รำพึงพระวาจาประจำวัน โดยคุณพ่อสมเกียรติ  ตรีนิกร
วันพุธที่ 18 พฤศจิกายน 2015
สัปดาห์ที่สามสิบสาม เทศกาลธรรมดา

ลก 19:11-28…
11ขณะที่ประชาชนกำลังฟังเรื่องเหล่านี้อยู่ พระเยซูเจ้าทรงอยู่ใกล้กรุงเยรูซาเล็มแล้ว ประชาชนคิดว่าพระอาณาจักรของพระเจ้ากำลังจะปรากฏในไม่ช้า พระองค์จึงทรงเล่าเป็นอุปมาอีกเรื่องหนึ่ง 12พระองค์ตรัสว่า “บุรุษตระกูลสูงผู้หนึ่งออกเดินทางไปแดนไกลเพื่อรับตำแหน่งกษัตริย์ แล้วจะกลับมา 13เขาเรียกผู้รับใช้สิบคนเข้ามา แล้วมอบเงินจำนวนหนึ่งให้แต่ละคน สั่งว่า ‘จงเอาเงินนี้ไปทำธุรกิจจนกว่าเราจะกลับ’

14แต่ชาวเมืองเกลียดชังเขา จึงส่งทูตคณะหนึ่งตามไปแจ้งว่า ‘พวกเราไม่ต้องการให้บุรุษผู้นี้เป็นกษัตริย์ปกครองเรา’
15แต่เขาก็ยังได้รับตำแหน่งกษัตริย์แล้วกลับมา จึงสั่งให้ไปเรียกผู้รับใช้ที่เขามอบเงินให้ไว้มาพบ เพื่อจะรู้ว่าแต่ละคนได้ทำธุรกิจอย่างไร 16คนแรกเข้ามารายงานว่า ‘นายขอรับเงินที่ท่านให้ไว้ ทำกำไรได้สิบเท่า’ 17นายจึงบอกเขาว่า ‘ดีแล้ว เจ้าเป็นผู้รับใช้ที่ดี เพราะเจ้าซื่อสัตย์ในเรื่องเล็กน้อย เจ้าจงมีอำนาจปกครองเมืองสิบเมืองเถิด’ 18คนที่สองเข้ามารายงานว่า ‘นายขอรับเงินที่ท่านให้ไว้ ทำกำไรได้ห้าเท่า’ 19นายบอกเขาว่า ‘เจ้าจงไปปกครองเมืองห้าเมืองเถิด’ 20อีกคนหนึ่งเข้ามารายงานว่า ‘นายขอรับเงินที่ท่านให้ไว้อยู่นี่ ข้าพเจ้าเอาผ้าห่อเก็บไว้ 21ข้าพเจ้ากลัวท่าน เพราะท่านเป็นคนเข้มงวด ท่านเอาสิ่งที่ท่านไม่ได้ฝาก ท่านเก็บเกี่ยวสิ่งที่ท่านไม่ได้หว่าน’ 22นายจึงพูดกับเขาว่า ‘เจ้าขี้ข้าชั่วช้า ข้าจะตัดสินเจ้าจากคำพูดของเจ้า เจ้ารู้แล้วว่า ข้าเป็นคนเข้มงวด เอาสิ่งที่ข้าไม่ได้ฝากไว้ เก็บเกี่ยวสิ่งที่ข้าไม่ได้หว่าน 23ทำไมเจ้าจึงไม่เอาเงินของข้าไปฝากธนาคารไว้เล่า เมื่อข้ากลับมา ข้าจะได้เงินคืนพร้อมกับดอกเบี้ยด้วย’ 24นายยังกล่าวกับคนที่อยู่ที่นั่นว่า ‘จงเอาเงินจากเขามาให้กับผู้ที่ทำกำไรสิบเท่าเถิด’ 25คนเหล่านั้นพูดว่า ‘นายขอรับ เขามีเงินมากอยู่แล้ว’ 26นายจึงตอบว่า ‘ข้าบอกเจ้าทั้งหลายว่า ผู้ที่มีมาก จะได้รับมากขึ้น ส่วนผู้ที่มีน้อย สิ่งเล็กน้อยที่เขามีอยู่จะถูกริบไปด้วย 27ส่วนพวกศัตรูของข้าที่ไม่ต้องการให้ข้าเป็นกษัตริย์ จงพามาที่นี่ และประหารชีวิตต่อหน้าข้า’”
28เมื่อตรัสดังนี้แล้ว พระเยซูเจ้าทรงพระดำเนินต่อไป เสด็จนำหน้าประชาชนขึ้นไปยังกรุงเยรูซาเล็ม

อรรถาธิบายและไตร่ตรอง
  

• สิ่งที่เราต้องไม่ลืมก็คือเรื่องนี้ที่พระเยซูเจ้าเล่าเป็น “อุปมา” ในภาษาอุปมาเป็นภาษาเล่าเรื่องให้เห็นความจริงที่นอกเหนือจากอุปมา คือ การรอคอยการปกครองของพระเจ้า การต้อนรับพระอาณาจักรของพระเจ้า และจำเป็นที่จะต้องออกแรงดำเนินชีวิตเต็มที่ตามกำลังที่แต่ะคนได้รับ ตามพระพรที่แต่ละคนได้รับเพื่อสามารถรายงานตัวเองต่อหน้าพระเจ้า “พระมหากษัตริย์” ที่เรารอคอยคือพระเยซูเจ้า

• เรื่องนี้เราต้องไม่สะดุจกับตัวเรื่องอัปมา ที่อาจจะทำให้เห็นว่า ผู้ที่อยู่ในอุปมาไปรับการแต่งตั้งเป็นกษัตริย์นั้นดูจะโหดร้ายและจัดการกับคนที่ไม่ต้องการให้เขาเป็นกษัตริย์ หรือคนที่ได้รับเงินให้ไปลงทุนทำประโยชน์แต่กลับเกียจคร้านและต่อต้าน... เราเห็นในเรื่อง “อุปมา” ถ้าเราจะเห็นความเข้มงวดของกษัตริย์ผู้นี้เราจะเห็นสองประเด็นคือ
o คนใช้ที่ขี้เกียจและไม่ยอมออกแรงทำงานให้เกิดประโยชน์ ได้รับเงินมาน้อยแต่เพราะเขาขี้เกียจและที่สำคัญ ไม่ฉลาดอย่างน้อยเอาไปฝากธนาคารไว้... เรียกว่า ขี้เกียจแล้วยังไม่ฉลาดอีกด้วย ก็สมควรจะถูกตำหนิ
o กลุ่มคนที่ต่อต้านการปกครองของกษัตริย์ ก็ต้องถูกลงโทษด้วยเช่นกัน เพราะพวกเขาได้ปฏิเสธและต่อต้าน

• ความจริงอุปมานี้เล่าเรื่องที่เหมาะกับช่วงปลายปีพิธีกรรม และในพระวรสารนักบุญลูกา พระเยซูเจ้าเองก็กำลังจะเสด็จขึ้นไปเยรูซาเล็มเพื่อเป็นกษัตริย์จริงๆ คือ กษัตริย์ผู้ทรงประทับบนบัลลังก์ของพระองค์ คือ “บนไม้กางเขน” เพราะพระวรสารวันจบเรื่องอุปมาเรื่องนี้ด้วยประโยคที่ว่า “เมื่อตรัสดังนี้แล้ว พระเยซูเจ้าทรงพระดำเนินต่อไป เสด็จนำหน้าประชาชนขึ้นไปยังกรุงเยรูซาเล็ม”

• ถ้าเราจะพิจารณาความจริงของพระเยซูเจ้า พระองค์กำลังจะไปเป็นกษัตริย์แห่งความรักปกครองประชากรของพระองค์ด้วยความรักจนสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน... พ่อเชื่อว่าอุปมานี้เหมาะจะสอนเราทุกคนที่จะติดตามพระองค์ครับ พี่น้องครับ
o เราจะยอมรับพระองค์เป็นกษัตริย์เช่นนี้หรือไม่ แน่นอน ต่างจากกระแสโลกโดยสิ้นเชิง แต่เป็นกษัตริย์แท้จริง ทรงปกครองดวงใจ ให้แบบฉบับชีวิต และทรงมอบชีวิตเพื่อเป็นแบบอย่างและประทานชีวิตแก่เราทุกคน การปกครองของพระองค์คืออาณาจักรแห่งความรักเมตตาและความยุติธรรม สันติสุขแท้จริง
o เราจะยอมออกแรงกับพระพรที่พระองค์ประทานให้กับเรา เราจะตอบสนองเต็มร้อยกับพระพรที่พระองค์ประทานให้หรือไม่ ใช้พระพรให้เกิดผลดีร้อยเปอร์เซนต์เสมอ พระพรทุกๆด้านที่เราได้รับจากพระองค์
o ผู้รับใช้ของพระเจ้า แต่ละคนล้วนได้รับพระพรจากพระเจ้าและเป็นหน้าที่ของเราที่จะต้องใช้พระพรนั้นให้เกิดผลดีเพื่อถวายเกียรติให้กับพระเจ้า พระพรที่พระเจ้าประทานเราแต่ละคนนั้นแตกต่างกันไป ในจำนวนและพระพรที่ต่างกัน แต่หน้าที่สำคัญคือทำให้เกิดผลจริงๆ เราไม่สามารถที่จะทิ้งพระพรให้เสียเปล่า อย่างน้อยที่สุดเราต้องฉลาดพอที่จะทำให้พระพรนั้นเกิดผล เหมือนกับเงินที่ได้รับอย่างน้อยก็ฉลาดพอที่จะฝากธนาคารไว้ ไม่นำไปฝังดินไว้โดยไม่ลงทุนลงแรงทำอะไร ซึ่งนั่นเป็นวิธีการที่ไม่ฉลาดเอาเสียเลย

• พี่น้องที่รัก พ่อมั่นใจในพระวาจาวันนี้ว่าเป็นพระพรพิเศษสำหรับเราทุกคนที่จะต้องตระหนักว่า โดยทางศีลล้างบาป เราทุกคนได้รับพระพรจากพระเจ้า ได้รับพระพรแห่งความเป็นบุตรพระเจ้า และพระองค์ได้ประทานพระพรให้กับเราเพื่อจะได้ออกแรงประกาศศักดาแห่งพระเจ้า ด้วยการเป็นเกลือดองแผ่นดินและเป็นแสงสว่างส่องโลก พ่อเชื่อว่าเราทุกคนเป็นคริสตชนที่มีคุณภาพแห่งการเป็นบุตรของพระเจ้าจริงๆนะครับ อย่าอยู่เฉย อย่าฝังดินไว้ซึ่งพระพรแห่งการเป็นแสงสว่างและการเป็นเกลือดองโลกที่เราได้รับ ซึ่งนั่นคือคุณภาพของการเป็นลูกๆของพระเจ้า พระเจ้าองค์ความรัก องค์ความจริง องค์ความเมตตา องค์ความซื่อสัตย์ และคุณธรรมต่างๆที่เราจะพรรณาได้ล้วนอยู่ในพระองค์

• พี่น้องพระเจ้าประทานพระพรแห่งคุณธรรมมากมายนี้ให้กับเราทุกคน ให้กับแต่ละคน ให้กับพระศาสนจักร... สมัยพ่อเป็นเด็ก พ่อเคยได้ยินคุณพ่อท่านหนึ่งมาจากต่างประเทศ ถ้าจำไม่ผิดท่านชื่อพ่อจีโน่ เวลานั้นพ่อเป็นเณรนั่นหมายถึงประมาณ 30 ปีก่อนกระมัง คุณพ่อจีโนก็อายุมากแล้วเวลานั้น ท่านผ่านมาและบรรยายที่แสงธรรม บ้านเณรใหญ่ พ่อจำไม่ลืมแม้ภาษาอังกฤษพ่อจะอ่อนแอแบบเด็กไทย บ้านนอก ไม่เคยไปต่างประเทศ แต่พ่อจำได้ประโยคหนึ่งที่พ่อจีโน่พูดชัดมากๆ ท่านบอกว่า “พระศาสนาจักรคาทอลิก พวกเรา คือ ยักษ์ใหญ่ที่นอนหลับ” คือ เป็นคริสตชนที่ได้ชื่อว่ามีจำนวนมากที่สุดในโลกนั่นเมื่อ 25 ปีก่อน ปัจจุบันน่าจะไม่จริงเสียแล้ว เราเป็นยักษ์ที่ตัวเล็กลงแล้ว แต่ยังอาจจะหลับต่อไปอยู่ก็เป็นได้... คำพูดนี้สอนพ่อมากๆ ถ้าเราได้รับพระพรจากพระเจ้า เหมือนเงินที่พระมหากษัตริย์มอบให้ผู้รับใช้ แต่ถ้าเราไม่ได้ใช้พระพรนั้น “นอนหลับทับสิทธิ์ และยิ่งกว่านั้น นอนหลับทับชีวิตคริสตชน และยิ่งกว่านั้น นอนหลับทับพระพรที่พระเจ้าประทานให้ ดุจเอาไปฝังดินไว้ไม่เกิดผล” เราก็เป็นยักษ์ใหญ่ที่นอนหลับและรอวันตายไปกับพระพรที่เราได้รับกระนั้นหรือ

• พ่อมั่นใจจริงๆ พระวาจาวันนี้เตือนเรา ปลุกเราให้ต้องตื่นครับ.. การเป็นคริสตชนแท้จริง เป็นแสงสว่างและเป็นเกลือดองแผ่นดินนั้น อันที่จริงเ “ป็นสิ่งที่ง่ายมากถ้าไม่โง่และเกียจคร้าน” นำพระพรไปฝังดินไว้ และที่สุดโดนตำหนิจากพระมหากษัตริย์แบบในอุปมาที่พระเยซูเจ้าเล่า เพราะพระพรของพระเจ้าการเป็นเกลือดองโลก... คือทำให้โลกนี้รับรู้ว่าเราเป็นบุตรของพระเจ้า ได้รับความดี และไม่เสียหายเพราะมีเรา เหมือนปลาในใหมีเกลืออยู่ด้วย คือ โลก ที่มีเราคริสตชนเป็นพระพร หรือในโลกที่มืดมนและมีคริสตชนเป็นแสงสว่าง (เทียบ มธ 5:13-15) และความจริงของการอยู่อย่างคริสตชนของเราคือ.. “เพื่อคนทั้งหลายเห็นกิจการดีของท่าน เขาจะสรรเสริญพระบิดาเจ้าสวรรค์ของเท่าน” (มธ 5:16)

• พี่น้องที่รัก... พวกเราคริสตชนจึงควรเป็นคนที่ขยันเพาะได้รับพระพรจากพระเจ้า เมื่อเราได้อะไรเปล่าๆ คนเราจะขยันอดทนมาก ไปเข้าแถว ไปนอนรองานเทกระจาด เพราะอยากได้ขอฟรี ของที่มาจากทานเมตตา... แล้ว “พระหรรษ “ทาน”” เล่า เราจะไม่ดีใจและกระตือรือร้นต้อนรับและออกเรงกับพระหรรษทาน กับพระคุณต่างๆ มากกว่านั้นสักเพียงใด

• พ่อขอให้เราได้ไตร่ตรองครับ ให้เรารับรู้พระพรพระหรรษทาน และให้เราขยันขันแข็งในการตอบรับพระพรของพระเจ้าด้วยความรักมากๆ รักมากๆ เมตตามากๆ ความรักความเมตตาคือการลงทุนของพระเจ้าที่ทรงลงทุนกับชีวิตเราแบบหมดตัวนะครับ เพราะ “ทรงรักเรา” ดังนัน พ่อขอให้เราได้รักตอบ ออกแรงที่จะรักเมตตาตอบพระเจ้าเสมอนะครับ... ขอพระเจ้าอวยพรให้เรายักษ์ใหญ่ในพระพรแห่งความเป็นบุตรของพระเจ้าได้ตื่นจากหลับ ตื่นขึ้นเจริญชีวิตในฐานะบุตรของพระเจ้านะครับ