(ไฟล์ "เสียงวรสาร" โดย วัดแม่พระกุหลาบทิพย์ กรุงเทพฯ)

ผู้พิพากษาที่ไร้มโนธรรมและหญิงม่ายผู้รบเร้า

          18 1พระเยซูเจ้าทรงเล่าอุปมาเรื่องหนึ่งแก่บรรดาศิษย์ เพื่อสอนว่าจำเป็นต้องอธิษฐานภาวนาอยู่เสมอโดยไม่ท้อถอยa 2พระองค์ตรัสว่า “ผู้พิพากษาคนหนึ่งอยู่ในเมืองหนึ่ง เขาไม่ยำเกรงพระเจ้าและไม่เกรงใจมนุษย์ผู้ใด 3หญิงม่ายคนหนึ่งอยู่ในเมืองนั้นด้วย นางมาพบเขาครั้งแล้วครั้งเล่าพูดว่า ‘กรุณาให้ความยุติธรรมแก่ดิฉันสู้กับคู่ความเถิด’ 4ผู้พิพากษาผู้นั้นไม่ยอมทำตามที่นางขอร้องจนเวลาผ่านไประยะหนึ่ง จึงคิดว่า ‘แม้ว่าฉันไม่ยำเกรงพระเจ้าและไม่เกรงใจมนุษย์ผู้ใด 5แต่เพราะหญิงม่ายผู้นี้มาทำให้ฉันรำคาญ ฉันจึงจะให้นางได้รับความยุติธรรม เพื่อมิให้นางรบเร้าฉันอยู่ตลอดเวลา’”

          6องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า “จงฟังคำที่ผู้พิพากษาอธรรมคนนั้นพูดซิ 7แล้วพระเจ้าจะไม่ประทานความยุติธรรมแก่ผู้เลือกสรรที่ร้องหาพระองค์ทั้งวันทั้งคืนดอกหรือ พระองค์จะไม่ทรงช่วยเขาทันทีหรือb 8เราบอกท่านทั้งหลายว่า พระองค์จะประทานความยุติธรรมแก่เขาโดยเร็ว แต่เมื่อบุตรแห่งมนุษย์เสด็จมา จะทรงพบความเชื่อในโลกนี้หรือ”

ชาวฟาริสีและคนเก็บภาษี

          9พระเยซูเจ้าตรัสเล่าอุปมาเรื่องนี้ให้บางคนที่ภูมิใจว่าตนเป็นผู้ชอบธรรมและดูหมิ่นผู้อื่นฟังว่า 10“มีชายสองคนขึ้นไปอธิษฐานภาวนาในพระวิหาร คนหนึ่งเป็นชาวฟาริสี อีกคนหนึ่งเป็นคนเก็บภาษี 11ชาวฟาริสียืนอธิษฐานภาวนาในใจว่า ‘ข้าแต่พระเจ้า ข้าพเจ้าขอบพระคุณพระองค์ที่ข้าพเจ้าไม่เป็นเหมือนมนุษย์คนอื่น ที่เป็นขโมย อยุติธรรม ล่วงประเวณี หรือเหมือนคนเก็บภาษีคนนี้ 12ข้าพเจ้าจำศีลอดอาหารสัปดาห์ละสองวัน และถวายหนึ่งในสิบของรายได้ทั้งหมดของข้าพเจ้า’ 13ส่วนคนเก็บภาษียืนอยู่ห่างออกไป ไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า ได้แต่ข้อน-อก พูดว่า ‘ข้าแต่พระเจ้า โปรดทรงพระกรุณาต่อข้าพเจ้าคนบาปด้วยเถิด’ 14เราบอกท่านทั้งหลายว่า คนเก็บภาษีกลับไปบ้าน ได้รับความชอบธรรม แต่ชาวฟาริสีไม่ได้รับ เพราะว่าผู้ใดที่ยกตนขึ้นจะถูกกดให้ต่ำลง ผู้ใดที่ถ่อมตนลง จะได้รับการยกย่องให้สูงขึ้น”

พระเยซูเจ้าและเด็กเล็กๆc

          15มีผู้นำเด็กเล็กๆ มาให้พระเยซูเจ้าทรงสัมผัสประทานพระพร บรรดาศิษย์เห็นเข้าจึงพูดตำหนิคนเหล่านั้น 16แต่พระเยซูเจ้าทรงเรียกเด็กเล็กๆ เหล่านั้นเข้ามาตรัสว่า “ปล่อยให้เด็กเล็กๆ มาหาเราเถิด อย่าห้ามเลย เพราะพระอาณาจักรของพระเจ้าเป็นของคนที่เป็นเหมือนเด็กเหล่านี้ 17เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ‘ผู้ใดไม่รับพระอาณาจักรของพระเจ้าอย่างที่เด็กเล็กๆ รับ เขาจะเข้าสู่พระอาณาจักรไม่ได้เลย’”

ขุนนางผู้มั่งมี

          18ขุนนางคนหนึ่งทูลถามพระเยซูเจ้าว่า “พระอาจารย์ผู้ทรงความดี ข้าพเจ้าต้องทำอะไรเพื่อจะได้ชีวิตนิรันดร” 19พระเยซูเจ้าตรัสกับเขาว่า “ทำไมเรียกเราว่าผู้ทรงความดี ไม่มีใครทรงความดีนอกจากพระเจ้าเท่านั้น 20ท่านก็รู้จักบทบัญญัติแล้ว อย่าล่วงประเวณี อย่าฆ่าคน อย่าลักขโมย อย่าเป็นพยานเท็จ จงนับถือบิดามารดา21เขาทูลว่า “ข้าพเจ้าปฏิบัติตามบทบัญญัติเหล่านี้ทุกข้อตั้งแต่เป็นเด็กแล้ว” 22เมื่อพระเยซูเจ้าทรงได้ยิน จึงตรัสว่า “ท่านยังขาดสิ่งหนึ่ง จงไปขายทุกสิ่งที่มี แจกจ่ายเงินให้คนจน และท่านจะมีขุมทรัพย์ในสวรรค์ แล้วจงติดตามเรามาเถิด” 23เมื่อได้ยินพระวาจานี้ เขาเศร้าใจมาก เพราะเขาเป็นคนมั่งมี

อันตรายจากทรัพย์สมบัติ

          24พระเยซูเจ้าทอดพระเนตรขุนนางคนนั้นแล้วตรัสว่า “ยากจริงหนอที่คนมั่งมีจะเข้าพระอาณาจักรของพระเจ้า 25อูฐจะลอดรูเข็มยังง่ายกว่าคนมั่งมีเข้าสู่พระอาณาจักรของพระเจ้า” 26ผู้ที่ฟังอยู่จึงพูดว่า “ถ้าเช่นนั้น ใครจะรอดพ้นได้” 27พระองค์ตรัสว่า “สิ่งที่เป็นไปไม่ได้สำหรับมนุษย์ ก็เป็นไปได้สำหรับพระเจ้า”

รางวัลของการสละทุกสิ่ง

          28เปโตรทูลว่า “ข้าพเจ้าทั้งหลายได้สละทุกสิ่งที่มีและติดตามพระองค์แล้ว” 29พระองค์ตรัสว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ไม่มีใครที่ละทิ้งบ้านเรือน ภรรยา พี่น้อง บิดามารดาหรือบุตร เพราะเห็นแก่พระอาณาจักรของพระเจ้า 30แล้วจะไม่ได้รับสิ่งตอบแทนdหลายเท่า ณ บัดนี้ และได้รับชีวิตนิรันดรในโลกหน้า”

พระเยซูเจ้าทรงทำนายครั้งที่สามถึงพระทรมาน

          31พระเยซูเจ้าทรงนำอัครสาวกสิบสองคนออกไปตามลำพัง ตรัสกับเขาว่า “บัดนี้ พวกเรากำลังขึ้นไปยังกรุงเยรูซาเล็ม และทุกสิ่งที่บรรดาประกาศกได้เขียนไว้eเกี่ยวกับบุตรแห่งมนุษย์จะเป็นความจริง 32บุตรแห่งมนุษย์จะถูกมอบแก่บรรดาคนต่างศาสนา จะถูกสบประมาทเยาะเย้ย ถูกทำทารุณ และถูกถ่มน้ำลายรด 33เขาเหล่านั้นจะโบยตีพระองค์และฆ่าพระองค์ แต่ในวันที่สาม พระองค์จะทรงกลับคืนพระชนมชีพ” 34แต่บรรดาอัครสาวกไม่เข้าใจถ้อยคำเหล่านี้เลย พระดำรัสนี้ลึกลับสำหรับเขา เขาไม่เข้าใจสิ่งที่พระองค์ตรัส

คนตาบอดที่เมืองเยรีโค

          35ขณะที่พระเยซูเจ้าทรงพระดำเนินมาใกล้เมืองเยรีโค ชายตาบอดคนหนึ่งนั่งขอทานอยู่ริมทาง 36เมื่อได้ยินเสียงผู้คนผ่านมา เขาจึงถามว่าเกิดอะไรขึ้น 37มีคนบอกเขาว่าพระเยซูชาวนาซาเร็ธกำลังเสด็จผ่านมา 38คนตาบอดจึงร้องขึ้นว่า “ข้าแต่พระเยซูโอรสของกษัตริย์ดาวิดเจ้าข้า โปรดเมตตาข้าพเจ้าเถิด” 39ผู้คนที่เดินข้างหน้าได้ดุว่าเขา บอกให้เงียบ แต่เขากลับตะโกนดังยิ่งกว่าเดิมว่า “พระโอรสของกษัตริย์ดาวิดเจ้าข้า โปรดเมตตาข้าพเจ้าเถิด” 40พระเยซูเจ้าทรงหยุด ตรัสสั่งให้นำคนนั้นเข้ามา เมื่อเขาเข้ามาใกล้ พระองค์ตรัสถามว่า 41“ท่านอยากให้เราทำอะไรให้” เขาทูลว่า “พระเจ้าข้า ให้ข้าพเจ้ามองเห็นเถิด” 42พระเยซูเจ้าตรัสกับเขาว่า “จงมองเห็นเถิด ความเชื่อของท่านช่วยท่านให้รอดพ้นแล้ว” 43ทันใดนั้น เขาก็มองเห็นได้อีก และเดินตามพระองค์ไป พลางถวายพระเกียรติแด่พระเจ้า ประชาชนทั้งปวงเห็นเช่นนั้น ต่างร้องสรรเสริญพระเจ้า

 

18 a การอธิษฐานภาวนาโดยไม่ท้อถอย เป็นคำสอนที่พบได้บ่อยๆ ในจดหมายของเปาโล (ดู รม 1:10; 12:12; อฟ 6:18; คส 1:3; 1 ธส 5:17; 2 ธส 1:11; และ 2 คร 4:1, 16; กท 6:9; อฟ 3:13; 2 ธส 3:13)

b ความคิดนี้อาจได้แรงบันดาลใจมาจาก บสร 35:18-19 พระเจ้าจะไม่ทรงชักช้าที่จะช่วยเหลือคนยากจนที่ถูกข่มเหง แต่ในที่นี้ พระองค์ทรงรีรออยู่ ลก อาจคิดถึงความจริงที่ว่า การเสด็จมาอย่างรุ่งโรจน์ของพระคริสตเจ้ายังไม่เกิดขึ้นทันที (เทียบ 2 ปต 3:9; วว 6:9-11 ด้วย)

c ที่ตรงนี้ ลก กลับมาเรียงตามลำดับของมาระโกอีก ลก ได้ทิ้งเรื่องที่ มก เล่าไว้ตั้งแต่ 9:20 (เทียบ 9:51 เชิงอรรถ l)

d สำเนาโบราณบางฉบับละ “สิ่งตอบแทน”

e ลก เน้นบ่อยครั้งว่าบรรดาประกาศกได้ทำนายถึงพระทรมานไว้แล้ว (24:25, 27, 44; กจ 2:23 เชิงอรรถ o; 3:18, 24 เชิงอรรถ s; 8:32-35; 13:27; 26:22ฯ และ //)