“ถ้าท่านทั้งหลายยึดมั่นในวาจาของเรา ท่านก็เป็นศิษย์ของเราอย่างแท้จริง" (ยน. 8:31)

รำพึงพระวาจาประจำวัน โดยคุณพ่อสมเกียรติ  ตรีนิกร
วันพุธที่ 9 มีนาคม 2016
สัปดาห์ที่ 4 เทศกาลมหาพรต 

              วันนี้เริ่มอ่านพระคัมภีร์กันก่อนเลยครับ... พระวาจาประจำวันนี้ พ่ออยากให้เราได้รู้สึกถึงพระวาจา ว่าพระวาจานี้เหมือนความรู้สึกแท้จริงว่า พระวาจานี้พาเรากลับบ้าน... พาเราออกจากการเนรเทศ เปิดทางให้เรา ให้โอกาสเรา คืนความรักให้เรา ให้อภัยแก่เรา และเราได้รับความชื่นบานในการ “กลับบ้าน” จากที่เราได้ห่างไกลไปแสนนาน

อสย 49:8-15…..
8พระยาห์เวห์ตรัสดังนี้
“ในเวลาแห่งความโปรดปราน เราจะตอบท่าน
ในวันแห่งความรอดพ้น เราจะช่วยเหลือท่าน
เราจะปกป้องท่าน และให้ท่านเป็นพันธสัญญาของประชากร
เพื่อทำให้แผ่นดินกลับเป็นเหมือนเดิม
เพื่อจะคืนมรดกที่ถูกทำลายแล้วให้ท่านอีก
9บอกผู้ถูกจองจำว่า ‘จงออกมาเถิด’
บอกผู้ที่อยู่ในความมืดว่า ‘จงแสดงตัวเถิด’
เขาทั้งหลายจะเป็นเหมือนฝูงแกะที่หากินตามถนน
และที่สูงโล่งจะเป็นทุ่งหญ้าของเขา
10เขาจะไม่หิวหรือกระหายอีก
ลมร้อนและดวงอาทิตย์จะไม่ทำร้ายเขา
เพราะพระองค์ผู้ทรงสงสารเขาจะทรงนำเขา
จะทรงนำเขาไปยังพุน้ำ
11เราจะทำให้ภูเขาทุกลูกของเราเป็นทางเดิน
ทางหลวงของเราจะอยู่บนที่สูง
12ดูซิ คนเหล่านี้จะมาจากแดนไกล
บางคนจะมาจากทิศเหนือ
บางคนจะมาจากทิศตะวันตก
บางคนจะมาจากแผ่นดินซีนิม

13ท้องฟ้าเอ๋ย จงโห่ร้องด้วยความยินดี
แผ่นดินเอ๋ย จงชื่นชมเถิด
ภูเขาทั้งหลาย จงโห่ร้องด้วยความยินดี
เพราะพระยาห์เวห์ทรงปลอบโยนประชากรของพระองค์
และทรงสงสารผู้มีความทุกข์
14แต่ศิโยนพูดว่า “พระยาห์เวห์ทรงละทิ้งข้าพเจ้า
องค์พระผู้เป็นเจ้าของข้าพเจ้าทรงลืมข้าพเจ้าเสียแล้ว”
15“หญิงคนหนึ่งจะลืมบุตรที่ยังกินนม
และจะไม่สงสารบุตรที่เกิดจากครรภ์ของนางได้หรือ”
แม้หญิงเหล่านี้จะลืมได้
เราจะไม่มีวันลืมเจ้าเลย

อรรถาธิบายและไตร่ตรองประสบการณ์
• วันนี้พ่อหลังจากอ่านพระคัมภีร์อิสยาห์ พ่ออยากจะเริ่มจากประสบการณ์ของพ่อเองเพื่อสะท้อนเสียงของประกาศกอิสยาห์

• เบื้องหลังของความคิดของพระคัมภีร์ คือ ความหวังของประชากรของพระเจ้าในความรักของพระเจ้า... และพบจริงๆว่า “ไม่มีพระเจ้าอื่นใดเหมือนพระองค์ในการให้อภัยและนำเรากลับมาหาพระองค์เสมอ พระเจ้าไม่มีวันทอดทิ้งเราแน่นอน....”

• เมื่ออิสราเอลเดินทางกลับจากเนรเทศหรือจากการถูกกวาดต้อนไป กลับจากความเจ็บปวดที่ช่างแสนเจ็บที่ได้ทอดทิ้งพระยาห์เวห์พระเจ้าแห่งอิสราเอล พวกเขาต้องไปสู่การเนรเทศ แต่ในที่สุด อิสราเอลได้เดินทางกลับจากการเนรเทศ กลับมาสู่แผ่นดินถิ่นเกิดของตนเอง สู่แผ่นดินแห่งพันธสัญญาที่พระเจ้าทรงประทานให้แก่ประชากรของพระองค์

• พระเจ้าสัญญา พระองค์จะทรงนำเขากลับมาด้วยความรักที่ทรงมีต่อเขาเหลือเกิน...

• ใช่อิสราเอลได้ทำบาปผิดมากเหลือเกิน เกินกว่าที่จะให้อภัยได้ในวิสัยแห่งความเข้าใจของมนุษย์ ยากที่จะเข้าใจจริงๆ... นั่นคือประเด็นที่เราต้องไตร่ตรองและพิจารณาประสบการณ์แห่งความรักของพระเจ้าที่ทรงรักอิสราเอลถึงเพียงนี้... เวลากลับบ้านช่างเป็นเวลาแห่งความชื่นบานเสียจริงๆ... วันนี้พ่ออยากเล่าเรื่องของพ่ออีกสักหน่อยครับ...
o ปี 1999 พ่อได้เดินทางไปเรียนภาษาที่เยอรมันที่เมืองบอนน์ ซึ่งเคยเป็นส่วนของเยอรมันตะวันตกก่อนที่จะกลับมารวมกัน พ่อเรียนที่บอนน์ แต่อาศัยอยู่ที่เมืองบรือล์ อยู่ใกล้กับเมืองโคโลนจ์หรือเคิล์นในภาษาเยอรมัน
o เวลานั้น พ่อรู้สึกว่าพ่ออิ่มตัวมากในเรื่องการเรียนจริงๆ หลังจากเรียนตลอดสามปีที่โรมในสถาบันพระคัมภีร์ เรียกว่าสุดๆ เลยก็ว่าได้ มันเหมือนลวดสปริงที่ยืนตัวสุดไปต่อไม่ได้แล้ว... ไม่อยากเรียนแล้ว... หมดกำลังแล้วแต่อีกใจก็อยากไปหาประสบการณ์ภาษาเยอรมัน เพราะเวลาของพ่อเหลือหนึ่งปีจากการเรียนที่โรม ซึ่งพ่อจบเร็วกว่าปกติหนึ่งปีจึงคิดจะใช้เวลาเพื่อการนี้ เรียนภาษาอีกหน่อยเพื่ออย่างน้อยอ่านเยอรมันได้บ้าง
o แต่ก็นะ นั่นเป็นภาษาที่เก้าของการเรียนในระหว่างสี่ปีไม่รวมภาษาไทยของเรา และเมื่อไปอยู่ที่เยอรมันพ่อได้พบความจริงว่า
o ภาษาเยอรมันนั้นยากขั้นเทพหรือขั้นมารทีเดียว อาจเป็นเพราะว่าล้าจากการเรียนแต่ภาษาต่อๆ กันมาหลายภาษา
o และที่สำคัญ อยู่เยอรมันต่างแดนในเมืองที่เรายังไม่รู้ภาษาเขา สงสัยพ่อจะเป็นคนไทยคนเดียวที่อยู่ที่เมืองนั้น Bruehl เมืองเล็กๆ และต้องไปอาศัยแบ่งอาพาร์ทเมนต์อยู่กับคุณพ่อชาวเยอรมันอีกคนที่เป็นผู้ช่วยเจ้าอาวาสอยู่ที่วัดที่เมืองนั้น เจ้าอาวาสอยู่บ้านเจ้าอาวาส แต่ผู้ช่วยเจ้าอาวาสอยู่อาพาร์ทเมนต์ที่มีสองห้องนอน สองห้องน้ำ สองห้องครัว พ่อจึงไปแชร์ที่อยู่กับเขา
o ก็ดีครับ แต่ตลอดเวลานั้นพ่อก็อยู่คนเดียวเป็นส่วนใหญ่ในห้องสี่เหลี่ยม... ไม่มีทีวี อยู่เงียบๆ เวลาไปเรียนต้องนั่งรถไฟครึ่งชั่วโมงไปเรียนที่เมืองบอนน์ สถาบันเกอเธ่ของเมืองบอนน์ ไม่สนุกเลยครับ สิ่งที่หนักมากๆ คือ ความเงียบ เหงา และก็โดดเดี่ยว วันๆ ก็เดินเล่น เดินเที่ยว เรียนแล้วก็เดินเที่ยวไปวันๆ
o สิ่งที่พ่อได้เรียนรู้คือความโดดเดียวมากๆ อยู่ไกลบ้านเหลือเกิน เวลานั้นโทรศัพท์ไม่สะดวกอย่างเวลานี้ ไม่มีไลน์ ไม่มีเฟส ไม่คอมพิวเตอร์ ไม่มีอีเมล มีแต่แฟกส์และโทรศัพท์ ถ้าจะโทรกลับบ้าน ก็นาทีละสักร้อยกว่าบาท... กินยังไม่มีจะกินจะเอาที่ไหนมาโทรเล่าหนอ...
o พ่ออยู่เหมือนคนแปลกหน้า ผมบนศีรษะดำคนเดียวในเมืองนั้นกระมัง ไม่มีโอกาสได้พูดภาษาไทยเลย... คิดถึงบ้านๆๆๆๆๆๆๆๆ... อาหารการกินก็จำกัดสุดๆกับค่าใช้จ่ายที่มี เวลานั้น ต้องยอมรับว่าพระคุณเจ้าพระคาร์ดินัลมีชัยใจดีมากที่ให้โอกาส ให้เงินค่าครองชีพแต่เราก็ต้องใช้อย่างจำกัดเท่าที่จำเป็นเท่านั้นแม้มีเงินพอจากที่ท่านให้ แต่เราก็ต้องเรียนรู้จักที่จะประหยัดและใช้เท่าที่จำเป็น

• เล่าต่อครับ
o ที่เยอรมัน ไกลบ้าน และอาหารทุกวันเหมือนกัน เช้ากาแฟกับขนมปังสองชิ้นและไส้กรอกเล็กๆหนึ่งชิ้น...ตามงบที่ทำได้เท่านี้ครับ กินแบบเดียวกันเหมือนกันทุกวัน ทุกวันเหมือนกัน ยืนกินเพราะไม่มีโต๊ะให้นั่งทาน ยืนรับประทานหน้าตู้เย็น ยืนข้างหน้าเตาอบเครื่องต้มกาแฟมีเวลากินนิดหน่อยแล้วต้องรีบออกเดินไปสถานีรถไฟให้ทันเวลารถไฟไปเรียน
o ต้องรีบออกเดินไปสถานีรถไฟ เพราะต้องเดินไปประมาณสองกิโลเศษ ต้องเดินรีบๆ เส้นทางเดินเดิมๆทุกวัน ไม่มีใครรู้จักเรา อยู่คนเดียวจริงๆ คนเดียวจริงๆ
o มื้อเที่ยงทานที่ไปเรียนในตลาด ร้านเดิม ทุกวันเหมือนเดิมในงบเท่าเดิมเมนูเดิมทุกวัน...
o ตอนเย็นก็ทานในห้องนอน ที่นั่นในฤดูร้อนนั้นมืดช้ามากเพราะเป็นยุโรปเหนือๆหน่อย สี่ทุ่มแดดยังไม่หมด... พ่อจะปิ้งขนมปังเยอรมันดำๆหน่อย ไส้กรอกอีกชิ้น แอปเปิลหนึ่งลูก แล้วก็นั่งเรียนส่วนตัวเงียบๆ ออกไปเดินเล่นหน่อย แล้วก็เข้านอน ปิดม่านให้มืดก็พอได้
o ทุกวันเหมือนกัน ไร้ชีวิตชีวา ไร้ญาติโยม อยู่คนเดียว
o เสาร์อาทิตย์ก็นั่งรถไฟเที่ยวๆ ไปเพื่อให้ได้เปลี่ยนที่บ้าง... ส่วนใหญ่ก็ไปเมืองโคโลนจ์ แล้วก็กลับมาที่พักเหมือนเดิม...

• ทั้งหมดที่เล่ามาครับ... จริงๆ มันเป็นอย่างนี้สามเดือนเศษ รู้และเข้าใจเลยว่า
1. ไกลบ้าน
2. ความเหงาโดดเดี่ยว กล่าวได้เหมือนกับเป็นอย่างการเนรเทศไปบาบิโลน หรือถูกกวาดต้อนอพยพโดยอัสซีเรียในสมัยอิสราเอล ความรู้สึกคือไกลบ้าน ต้องรอวันกลับเท่านั้น
3. คงไม่ใช่ที่เนรเทศ แต่คิดๆก็ไม่ค่อยต่างกันเลย....
4. อาหารที่ไม่ใช่รสชาติของเรา
5. ภาษาที่ยากที่จะสื่อสารให้เข้าใจ
6. มิสซาที่เข้าร่วมแต่ละวันก็เข้าใจน้อยมากๆ
7. ในมิสซาประจำวัน...พ่ออ่านพระวรสารในมิสซาประจำวันให้เขาทุกๆวัน อ่านให้ชาวเยอรมัน ก็ฟังคงแปลกหูสำหรับชาวเยอรมันสุดๆแหละครับ และเหมือนเด็กหัดสะกดภาษา ทั้งๆที่ภาษาอื่นๆเรียนมาแปดภาษาอ่านได้ แต่เยอรมันก็เพิ่งเริ่มแบบเตรียมอนุบาลและไม่ใช่ลูกเจ้าของภาษาด้วย...

• สรุป...คิดถึงบ้าน และอยากกลับบ้านจริงๆ จำได้ว่านั่งนับวันกลับบ้านจริงๆ ครับ... จะมีที่ไหนดีไปกว่าบ้านเกิดเมืองนอนและวัฒนธรรม ภาษา อาหาร และคนชาติเดียวกันกับเรา....

• พี่น้องที่รักครับ วันนี้พ่อเล่าเรื่องส่วนตัวเยอะไปสักหน่อย พ่อเชื่อว่าทุกๆ ท่านคงมีประสบการณ์ไกลบ้านเหมือนพ่อบ้างหรือมากกว่าเหมือนกัน...

• พ่อเล่าเพราะอยากเปรียบเทียบกับประชากรอิสราเอลในที่เนรเทศ...
1. เขาคงรู้สึกหนักหนาสาหัสมากที่ต้องเนรเทศหรือทิ้งแผ่นดินตนเองไป
2. ชีวิตที่ต้องเนรเทศไปเป็นทาสเขา หรือกวาดต้อนให้ไปอยู่ต่างถิ่นต่างแดน
3. การที่ไม่ได้อยู่หรือสัมผัสกับแผ่นดินของตน

• แน่นอน เพราะบาปและความผิดของตน เพราะการหลงลืมพระเจ้าของพวกเขาทำให้พวกเขาต้องเนรเทศไป... บาป ความผิด การหลงลืมพระเจ้า ทำให้พวกเขาต้องเนรเทศไปไกลบ้านของตน....

• ในที่เนรเทศของประชากรของพระเจ้า... พวกเข้าคงรออย่างเจ็บปวดและสิ้นหวัง... จนถึงเวลาที่พระเจ้าทรงเมตตา โปรดให้เขาได้ “กลับบ้าน” ทั้งนี้เพราะเหตุผว่า
o พระเจ้าโปรดเมตตาพวกเขา
o ให้อภัยบาปพวกเขา และ
o ไม่ทอดทิ้งพวกเขา

• ใช่ครับ..... พวกเขาลืมพระเจ้า แต่พระเจ้าไม่เคยทรงลืมพวกเขาเลย...

• ดังนั้น วันนี้ถ้าเราได้อ่านอิสยาห์ดีๆ ละก็เราจะซึ้งใจแน่ๆครับ...

• พระเจ้าตรัสแก่อิสราเอลน่ารักเหลือเกิน
o “หญิงคนหนึ่งจะลืมบุตรที่ยังกินนม และจะไม่สงสารบุตรที่เกิดจากครรภ์ของนางได้หรือ” แม้หญิงเหล่านี้จะลืมได้ เราจะไม่มีวันลืมเจ้าเลย”
o พระเจ้าจะไม่มีวันทอดทิ้งเราให้ไกลบ้าน แต่จะทรงนำกลับมา จะทรงให้อภัยแก่เราตลอดไป

• พี่น้องครับ อ่านอิสยาห์วันนี้สิครับ... น่ารักมาก พระเจ้าทรงให้โอกาส ทรงรัก และทรงยินดีและโปรดปราน ให้อภัยประชากรของพระองค์จริงๆ พระองค์ไม่มีวันทอดทิ้งพันธสัญญาของพระองค์ พระองค์ไม่มีวันที่จะปล่อยหรือทิ้งให้โดดเดี่ยวตลอดไปเราอย่างแน่นอน...

• พ่ออ่านแล้วพ่ออยากให้เรามั่นใจอย่างหนึ่งครับ... บาปของเราแม้หนักเท่าหนัก... บาปความผิดที่เราผิดพลาดแม้อาจไม่น่าให้อภัย แต่พระเจ้า... พระเจ้า.. พระเจ้า...ของเรา พระองค์ไม่มีวันทอดทิ้งเรา พระองค์จะให้อภัยแก่เราเสมอไป... พระองค์จะนำเรากลับมายังแผ่นดินของพระองค์ พระองค์ทรงต้องการสร้างสรรค์เราขึ้นใหม่เสมอ พระองค์จะทรงพาเรากลับมา จะทรงรักเราที่สุด และฟื้นฟูเราที่สุด เราจะได้กลับบ้านของพระองค์ ซึ่งนั่นเป็นเวลาที่แสนดีจากพระเจ้าของเรา

พี่น้องครับ มหาพรตปีนี้ใกล้จะจบลงทุกที
1. โอกาสดีของการคืนดีกับพระเจ้า และ
2. โอกาสดีที่เราจะกลับใจ กลับบ้าน กลับมาสู่ความรักของพระเจ้า
3. กลับมาสู่ความเป็นพี่น้องกันและกันอย่างแท้จริง
4. เป็นเวลาดีนะครับที่เราจะฟื้นฟูความรักของพระเจ้าในชีวิตเราครับ
พี่น้องที่รักครับ อ่านพระคัมภีร์เสมอนะครับในเทศกาลมหาพรตและตลอดไป ไม่เชื่อหรือว่ายิ่งเราฟังพระวาจาเรายิ่งหลอมละหลายจนกลายเป็นพระเจ้าเพราะเสียงแห่งรักทำให้เรารักหมดใจได้เลย ขอพระเจ้าอวยพรนะครับ...

• อย่าอยู่ห่างจากพระเจ้านะครับ

• เพราะจะห่างไกลจากพระองค์แล้วละก็เราจะโดดเดี่ยวมาก

• พ่อยืนยันจากประสบการณ์เล็กๆ ของพ่อที่เล่าให้ฟังแล้วครับ...

เช้าวันใหม่ใส่ใจพระวาจา

Lectio Divina-Daily 2022

เช้าวันเสาร์เราคิดถึงพระวาจา

Video อบรมพระคัมภีร์

ความรู้พื้นฐานพระคัมภีร์และหนังสือปฐมกาล

หนังสืออพยพและเลวีนิติ

หนังสือกันดารวิถีและเฉลยธรรมบัญญัติ

หนังสือโยชูวา ผู้วินิจฉัยและนางรูธ

หนังสือซามูแอล ฉบับที่ 1 และ ฉบับที่ 2

หนังสือพงศ์กษัตริย์ ฉบับที่ 1 และ ฉบับที่ 2

หนังสือพงศาวดาร เอสราและเนหะมีย์

หนังสือโทบิต ยูดิธ เอสเธอร์และมัคคาบี 1 และ 2

ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับประกาศกและประกาศกอาโมส

หนังสือประกาศกโฮเชยาและมีคาห์

หนังสือประกาศกอิสยาห์

หนังสือประกาศกโยนาห์และประกาศกเศฟันยาห์

หนังสือประกาศกนาฮูมและฮาบากุก

หนังสือประกาศกเยเรมีห์-เพลงคร่ำครวญ-บารุค

หนังสือประกาศกเอเสเคียลและดาเนียล

บทเทศน์บนภูเขา มธ. 5-7

พระวรสารนักบุญมัทธิว 10,13,18

พระวรสารนักบุญมาระโก

หนังสือกิจการอัครสาวก