"พระคริสตเจ้าทรงเป็นผู้ใดสำหรับข้าพเจ้า" อธิบายพระวรสารตามคำบอกเล่าของนักบุญมาระโก โดย บาทหลวงฟรังซิส ไก้ส์
“ผู้นี้เป็นบุตรสุดที่รักของเรา จงฟังท่านเถิด ”

43. พระเยซูเจ้าทรงสำแดงพระองค์อย่างรุ่งโรจน์(3)
- ครั้นแล้วเมฆก้อนหนึ่งลอยมาปกคลุมเขาไว้ น่าสังเกตว่า ก้อนเมฆมาปกคลุมพระเยซูเจ้าพร้อมกับประกาศกเอลียาห์และโมเสสแต่ไม่ได้ปกคลุมกลุ่มอัครสาวกสามคนซึ่งเป็นเพียงพยานถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเท่านั้น ในพระคัมภีร์ความหมายของก้อนเมฆก็มีความชัดเจนอยู่แล้ว ซึ่งหมายถึงการประทับอยู่พิเศษของพระเจ้า ผู้ทรงปกป้องและทรงนำประชากรอิสราเอลที่กำลังเดินทางในถิ่นทุรกันดารเพื่อหนีจากการเป็นทาสของอียิปต์(เทียบอพย16:10)

และยังหมายถึงการประทับอยู่ของพระเจ้าบนภูเขาซีนาย(เทียบ อพย19:9;24:15-16;33:9) บนกระโจมนัดพบหรือกระโจมที่ประทับ รวมทั้งหีบพันธสัญญา(เทียบ อพย40:34-35;กดว9:18-22;10:34;ลนต 16:2) และในพระวิหาร (1 พกษ 8:10-11)

- มีเสียงหนึ่งออกมาจากเมฆก้อนนั้นว่า แน่นอนเสียงที่ออกมาจากก้อนเมฆต้องเป็นเสียงของพระเจ้า พระบิดาผู้ทรงยืนยันความจริงที่ทรงประกาศอยู่แล้วเมื่อพระเยซูเจ้าทรงรับพิธีล้าง

- “ผู้นี้เป็นบุตรสุดที่รักของเรา  เมื่อพระเยซูเจ้าเสด็จขึ้นจากแม่น้ำจอร์แดนก็ทรงได้ยินพระวาจาของพระบิดาว่า “ท่านเป็นบุตรที่รักของเรา เป็นที่โปรดปรานของเรา” (มก 1:11) ในที่นี้พระบิดาไม่เพียงทรงประกาศว่า พระเยซูเจ้าเป็นพระบุตรโดยธรรมชาติของพระเจ้าเท่านั้น แต่ยังทรงรับรองความจริงที่นักบุญเปโตรได้ยืนยันว่า “พระองค์คือพระคริสตเจ้า” (8:29) ในโอกาสนั้นนักบุญเปโตรเข้าใจบทบาทของพระเยซูเจ้าเพื่อประชากรของพระเจ้า และยอมรับว่าพระองค์เป็นพระเมสสิยาห์ที่พระเจ้าประทานเพื่อนำชีวิตที่สมบูรณ์แก่ประชากร แต่เมื่อพระเยซูเจ้าทรงทำนายการรับทรมานและการสิ้นพระชนม์ นักบุญเปโตรคัดค้านพระองค์ และไม่เข้าใจว่าวิถีชีวิตของพระเยซูเจ้าจะนำไปสู่การกลับคืนชีพและพระสิริรุ่งโรจน์ได้อย่างไร  คำตอบมาจากพระสุรเสียงของพระบิดาผู้ทรงประกาศว่าพระเยซูเจ้าเป็นพระบุตรสุดที่รักของพระองค์  

- จงฟังท่านเถิด” ท่าที่ที่ถูกต้องของบรรดาศิษย์ต่อพระเยซูเจ้าก็คือการเชื่อฟังพระองค์ ในพันธสัญญาเดิมเมื่อพระเจ้าทรงเปิดเผยพระองค์ที่ภูเขาซีนายแล้ว ก็ทรงบัญชาให้บรรดาศิษย์ปฏิบัติตามบทบัญญัติสิบประการฉันใด ในกรณีบนภูเขานี้ เมื่อพระเจ้าทรงเปิดเผยว่า พระเยซูเจ้าเป็นพระบุตรสุดที่รักของพระองค์แล้ว ก็ยังทรงแสดงพระประสงค์โดยทรงสั่งให้ปฏิบัติบทบัญญัติเพียงประการเดียวคือ “จงฟังพระเยซูเจ้า” จึงเป็นพระประสงค์ของพระบิดาที่บรรดาศิษย์ต้องเชื่อฟังพระเยซูเจ้า เพราะพระองค์ทรงเป็นหนึ่งเดียวกับพระบิดาและทรงเปิดเผยพระประสงค์ของพระบิดาอย่างสมบูรณ์ เราจะเรียนรู้ว่าพระเจ้าทรงพระประสงค์สิ่งใดจากเราก็โดยเพียงการฟังพระเยซูเจ้าเท่านั้น ตั้งแต่เวลานี้เป็นต้นไป เราไม่ต้องฟังการเปิดเผยทางโมเสสและประกาศกเอลียาห์โดยตรงแล้ว แต่เพียงผ่านทางพระบุตรผู้ทรงรับรองและทรงตีความหมายการเปิดเผยนั้น

- ทันใดนั้น ศิษย์ทั้งสามคนเหลียวมองรอบๆ ไม่เห็นผู้ใดอยู่กับตนนอกจากพระเยซูเจ้าเท่านั้น  ภาพนิมิตผ่านพ้นไปแล้ว และอัครสาวกทั้งสามคนที่พระเยซูเจ้าทรงเลือกเป็นพิเศษนั้นมองรอบ ๆ ก็ไม่เห็นผู้ใดเลย นอกจากพระเยซูเจ้าเท่านั้น พระองค์ทรงมีพระพักตร์ที่เขาคุ้นเคย การสิ้นสุดปรากฏการณ์อย่างกระทันทันมีความหมายลึกซึ้งเพราะแสดงว่าจุดประสงค์ของการเปิดเผยสำเร็จลุล่วงไปแล้วคือพระเจ้าทรงเตือนบรรดาศิษย์ให้ตั้งใจฟังพระเยซูเจ้า

- ขณะที่กำลังลงจากภูเขา พระองค์ตรัสสั่งเขามิให้เล่าเหตุการณ์ที่เห็นให้ผู้ใดฟัง จนกว่าบุตรแห่งมนุษย์จะกลับคืนชีพจากบรรดาผู้ตาย พระบัญชาของพระเยซูเจ้าแก่บรรดาศิษย์ที่ห้ามมิให้เล่าเหตุการณ์ได้เห็นให้ผู้ใดฟังก็สอดคล้องกับโครงสร้างของพระวรสารตามคำบอกเล่าของนักบุญมาระโกเกี่ยวกับ “ความลับของพระเมสสิยาห์” (เทียบ 1:34; 8:30) ในเวลาเดียวกัน พระบัญชานี้ยังต้องการหลีกเลี่ยงความอิจฉาที่อาจเกิดขึ้นในใจของศิษย์คนอื่น ๆ ถ้าหากว่าเขาได้ยินว่าศิษย์ทั้งสามคนนั้นเล่าภาพนิมิตพระสิริรุ่งโรจน์ของพระเยซูเจ้า

- ศิษย์ทั้งสามคนเก็บเรื่องนี้ไว้ไม่บอกใครแต่ยังปรึกษากันว่า “จนกว่าจะกลับคืนชีพจากบรรดาผู้ตาย” นี้ หมายความว่าอย่างไร  ความสงสัยของอัครสาวกทั้งสามคนไม่เกี่ยวข้องกับความเชื่อในเรื่องการกลับคืนชีพของบรรดาผู้ตาย เพราะในสมัยของพระเยซูเจ้าชาวยิวทุกคนยกเว้นบรรดาชาวสะดูสี (เทียบ 12:18) เชื่อว่าเป็นไปได้ที่บรรดาผู้ตายจะกลับคืนชีพ แต่อัครสาวกเหล่านี้สงสัยความจริงที่ว่า เหตุใดพระเมสสิยาห์จะทรงต้องรับทรมานและสิ้นพระชนม์เพื่อจะได้ทรงกลับคืนพระชนมชีพ เขาคิดว่าพระเมสสิยาห์จะต้องประสบแต่ความสำเร็จ ดังนั้นเหตุการณ์นี้จึงจะเป็นไปได้อย่างไร