(ไฟล์ "เสียงวรสาร" โดย วัดแม่พระกุหลาบทิพย์ กรุงเทพฯ)

บทภาวนาของพระเยซูเจ้า

11 1วันหนึ่ง พระเยซูเจ้าทรงอธิษฐานภาวนาอยู่ในสถานที่แห่งหนึ่ง เมื่อทรงอธิษฐานจบแล้ว ศิษย์คนหนึ่งทูลพระองค์ว่า “พระเจ้าข้า โปรดสอนเราให้อธิษฐานภาวนาเหมือนกับที่ยอห์นสอนศิษย์ของเขาเถิด” 2พระองค์จึงตรัสกับเขาว่า “เมื่อท่านทั้งหลายอธิษฐานภาวนา จงพูดว่าa

          ‘ข้าแต่พระบิดา พระนามพระองค์จงเป็นที่สักการะ

                    พระอาณาจักรจงมาถึง

          3โปรดประทานอาหารประจำวันแก่ข้าพเจ้าทั้งหลายทุกวันb

                    โปรดประทานอภัยแก่ข้าพเจ้าทั้งหลายc

          4เหมือนข้าพเจ้าทั้งหลายให้อภัยแก่ผู้อื่น

                    โปรดช่วยข้าพเจ้าทั้งหลายไม่ให้แพ้การผจญ’”

เพื่อนที่ไม่รู้จักกาลเทศะ

          5พระเยซูเจ้าตรัสกับบรรดาศิษย์อีกว่า “สมมติว่าท่านคนหนึ่งมีเพื่อนและไปพบเพื่อนนั้นตอนเที่ยงคืนกล่าวว่า ‘เพื่อนเอ๋ย ให้ฉันขอยืมขนมปังสักสามก้อนเถิด 6เพราะเพื่อนของฉันเพิ่งเดินทางมาถึงบ้านของฉัน ฉันไม่มีอะไรจะให้เขากิน’ 7สมมติว่าเพื่อนคนนั้นตอบจากในบ้านว่า ‘อย่ารบกวนฉันเลย ประตูปิดแล้ว ลูกๆ กับฉันก็เข้านอนแล้ว ฉันลุกขึ้นให้สิ่งใดท่านไม่ได้หรอก’ 8เราบอกท่านทั้งหลายว่า ถ้าคนนั้นไม่ลุกขึ้นให้ขนมปังเพราะเป็นเพื่อนกัน เขาก็จะลุกขึ้นมาให้สิ่งที่เพื่อนต้องการเพราะถูกรบเร้า”

คำอธิษฐานภาวนาที่ได้ผล

          9“เราบอกท่านทั้งหลายว่า จงขอเถิด แล้วท่านจะได้รับ จงแสวงหาเถิด แล้วท่านจะพบ จงเคาะประตูเถิด แล้วเขาจะเปิดประตูรับท่าน 10เพราะคนที่ขอย่อมได้รับ คนที่แสวงหาย่อมพบ คนที่เคาะประตูย่อมมีผู้เปิดประตูให้ 11ท่านที่เป็นพ่อ ถ้าลูกขอปลา จะให้งูแทนปลาหรือd 12ถ้าลูกขอไข่ จะให้แมงป่องหรือ 13แม้แต่ท่านทั้งหลายที่เป็นคนชั่วยังรู้จักให้ของดีๆ แก่ลูก แล้วพระบิดาผู้สถิตในสวรรค์จะไม่ประทานพระจิตเจ้าeแก่ผู้ที่ทูลขอพระองค์มากกว่านั้นหรือ”

พระเยซูเจ้าและเบเอลเซบูล

          14พระเยซูเจ้ากำลังทรงขับไล่ปีศาจซึ่งทำให้คนเป็นใบ้ เมื่อปีศาจออกไปแล้ว คนใบ้ก็พูดได้ ประชาชนต่างประหลาดใจ 15แต่บางคนกล่าวว่า “เขาขับไล่ปีศาจด้วยอำนาจของเบเอลเซบูล เจ้าแห่งปีศาจนั่นเอง” 16บางคนต้องการจับผิดพระองค์ จึงขอให้พระองค์ทรงแสดงเครื่องหมายจากสวรรค์ 17พระเยซูเจ้าทรงทราบความคิดของเขาจึงตรัสว่า “อาณาจักรใดแตกแยกภายใน อาณาจักรนั้นย่อมพินาศ บ้านเรือนย่อมพังทลายทับกัน 18ถ้าซาตานแตกแยกกันเอง อาณาจักรของมันจะตั้งอยู่ได้อย่างไร เพราะท่านบอกว่า เราขับไล่ปีศาจด้วยอำนาจของเบเอลเซบูลf 19ถ้าเราขับไล่ปีศาจด้วยอำนาจของเบเอลเซบูล พวกพ้องของท่านขับไล่มันด้วยอำนาจของใคร พวกพ้องของท่านจะเป็นผู้ตัดสินลงโทษท่าน 20แต่ถ้าเราขับไล่ปีศาจด้วยอำนาจของพระเจ้าg ก็หมายความว่าพระอาณาจักรของพระเจ้ามาถึงท่านแล้ว 21เมื่อคนแข็งแรงมีอาวุธครบมือเฝ้าบ้านของตน ทรัพย์สมบัติของเขาก็ปลอดภัย 22แต่ถ้าผู้ใดแข็งแรงกว่าเข้ามาโจมตีและเอาชนะเขาได้ ก็ย่อมริบอาวุธที่เขามั่นใจนั้น และแบ่งปันข้าวของที่ปล้นได้”

          23“ผู้ใดไม่อยู่กับเรา ย่อมเป็นปฏิปักษ์กับเรา ใครไม่รวบรวมสิ่งต่างๆ ไว้กับเรา ย่อมทำให้สิ่งเหล่านั้นกระจัดกระจายไป”

ปีศาจกลับมา

          24“เมื่อปีศาจออกไปจากมนุษย์แล้ว มันท่องเที่ยวไปในที่แห้งแล้งเพื่อหาที่พัก เมื่อไม่พบ มันจึงคิดว่า ‘ข้าจะกลับไปยังบ้านที่ข้าจากมา’ 25เมื่อกลับมาถึง มันพบว่าบ้านนั้นปัดกวาดตกแต่งไว้เรียบร้อย 26มันจึงไปพาปีศาจอีกเจ็ดตนที่ชั่วร้ายยิ่งกว่ามันเข้ามาอาศัยที่นั่น สภาพสุดท้ายของมนุษย์ผู้นั้นจึงเลวร้ายกว่าเดิม”

ผู้มีความสุขแท้จริง

          27ขณะที่พระเยซูเจ้ากำลังตรัสอยู่นั้น สตรีผู้หนึ่งร้องขึ้นในหมู่ประชาชนว่า “หญิงที่ให้กำเนิดและให้นมเลี้ยงท่านช่างเป็นสุขจริง” 28แต่พระองค์ตรัสตอบว่า “คนทั้งหลายที่ฟังพระวาจาของพระเจ้าและปฏิบัติตามย่อมเป็นสุขกว่านั้นอีก”

เครื่องหมายของโยนาห์

          29เมื่อประชาชนมาชุมนุมกันมากขึ้น พระเยซูเจ้าตรัสว่า “คนยุคนี้เป็นคนชั่วร้าย อยากเห็นเครื่องหมายh แต่จะไม่มีเครื่องหมายใดให้เห็นนอกจากเครื่องหมายของประกาศกโยนาห์เท่านั้น 30โยนาห์เป็นเครื่องหมายสำหรับชาวนีนะเวห์ฉันใด บุตรแห่งมนุษย์ก็จะเป็นเครื่องหมายสำหรับคนยุคนี้ฉันนั้นi 31ในวันพิพากษา พระราชินีแห่งทิศใต้จะทรงลุกขึ้นและทรงกล่าวโทษคนยุคนี้ เพราะพระนางเสด็จมาจากสุดปลายแผ่นดิน เพื่อฟังพระปรีชาสุขุมของกษัตริย์ซาโลมอน แต่ที่นี่มีผู้ยิ่งใหญ่กว่ากษัตริย์ซาโลมอนอีก 32ในวันพิพากษา ชาวนีนะเวห์จะลุกขึ้นและกล่าวโทษคนยุคนี้ เพราะชาวนีนะเวห์ได้กลับใจเมื่อได้ฟังคำเทศน์ของประกาศกโยนาห์ แต่ที่นี่มีผู้ยิ่งใหญ่กว่าโยนาห์อีก”

อุปมาอีกครั้งหนึ่งเรื่องตะเกียง

          33“ไม่มีใครจุดตะเกียงวางไว้ในที่ลับตาหรือใต้ถัง แต่จะตั้งไว้บนเชิงตะเกียงเพื่อให้คนที่เข้ามาเห็นแสงสว่าง 34ประทีปของร่างกายคือดวงตาของท่าน เมื่อดวงตาเป็นปกติดี สรรพางค์กายของท่านก็ย่อมสว่างไปด้วย แต่เมื่อดวงตาของท่านเลวร้าย สรรพางค์กายของท่านก็ย่อมมืดไปด้วย 35ดังนั้น จงระวังอย่าให้ความสว่างในท่านมืดไป 36ถ้าสรรพางค์กายของท่านสว่างไสว ไม่มีส่วนใดมืด ร่างกายทั้งหมดก็จะสว่างไสวเหมือนตะเกียงส่องสว่างท่านด้วยลำแสงของมัน”j

พระเยซูเจ้าทรงประณามชาวฟาริสีและบรรดาธรรมาจารย์

          37เมื่อพระเยซูเจ้าตรัสจบแล้ว ชาวฟาริสีคนหนึ่งทูลเชิญพระองค์ไปเสวยพระกระยาหารที่บ้าน พระองค์จึงเสด็จเข้าไปประทับที่โต๊ะ 38ชาวฟาริสีคนนั้นประหลาดใจเมื่อเห็นว่าพระองค์ไม่ทรงล้างพระหัตถ์ตามธรรมเนียมก่อนเสวยพระกระยาหาร 39องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับเขาว่าk “ชาวฟาริสีเอ๋ย ท่านล้างถ้วยชามด้านนอก แต่ใจของท่านเต็มไปด้วยของที่ขโมยมาและความชั่วร้าย 40คนโง่เอ๋ย พระเจ้าผู้ทรงสร้างภายนอก มิได้ทรงสร้างภายในด้วยหรือ 41ถ้าจะให้ดีแล้ว จงให้สิ่งที่อยู่ภายในเป็นทานเถิดl แล้วทุกสิ่งก็จะสะอาดสำหรับท่าน 42วิบัติจงเกิดแก่ท่าน บรรดาชาวฟาริสี ท่านถวายหนึ่งในสิบของสะระแหน่ สมุนไพรและผักทุกชนิด แต่ละเลยความยุติธรรมและความรักต่อพระเจ้า บทบัญญัติเหล่านี้จำเป็นต้องปฏิบัติโดยไม่ละเว้นบทบัญญัติอื่นๆ 43วิบัติจงเกิดแก่ท่าน บรรดาชาวฟาริสี ท่านชอบนั่งแถวหน้าในศาลาธรรม และชอบให้ผู้คนคำนับตามลานสาธารณะ 44วิบัติจงเกิดแก่ท่าน ท่านเป็นเหมือนหลุมศพที่มองไม่เห็น คนจะเดินเหยียบไปโดยไม่รู้”m

          45นักกฎหมายคนหนึ่งจึงทูลพระองค์ว่า “พระอาจารย์ ท่านพูดเช่นนี้ ท่านก็สบประมาทพวกเราด้วย” 46พระองค์ตรัสตอบว่า “ท่านนักกฎหมายทั้งหลาย วิบัติจงเกิดแก่ท่านด้วย ท่านให้ผู้อื่นแบกสัมภาระหนักเกินกำลัง แต่ท่านไม่ยอมแม้แต่จะใช้นิ้วแตะต้องสัมภาระนั้น”

          47“วิบัติจงเกิดแก่ท่านทั้งหลาย ท่านสร้างหลุมฝังศพของบรรดาประกาศกที่บรรพบุรุษของท่านฆ่า 48จึงแสดงว่าท่านเห็นด้วยกับการกระทำของบรรพบุรุษ บรรพบุรุษของท่านฆ่าบรรดาประกาศกและท่านก็สร้างnหลุมฝังศพให้”

          49“พระปรีชาญาณของพระเจ้าoตรัสว่า ‘เราจะส่งประกาศกและทูตไปพบเขา เขาจะฆ่าประกาศกและทูตบางคนและเบียดเบียนบางคน 50คนรุ่นนี้ต้องรับผิดชอบต่อโลหิตของบรรดาประกาศกทุกคน โลหิตที่ได้หลั่งตั้งแต่สร้างโลกเป็นต้นมา 51นับตั้งแต่โลหิตของอาแบล จนถึงโลหิตของเศคาริยาห์ซึ่งถูกประหารชีวิตระหว่างแท่นบูชากับพระวิหาร’ ถูกแล้ว เรากล่าวแก่ท่านทั้งหลายว่า คนรุ่นนี้จะต้องรับผิดชอบต่อการกระทำนี้

          52วิบัติจงเกิดแก่ท่าน บรรดานักกฎหมาย ท่านนำกุญแจไขความรู้ไป ท่านไม่เข้าไป แล้วยังขัดขวางคนที่ต้องการจะเข้าไปด้วย”

          53ขณะที่พระองค์กำลังเสด็จออกจากที่นั่น บรรดาธรรมาจารย์และชาวฟาริสีเริ่มแสดงตนเป็นศัตรูp ซักถามพระองค์ถึงเรื่องต่างๆ 54วางกับดักพระองค์เพื่อจับผิดพระวาจา

 

11 a ตามข้อเขียนของ มธ บทภาวนา “ข้าแต่พระบิดา” มีคำอ้อนวอนเจ็ดข้อ ส่วนตามข้อเขียนของ ลก มีเพียงห้าข้อ (ดู มธ 6:9 เชิงอรรถ d)

b สำเนาโบราณบางฉบับเสริมว่า “ขอพระจิตศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์เสด็จมาเหนือข้าพเจ้าทั้งหลาย และทรงชำระล้างข้าพเจ้าทั้งหลาย” ข้อความนี้อาจยืมมาจากพิธีกรรมศีลล้างบาป

c “ประทานอภัยแก่ข้าพเจ้าทั้งหลาย” ตามตัวอักษร “อภัยบาป” ซึ่ง มธ ใช้คำว่า “หนี้” หรือ “ความผิด” คำว่า “บาป” ของ ลก มีลักษณะทางกฎหมายน้อยกว่า

d สำเนาโบราณบางฉบับเสริมว่า “ถ้าลูกขออาหาร จะให้ก้อนหินหรือ” เป็นการทำให้ข้อความนี้เหมือนกับใน มธ 7:9

e “พระจิตเจ้า” แทน “สิ่งดีๆ” ใน มธ 7:11 พระจิตเจ้าเป็นสิ่งที่ดีที่สุดในบรรดา “สิ่งดีๆ ทั้งหลาย”

f สำเนาโบราณบางฉบับว่า “เบเอเซบูล” หรือ “เบเอลเซบูบ”

g “ด้วยอำนาจของพระเจ้า” แปลตามตัวอักษร “ด้วยนิ้วพระหัตถ์ของพระเจ้า” ดูความหมายของสำนวนใน อพย 8:15 และ สดด 8:3 เทียบ มธ 12:28

h “เครื่องหมาย” หมายถึงอัศจรรย์เพื่อเป็นพยานหลักฐานพิสูจน์อำนาจของพระเยซูเจ้า (ดู ยน 2:11 เชิงอรรถ f)

i “เครื่องหมายของโยนาห์” สำหรับ ลก คือการเทศน์สอนของประกาศกโยนาห์ให้ชาวนีนะเวห์กลับใจ แต่สำหรับ มธ เครื่องหมายของโยนาห์คือการอยู่ในท้องปลา 3 วัน 3 คืน (ดู มธ 12:39 เชิงอรรถ l)

j ตัวบทในข้อ 35-36 ค่อนข้างจะสับสนในการคัดลอก แต่ความหมายทั่วไปชัดเจนพอสมควร คือพระเยซูเจ้าทรงสอนทุกคนว่า ถ้าใจของเรา “ปกติดี” คือไม่มีอคติเข้ามาปิดบังแล้ว (เทียบ ยน 3:19-21) ทุกคนก็สามารถเข้าใจคำสอนของพระองค์ได้

k ณ ที่นี้ ลก ใช้แหล่งข้อมูลเดียวกันกับที่ มธ ใช้ ลก จะกล่าวถึงเรื่องนี้อีกใน 20:45-47 แต่จะใช้แหล่งข้อมูลจาก มก มธ ได้รวมแหล่งข้อมูลทั้งสองนี้เข้าไว้ในคำปราศรัยเดียวกัน (บทที่ 23) (ดู ลก 10:1 เชิงอรรถ a; 17:22 เชิงอรรถ g)

l ข้อความนี้แปลยาก อาจหมายถึงการให้อาหารที่อยู่ในจานเป็นทาน บางคนแปลว่า “ตรงข้าม จงให้ทานจากสิ่งที่ท่านมี”

m การเหยียบหลุมศพแม้โดยไม่รู้ตัว ก็ทำให้ผู้เหยียบเป็นมลทิน (กดว 19:16)

n นี่เป็นการพูดประชด ประชาชนสร้างหลุมฝังศพของบรรดาประกาศก โดยหวังที่จะชดเชยบาปของบรรพบุรุษ โดยแท้จริงแล้ว เขายังคงมีแนวคิดแบบเดียวกันกับบรรพบุรุษอยู่นั่นเอง

o “พระปรีชาญาณของพระเจ้า” หมายถึงพระประสงค์ของพระเจ้าตามที่พระเยซูเจ้าทรงอธิบาย

p ศัตรูของพระเยซูเจ้าแสดงความเป็นอริกับพระองค์ยิ่งทียิ่งมากขึ้น ลก อธิบายกระบวนการนี้อย่างละเอียดมากกว่า มก (ลก 6:11; 11:53-54; 19:48; 20:19-20; 22:2)