รำพึงพระวาจาประจำวัน โดยคุณพ่อสมเกียรติ  ตรีนิกร
วันเสาร์ที่ 4 เมษายน 2015
วันเสาร์ศักดิ์สิทธิ์
มก 16:1-7…
1เมื่อวันสับบาโตล่วงไปแล้ว มารีย์ชาวมักดาลา มารีย์มารดาของยากอบ และนางสะโลเม ซื้อเครื่องหอมเพื่อชโลมพระศพของพระเยซูเจ้า 2เช้าตรู่ของวันต้นสัปดาห์ เมื่อดวงอาทิตย์ขึ้นแล้ว สตรีทั้งสามคนไปยังพระคูหา 3และกล่าวแก่กันว่า “ใครจะกลิ้งก้อนหินออกจากทางเข้าพระคูหาให้เรา” 4แต่เมื่อมองไป ก็เห็นว่าก้อนหินนั้นถูกกลิ้งออกไปแล้ว หินก้อนนั้นใหญ่โตมาก 5ครั้นเข้าไปภายในพระคูหา สตรีทั้งสามคนเห็นชายหนุ่มผู้หนึ่งสวมเสื้อยาวสีขาวนั่งอยู่ด้านขวามือ ก็ตกตะลึง 6ชายหนุ่มผู้นั้นกล่าวกับสตรีทั้งสามคนว่า “อย่ากลัวไปเลย ท่านกำลังมองหาพระเยซู ชาวนาซาเร็ธ ผู้ถูกตรึงกางเขน พระองค์ทรงกลับคืนพระชนมชีพแล้ว พระองค์มิได้ประทับอยู่ที่นี่ สถานที่นี้คือสถานที่ที่เขาได้วางพระศพไว้ 7จงไปแจ้งบรรดาศิษย์และเปโตรให้รู้ว่า “พระองค์เสด็จล่วงหน้าท่านทั้งหลายไปในแคว้นกาลิลีแล้ว ท่านจะเห็นพระองค์ที่นั่น ดังที่ทรงบอกท่านไว้”

อรรถาธิบายและไตร่ตรอง
• พระเยซูเจ้าถูกฝังไว้ในพระคูหา.. วันนี้วันเสาร์ศักดิ์สิทธิ์ พ่อทราบว่า เราเตรียมฉลองคืนตื่นเฝ้าปัสกา เราเตรียมสำหรับร้องอัลเลลูยา เราเตรียมพิธีกรรมถ้าเป็นบรรดาพระสงฆ์ วันนี้จะวุ่นฝายที่สุดในพิธีกรรมของพระศาสนจักร สิ่งมากมายที่ต้องเตีรยม มากจริงเพื่อให้ค่ำคืนนี้เป็นคำคืนศักดิ์สิทธิ์ที่พระเยซูเจ้าทรงกลับคืนชีพ ตามพระวรสารที่เล่า คำวันเสาร์คือเริ่มต้นวันอาทิตย์แล้ว สมัยโบราณพิธีคืนนี้คือเที่ยงคืนก็ทำกันเพื่อแน่ใจว่าเป็นวันอาทิตย์ (เช้าตรู่วันต้นสัปดาห์ “วันอาทิตย์” คือเวลานั้นที่มารีย์ชาวมักดาลาได้ไปพบว่าหินที่ปิดพระคูหานั้นได้เปิดไป แล้ว) 


• ก่อนไปเรื่องสำคัญและเป็นหัวใจของสิ่งที่พ่อไตร่ตรองวันนี้... พ่อขอพาพี้องเข้าไปที่ประสบการณ์พ่อนิดหน่อยก่อนครับ

o พ่อจำได้ว่า ตอนพ่อเป็นเด็กพ่อต้องพยายามอดตาหลับขับตานอน ไม่ให้ง่วง พ่อเป็นเด็กช่วยมิสซา ตื่นเต้นหน่อยก็ตอนเสกไฟ สนุก มีไฟศักดิ์สิทธิ์ มีเทียนปัสกา สนุกมากเด็กๆกับไฟกองใหญ่ๆหน้าวัดโอน่าสนุกจริงๆ มีสองสิ่งที่เราเสกที่ว่าไปแล้วเป็นศัตรูกันเลย คือ น้ำกับไฟที่ไปด้วยกันไม่ได้ แต่ต้องมีพิธีเสกด้วยกันในค่ำคืนวันนั้น... 

o เสกน้ำ เสกไฟ ตอนเด็กๆ มีแค่นี้ครับ (ในยุคหนึ่งมีพ่อเจ้าวัดใหม่ตัวใหญ่ศีรษะเล็กๆ ดูหน่ากลัวมากแต่ใจดี มาเป็นเจ้าวัด ก็จัดให้มีเสกอาหารเพิ่ม ยิวกินแกะปัสกา เรากินข้าวหม้อแกงหม้อ ชาวบ้านพากันเอามา สรุป มีเป็นสิบๆๆหม้อ พ่อก็อิ่มสุดหลังมิสซาจบ)

o ส่วนไข่ปัสกาก็มาภายหลังเช่นกัน...ไม่ใช่พิธีกรรม เป็นประเพณีที่เข้ามาภายหลังมากๆ ไม่ได้มีมาแต่แรกในบ้านเราเมืองเราแต่ประการใด และไม่ใช่พิธีกรรมของวันเสาร์ศักดิ์สิทธิ์เลยครับ แต่ก็ค่อยๆเข้ามามีคุณค่าความหมาย และเริ่มมีบทเสกอวยพร ทั้งนี้เพื่อเตือนเราให้ระลึกถึงชีวิตใหม่...ก็ดีครับ

o บทอ่านก็อ่านหมดทุกบท...พวกเราเด็กช่วยมิสซา ก็.. “หลับครับ” เรายังตัวเล็ก ใต้โต๊ะเครื่องบูชาริมหน้าต่างที่เรานั่งกันอยู่มีใต้โต๊ะ.. มีผ้าขาวคลุมไว้ ชายผ้าย้อยลงมาเทียมพื้นพอดีๆ เหมือนมุ้งเลย... ในเมื่อบทอ่านหลายบทเยอะและยาว เราก็มุดเข้าไปสองสามคนทั้งชุดช่วยมิสซาแหละ “นอนอย่างสง่าเหมือนศิษย์สามคนในสวนเกทเสมนี (อันนี้เพิ่งนึกได้ตอนเขียนนี่แหละครับ) สองสามคนหลับกันสบาย เด็กไม่กรนอยู่ แล้ว และพี่โตๆที่ช่วยมิสซา จะปลุกเมื่อถึงเวลาต้องถือโคมแห่...ฯลฯ) สนุกครับหลับกันสบายจริงๆเลยครับ

o เรื่องไฟและน้ำเสก ยายพ่อก็ต้องให้พ่อถือขวดน้ำไปวัด ถือตะเกียงไปวัด หลังมิสซาจะได้จุดไฟจากเทียนปัสกา หรือจุดตั้งแต่ตอนเสกไฟเสร็จ (เอาถ่านฟืนกลับมาด้วย) ไฟก็จุดตะเกียงกลับมา ไม่ดับเพราะตะเกียงมีโป๊ะแก้วครอบไว้ เราก็ไปรับไฟเสกกลับมาบ้านยาย... พ่อกับพี่ชายมีความสุขมากกับไฟในตะเกียงนี้ เพราะเป็นไฟเสก... ความเชื่อถึงแสงสว่างใหม่.. ยายจะสั่งให้เราไปวางไว้ที่แท่นพระกลางบ้าน และหน้าที่ของพวกเราคือ “อย่าทำไฟดับเด็ดขาด” ต้องคอยเติมน้ำมันตะเกียงอยู่เรื่อยไป ไฟต้องติดอยู่จนตลอดปัสกา... โห ง่ายที่ไหนละครับ เราสองคนก็คอยเล่นไฟเสกนี่แหละ เวลาไปเติมน้ำมันกัน ก็เอาไม้ขีดแหย่เข้าไปให้ติด “ฟู่” โหน ไฟศักดิ์สิทธิ์ สนุก และก็ลมพัดไฟดับบ้าง...แหะๆๆ ก็รีบจุดใหม่เลย ไม่อยากเรียกว่า เสกกันเอง ยายไม่รู้หรอกว่าเราทำดับกันประจำ... 
o พอละครับ ออกมานอกเรื่องสู่ความน่าขำของตนเองแห่งคืนวันเสาร์ศักดิ์สิทธิ์มาเยอะ เพื่อบอกว่า ในคืนวันเสาร์ศักดิ์สิทธิ์มีอะไรต่อมิอะไรมากมายครับ.. แล้วกลับเข้าเรื่องสำคัญที่สุดที่ต้องการพาพี่น้องที่รักไปไตร่ตรองครับ

• วันเสาร์ศักดิ์สิทธิ์ของพ่อปี 2015 นี้ พ่อไตร่ตรองพิเศษในเรื่อง “ในพระคูหาครับ” เรื่องเล่าพระทรมานบอกกับเราว่า พระเยซูเจ้าถูกฝังไว้ในพระคูหา และ “พวกเขาก็เคลื่อนก้อนหินปิดพระคูหาไว้” 

o ทุกปีพ่อเน้นเรื่องการสิ้นพระชนม์ ซึ่งปีนี้ก็ได้เน้นในการเทศน์ของวันศุกร์ศักดิ์สิทธิ์แล้วคับ พ่อได้เน้นแล้ว... แต่ประเด็นที่พ่อจะต้องเน้นและขอเน้นเวลานี้ คือ ในพระคูหา พระองค์สิ้นพระชนม์ การถูกฝังไว้ในพระคูหานั้น เป็นอย่างไร

o พ่อไม่ทราบว่า พี่น้องเคยคิดเคยรู้สึกเหมือนพ่อไหม พ่อเคยคิดบ่อยนะครับ ว่า ถ้าพ่อสิ้นชีวิตแล้ว พ่อจะต้องนอนในหลุมฝังศพ...เวลานั้น จะเป็นอย่างไรหนอ... จะร้อนไหม จะรู้สึกไหม จะรู้สึกอย่างไร วิญญาณเรามีเราเชื่อ แล้วเมื่อถึงเวลาที่ปิดหลุมฝังศพ..เวลานั้นเรา แบบตัวเราที่เป็นนี้ เราจะเป็นอย่างไรกันหนอ...โอพระเจ้า... “กลัวบ้างเหมือนกัน” แต่เวลานั้น จะเป็นอย่างไร ไม่มีใครบอกได้ ไม่มีใครรู้ได้เลย โดยเด็ดขาด ไม่มีทาง

o แต่วันนี้ พ่ออยากเข้าไตร่ตรองในเวลาที่แปลกว่าที่เคย... ณ เวลาที่พระศพ พระธรรมชาติมนุษย์สิ้นสุดลง พระองค์ พระวรกายมนุษย์ของพระองค์อยู่ในพระคูหา ตรงนี้เป็นอย่างไรหนอ เวลานั้นเป็นอย่างไรหนอ พ่อพยายามคิด ไตร่ตรอง หาความรู้สึกความเข้าใจจริงๆ... แม้แต่พิธีกรรมวันศุกร์ศักดิ์สิทธิ์ หลังแจกศีลเสร็จแล้วในพิธีพระทรมานและการสิ้นพระชนม์จบ การเชิญศีลมหาสนิท เขายังไม่ให้เก็บในตู้ศีลสง่าๆ แต่นำไปเก็บไว้ในตู้ศีลหลังวัด หรือแม้แต่นอกวัด เพื่อให้เงียบสงบ และกำชับทางพิธีกรรมว่าไม่ให้มีการเฝ้าศีลอย่างสง่าช่วงเวลานี้ แต่เป็นเวลาเงียบสงบ... อารามคาร์แมลที่ยึดประเพณีโบราณก็จัดตู้ศีลพิเศษแยกไว้ และเรียกตู้ศีลนั้นว่า “พระคูหา” 


• สำหรับพ่อ พ่อคิดอะไรกับเรื่องนี้... พี่น้องที่รักครับ พ่อคิดถึงสองประการเพื่อการไตร่ตรองตลอดวันเสาร์ศักดิ์สิทธิ์จนถึงการตื้น เฝ้าประกาศสมโภชปัสกาครับ

• ประการแรก “พระองค์อยู่ในพระคูหา” เวลาที่อัดแน่นที่สุดของความรัก

o ในพระคูหาที่พระศพ “พระเยซูพระเจ้าองค์ความรักสิ้นพระชนม์” พระธรรมชาติมนุษย์ พระเยซูแห่งนาซาแร็ธที่ทุกคนรู้จัก ได้สิ้นชีวิต และพระศพวางอยู่ที่นั่น มัดด้วยผ้าป่านตามธรรมเนียมของชาวยิวพร้อมกับเครื่องหอมตามธรรมเนียมการฝัง ศพ... ในที่ฝังศพที่มีหินก้อนใหญ่ปิดไว้จนข้างในนั้น สามารถจินตนาการได้ว่า “มืดมิดสนิท” พี่น้องที่รัก พ่อมองเห็นความตายที่ต้องอยู่ในความมืด ไร้แสงสว่าง ไม่มีชีวิต ไม่มีลมหายใจ และความตายที่หยุดทุกอย่างของกระแสชีวิตของมนุษย์ ตามกระแสความเป็นจริงของชีวิตมนุษย์... 

o พ่อรู้สึกว่า...เวลานี้เป็นเวลาที่ “พระเยซูพระเจ้า ทรงรักมนุษย์จนถึงที่สุด ไม่เพียงแต่ความตายบนกางเขน แต่ในความมืดของเงาแห่งความตาย พระเจ้าเที่ยงแท้ทรงอยู่ในความตายนั้นอย่างสงบเงียบเป็นเวลาที่เงียบที่สุด” พ่อจะอธิบายแบบนี้ได้ไหมว่า ในพระคูหา คือ ณ ยามที่พระองค์ยอมหยุดชีวิตคือ “ตายสนิท” อัดแน่นที่สุด เป็นหนึ่งเดียวที่สุดกับมนุษย์ทุกคนจริงๆ ยอมถูกฝังไว้ในคูหา และเหมือนช่วงของความว่างเปล่าที่ไม่มีชีวิตกับมนุษย์ผู้รู้ตายจริงๆเต็มที่ เลย

o พ่อในการไตร่ตรองปีนี้ พ่อสัมผัสได้ว่า ในพระคูหา พระองค์กำลังสวมกอดอย่างเงียบสงบกับความรู้ตายของเรา เป็นหนึ่งเดียวกันกับเราอย่างเงียบๆ ไม่มีพระวาจา ไม่มีคำสอน ไม่มีอะไรนอกจาก “การถูกมัดด้วยผ้าป่านเพื่อจะบอกว่าพระองค์ผูกมัดพระองค์เองกับความตายของ เรา” สามวันตามการนับของชาวยิว... พระเจ้าสูงสุดกอดสวมกอดเรามนุษย์ในความตายที่มนุษย์กลัวและจำนนไม่มีทาง เลี่ยงได้ พระองค์สวมกอดเราเงียบสนิทในความตาย “ในพระคูหา”

o พี่น้องเคยสังเกตไหม คนเรายามมีความรักที่สุด กลัวที่สุด และคนที่รัก พ่อแม่หรือคู่ชีวิตปลอบใจเรา กอดเรา บางทีไม่ต้องพูดอะไรเลย เพียงสวมกอดเงียบๆ แน่นๆ เราก็มีความสุขที่สุด... พ่อไม่รู้สิ.. ปีนี้ 2015 พ่อนั่งไตร่ตรองเวลาในพระคูหา ซึ่งปกติมักจะฉลองหรือไตร่ตรองตอนพระคูหาเปิด พระองค์กลับคืนชีพ... แต่ปีนี้ พ่อรู้สึกได้ถึงการสวมกอดแห่งรักนิรันดร์ด้วยการทรงถูกมัดด้วยผ้าป่านและ เครื่องหอม นอนนิ่งสนิทในพระคูหาที่มืดมิดนั้น

• ประการที่สอง “ทรงกลั บคืนชีพ” หินที่ปิดคูหาถูกกลิ้งออกไป...

o “เช้าตรู่ของวันต้นสัปดาห์ เมื่อดวงอาทิตย์ขึ้นแล้ว สตรีทั้งสามคนไปยังพระคูหา และกล่าวแก่กันว่า “ใครจะกลิ้งก้อนหินออกจากทางเข้าพระคูหาให้เรา””

o ความตายจะจองจำพระองค์ตลอดไปไม่ได้ พระคูหาที่มืดมิดจะต้องถูกเปิดออก นี่คือพลังแห่งความรักของพระเจ้าที่เยียวยาและทำลายความตายให้พินาศไป ก้าวไปสู่ชีวิตใหม่นิรันดร

o พ่อคิดถึงเวลาเด็กเล็กๆไปวิ่งเล่นกับเพื่อนๆ หกล้มหัวโนเจ็บปางตาย น้ำตากระเด็นออกมาแบบไม่ต้องพยายามเพราะเจ็บ (เหมือนความตาย) และแม่ก็กอดเขาไว้แน่น อาจมีคำปลอบโยน แต่เด็กจะได้รับการสวมกอดแน่นชั่วขณะ กับความเจ็บที่ค่อยๆ คลายตัว (เหมือนพระเยซูเจ้าต้องตายชั่วขณะเงียบอยู่ในความรักที่พระเจ้า “พระบิดา” ทรงสวมกอดพระองค์และความตายของมนุษยชาติ) และสักครู่ เด็กคนนั้น ก็ขยับตัวอย่างมั่นใจ ลุกขึ้น ออกไปวิ่งเล่นต่อไปได้อย่างมีความสุข... และก็สนุกว่าเดิมด้วย

o ความเจ็บ และความตาย ถูกสวมกอดด้วยความรักขอพระเจ้า จนมันพ่ายแพ้ไป ไม่มีความกลัวอีก ไม่เจ็บอีก แต่ลุกขึ้นมีชีวิตใหม่ พ่อไตร่ตรองและพ่อรู้สึกอย่างนี้จริงๆ คูหา ความตาย เก็บหรือทำลายความรักของพระเจ้าพระบิดาไม่ได้จริงๆ 

o “แต่เมื่อมองไป ก็เห็นว่าก้อนหินนั้นถูกกลิ้งออกไปแล้ว หินก้อนนั้นใหญ่โตมาก ครั้นเข้าไปภายในพระคูหา สตรีทั้งสามคนเห็นชายหนุ่มผู้หนึ่งสวมเสื้อยาวสีขาวนั่งอยู่ด้านขวามือ”

o หินที่พระคูหาถูกกลิ้งหรือทุ่มทิ้งไปให้พ้นทาง ด้วยอำนาจแห่งพระบิดาเจ้าพระเจ้าองค์ความรัก ที่แสดงออกเป็นภาพของทูตสวรรค์ของพระเจ้า 

o พ่ออยากจะเน้นเหมือนกับพระคัมภีร์ว่า ความตายเจ้าเอ๋ยเจ้าอยู่ทีไหน พลังของเจ้าอยู่ที่ไหน อำนาจของเจ้าอยู่ที่ไหน... พ่อเห็นว่า การเปิดพระคูหาของทูตสวรรค์คือการกระชากความตายทิ้งไปให้พ้นหน้า ไม่ขวางกันอีกต่อไป พระองค์เสด็จกลับคืนชีพเพราะความรักอัดแน่นของพระบิดาเจ้าจริงๆครับ...

• พี่น้องที่รัก พ่อสรุปครับ...

o จงอัดแน่นในความเชื่อมั่นและการสวมกอดด้วยความรักของพระเจ้า...

o จงยอมให้พระองค์สวมกอดเรา สวมกอดชีวิตบาป และความตายของเรา เพราะพระองค์คือเครื่องหอมที่โอบอุ้มเรา แม้ในความตาย 
o ที่สุด จะเป็นความรักที่จะระเบิดเปิดคูหาขอเราให้เรากลับมีพลังแห่งชีวิตใหม่ครับ..

o จงอย่าปิดคูหาฝังตนเอง หรือฝังเพื่อนพี่น้องเขาด้วยการขาดความรักต่อกันเลยนะครับ

o จงยอมให้ความรักของพระเจ้า เคลื่อนหินที่แสนหนักปิดกั้นกันด้วยความเย็นเฉยหรือกันตัดขาดกันเพราะตายต่อ กัน ยอมให้พระเจ้าองค์ความรักได้เปิดคูหาหรือความตายต่อกันไปเถิดนะครับ... 

o สุขสันต์ ปัสกา การเปิดสู่ชีวิตใหม่เพราะความรักของพระเจ้านะครับ... ขอพระเจ้าอวยพรครับ