(ไฟล์ "เสียงวรสาร" โดย วัดแม่พระกุหลาบทิพย์ กรุงเทพฯ)

ความฉลาดของผู้จัดการ

16 1aพระเยซูเจ้าตรัสกับบรรดาศิษย์อีกว่า “เศรษฐีผู้หนึ่งมีผู้จัดการดูแลผลประโยชน์คนหนึ่ง มีผู้มาฟ้องว่าผู้จัดการคนนี้ผลาญทรัพย์สินของนาย 2เศรษฐีจึงเรียกผู้จัดการมาถามว่า ‘เรื่องที่เราได้ยินเกี่ยวกับเจ้าเป็นอย่างไร จงทำบัญชีรายงานการจัดการของเจ้า เพราะเจ้าจะไม่ได้เป็นผู้จัดการอีกต่อไป’ 3ผู้จัดการจึงคิดว่า ‘ฉันจะทำอย่างไร นายจะไล่ฉันออกจากหน้าที่ผู้จัดการแล้ว จะไปขุดดินก็ทำไม่ไหว จะไปขอทานก็อายเขา 4ฉันรู้แล้วว่าจะทำอย่างไร เพื่อว่าเมื่อฉันถูกไล่ออกจากหน้าที่ผู้จัดการแล้ว จะมีคนรับฉันไว้ในบ้านของเขา’

5เขาจึงเรียกลูกหนี้ของนายเข้ามาทีละคน ถามคนแรกว่า ‘ท่านเป็นหนี้นายข้าพเจ้าเท่าไร’ 6ลูกหนี้ตอบว่า ‘เป็นหนี้น้ำมันมะกอกเทศหนึ่งร้อยถัง’ ผู้จัดการจึงบอกว่า ‘นำใบสัญญาของท่านมา นั่งลงเร็วๆ เขียนแก้เป็นห้าสิบถัง’ 7แล้วเขาถามลูกหนี้อีกคนหนึ่งว่า ‘แล้วท่านล่ะ เป็นหนี้อยู่เท่าไร’ เขาตอบว่า ‘เป็นหนี้ข้าวสาลีหนึ่งร้อยกระสอบ’ ผู้จัดการจึงบอกว่า ‘เอาใบสัญญาของท่านมาแล้วเขียนแก้เป็นแปดสิบกระสอบ’

8นายนึกชมผู้จัดการทุจริตคนนั้นbว่า เขาทำอย่างเฉลียวฉลาด ทั้งนี้ก็เพราะบุตรของโลกนี้มีความเฉลียวฉลาดในการติดต่อกับคนประเภทเดียวกันมากกว่าบุตรของความสว่าง”

การใช้เงินทองอย่างถูกต้อง

9“ดังนั้น เราบอกท่านทั้งหลายว่า จงใช้เงินทองของโลกอธรรมนี้cเพื่อสร้างมิตรให้ตนเอง เพื่อว่าเมื่อเงินทองนั้นหมดสิ้นแล้ว ท่านจะได้รับการต้อนรับสู่ที่พำนักนิรันดร 10ผู้ที่ซื่อสัตย์ในเรื่องเล็กน้อย ก็จะซื่อสัตย์ในเรื่องใหญ่ด้วย ผู้ที่ไม่ซื่อสัตย์ในเรื่องเล็กน้อย ก็จะไม่ซื่อสัตย์ในเรื่องใหญ่ด้วย 11เพราะฉะนั้น ถ้าท่านไม่ซื่อสัตย์ในเรื่องเงินทองของโลกอธรรมแล้ว ผู้ใดจะวางใจมอบสมบัติแท้จริงให้ท่านดูแลเล่า 12ถ้าท่านไม่ซื่อสัตย์ในการดูแลทรัพย์สมบัติของผู้อื่นd ผู้ใดจะให้ทรัพย์สมบัติของท่านแก่ท่านe

13ไม่มีผู้ใดเป็นข้าสองเจ้าบ่าวสองนายได้ เขาจะเกลียดชังนายคนหนึ่งและจะรักนายอีกคนหนึ่ง เขาจะจงรักภักดีต่อนายคนหนึ่งและจะดูหมิ่นนายอีกคนหนึ่ง ท่านทั้งหลายจะปรนนิบัติรับใช้พระเจ้าและเงินทองพร้อมกันไม่ได้”

พระเยซูเจ้าทรงตำหนิชาวฟาริสีที่รักเงินทอง

14ชาวฟาริสีที่รักเงินทองได้ยินถ้อยคำทั้งหมดนี้ จึงหัวเราะเยาะพระองค์ 15พระองค์ตรัสกับเขาว่า “ท่านทั้งหลายคิดว่าท่านเป็นผู้ชอบธรรมต่อหน้ามนุษย์ แต่พระเจ้าทรงล่วงรู้ใจของท่าน สิ่งที่มนุษย์ยกย่อง เป็นสิ่งน่ารังเกียจเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า”

ความพยายามเข้าสู่พระอาณาจักร

16“ธรรมบัญญัติและคำสอนของบรรดาประกาศกมีผลบังคับจนถึงสมัยของยอห์น ตั้งแต่นั้นมามีการประกาศข่าวดีเรื่องพระอาณาจักรของพระเจ้า และทุกคนกำลังพยายามเข้าสู่พระอาณาจักรนี้”

ธรรมบัญญัติคงอยู่ตลอดไป

          17“ฟ้าและดินจะสิ้นสูญไปได้ แต่ธรรมบัญญัติที่เขียนไว้จะไม่ขาดหายไปแม้เพียงจุดเดียว”

การสมรสหย่าร้างไม่ได้

          18“ทุกคนที่หย่าร้างภรรยาและแต่งงานใหม่ ก็ทำผิดประเวณี และผู้ที่แต่งงานกับหญิงที่หย่าร้างแล้ว ก็ทำผิดประเวณีด้วย”

อุปมาเรื่องเศรษฐีกับลาซารัสf

          19“เศรษฐีผู้หนึ่ง แต่งกายหรูหราด้วยเสื้อผ้าเนื้อดีราคาแพง จัดงานเลี้ยงใหญ่ทุกวัน 20คนยากจนผู้หนึ่งชื่อลาซารัส นอนอยู่ที่ประตูบ้านของเศรษฐีผู้นั้น เขามีบาดแผลเต็มตัว 21อยากจะกินเศษอาหารที่ตกจากโต๊ะของเศรษฐีg (22)มีแต่สุนัขมาเลียแผลของเขา 22วันหนึ่ง คนยากจนผู้นี้ตาย ทูตสวรรค์นำเขาไปอยู่ในอ้อมอกของอับราฮัมh เศรษฐีคนนั้นก็ตายเช่นเดียวกัน และถูกฝังไว้         23เศรษฐีซึ่งกำลังถูกทรมานอยู่ในแดนผู้ตาย แหงนหน้าขึ้น มองเห็นอับราฮัมแต่ไกล และเห็นลาซารัสอยู่ในอ้อมอก 24จึงร้องตะโกนว่า ‘ท่านพ่ออับราฮัม จงสงสารลูกด้วย กรุณาส่งลาซารัสให้ใช้ปลายนิ้วจุ่มน้ำมาแตะลิ้นให้ลูกสดชื่นขึ้นบ้าง เพราะลูกกำลังทุกข์ทรมานอย่างสาหัสในเปลวไฟนี้’ 25แต่อับราฮัมตอบว่า ‘ลูกเอ๋ย จงจำไว้ว่า เมื่อยังมีชีวิต ลูกได้รับแต่สิ่งดีๆ ส่วนลาซารัสได้รับแต่สิ่งเลวๆ บัดนี้เขาได้รับการบรรเทาใจที่นี่ ส่วนลูกต้องรับทรมาน 26ยิ่งกว่านั้น ยังมีเหวใหญ่iขวางอยู่ระหว่างเราทั้งสอง จนใครที่ต้องการจะข้ามจากที่นี่ไปหาลูก ก็ข้ามไปไม่ได้ และผู้ที่ต้องการจะข้ามจากด้านโน้นมาหาเรา ก็ข้ามมาไม่ได้ด้วย’

          27เศรษฐีจึงพูดว่า ‘ท่านพ่อ ลูกอ้อนวอนให้ท่านส่งลาซารัสไปยังบ้านบิดาของลูก 28เพราะลูกยังมีพี่น้องอีกห้าคน ขอให้ลาซารัสเตือนเขาอย่าให้มายังสถานที่ทรมานแห่งนี้เลย’ 29อับราฮัมตอบว่า ‘พี่น้องของลูกมีโมเสสและบรรดาประกาศกอยู่แล้ว ให้เขาเชื่อฟังท่านเหล่านั้นเถิด’ 30แต่เศรษฐีพูดว่า ‘มิใช่เช่นนั้น ท่านพ่ออับราฮัม ถ้าใครคนหนึ่งจากบรรดาผู้ตายไปหาเขา เขาจึงจะกลับใจ’ 31อับราฮัมตอบว่า ‘ถ้าเขาไม่เชื่อฟังโมเสสและบรรดาประกาศก แม้ใครที่กลับคืนชีวิตจากบรรดาผู้ตายเตือนเขา เขาก็จะไม่เชื่อ’”

 

16 a บทที่ 16 นี้ รวมอุปมาสองเรื่องกับพระวาจาของพระเยซูเจ้าหลายประโยคเกี่ยวกับการใช้เงินทองอย่างถูกต้องและไม่ถูกต้อง ส่วนข้อ 16, 17, 18 แต่ละข้อกล่าวถึงเรื่องอื่น ทำให้โครงสร้างของบทนี้ขาดความต่อเนื่อง

b นักวิชาการบางคนอธิบายว่าในสมัยนั้นผู้จัดการดูแลผลประโยชน์คงจะได้รับค่านายหน้าจากการขายสินค้าของนาย ซึ่งเป็นรายได้อย่างเดียวของเขาเพราะไม่มีเงินเดือน เพราะฉะนั้นในกรณีนี้จำนวนสินค้าที่ส่งให้จริงคงมีเพียงน้ำมันมะกอกเทศห้าสิบถังและข้าวสาลีเพียงแปดสิบกระสอบ เมื่อผู้จัดการลดจำนวนสินค้าในใบสัญญา จึงเป็นการสละผลประโยชน์ที่เขาควรจะได้รับเท่านั้น โดยไม่ทำให้นายต้องเสียผลประโยชน์ นายจึงยกย่องเขาเป็น “คนฉลาด” ผู้จัดการผู้นี้ได้ชื่อว่า “ทุจริต” (ข้อ 8) เพราะการโกงในเรื่องอื่นก่อนหน้านั้น ไม่ใช่เรื่องนี้

c เงินทองในที่นี้ถูกเรียกว่า “ของโลกอธรรม” ไม่เพียงแต่เพราะเจ้าของเงินทองได้มาอย่างทุจริตเท่านั้น แต่ยังใช้มันในการประกอบความชั่วต่างๆ อีกด้วย

d หมายถึงทรัพย์สมบัติของโลกนี้

e “ของท่าน” สำเนาโบราณบางฉบับว่า “ของเรา” พระเยซูเจ้าอาจกล่าวถึงทรัพย์สมบัติฝ่ายจิตของแต่ละคน

f อุปมาเรื่องนี้ไม่ใช่เหตุการณ์จริงๆ

g สำเนาโบราณบางฉบับเสริมว่า “แต่ไม่มีใครให้อะไรแก่เขา” (เทียบ 15:16)

h “ในอ้อมอก” เป็นวิธีพูดของชาวยิว มีความหมายคล้ายข้อความในพระคัมภีร์ว่า “ไปอยู่ร่วมกับบรรพบุรุษ” (วนฉ 2:10 เทียบ ปฐก 15:15; 47:30; ฉธบ 31:16) สำนวน “ในอ้อมอก…” ทำให้เห็นความชิดสนิทอย่างแนบแน่น (ยน 1:18) สำนวนนี้ทำให้คิดถึงภาพของงานเลี้ยงในยุคพระเมสสิยาห์ ซึ่งลาซารัสร่วมโต๊ะอยู่เคียงข้างกับอับราฮัม (ดู มธ 8:11 เชิงอรรถ c; ยน 13:23) ในสมัยนั้นชาวยิว “นอนเอนกาย” ที่โต๊ะอาหารตามธรรมเนียมของชาวโรมัน

i “เหว” ในที่นี้เป็นสัญลักษณ์ หมายความว่าชะตากรรมของผู้ที่ได้รับความรอดพ้นและผู้ที่พินาศเปลี่ยนแปลงอีกไม่ได้