ 1 และ ฉบับที่ 2

หนังสือพงศ์กษัตริย์ ฉบับที่ 1 และ ฉบับที่ 2

หนังสือพงศาวดาร เอสราและเนหะมีย์

หนังสือโทบิต ยูดิธ เอสเธอร์และมัคคาบี 1 และ 2

ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับประกาศกและประกาศกอาโมส

หนังสือประกาศกโฮเชยาและมีคาห์

หนังสือประกาศกอิสยาห์

หนังสือประกาศกโยนาห์และประกาศกเศฟันยาห์

หนังสือประกาศกนาฮูมและฮาบากุก

หนังสือประกาศกเยเรมีห์-เพลงคร่ำครวญ-บารุค

หนังสือประกาศกเอเสเคียลและดาเนียล

บทเทศน์บนภูเขา มธ. 5-7

พระวรสารนักบุญมัทธิว 10,13,18

พระวรสารนักบุญมาระโก

หนังสือกิจการอัครสาวก