“ถ้าท่านทั้งหลายยึดมั่นในวาจาของเรา ท่านก็เป็นศิษย์ของเราอย่างแท้จริง" (ยน. 8:31)

รำพึงพระวาจาประจำวัน โดยคุณพ่อสมเกียรติ  ตรีนิกร
วันอังคารที่ 10 มกราคม 2017  
สัปดาห์ที่ 1 เทศกาลธรรมดา
มก 1:21-28…

21พระเยซูเจ้าเสด็จมาถึงเมืองคาเปอร์นาอุมพร้อมกับบรรดาศิษย์ เมื่อถึงวันสับบาโต พระองค์เสด็จเข้าไปในศาลาธรรม และทรงเริ่มสั่งสอน 22คำสั่งสอนของพระองค์ทำให้ผู้ฟังรู้สึกประทับใจอย่างมาก เพราะทรงสอนเขาอย่างทรงอำนาจไม่เหมือนกับบรรดาธรรมาจารย์


23ขณะนั้น ในศาลาธรรมชายคนหนึ่งซึ่งปีศาจสิงอยู่ ร้องตะโกนว่า 24 “ท่านมายุ่งกับเราทำไม เยซู ชาวนาซาเร็ธ ท่านมา ทำลายเราใช่ไหม เรารู้ว่าท่านเป็นใคร ท่านคือองค์ผู้ศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้า” 25พระเยซูเจ้าทรงดุปีศาจและตรัสสั่งว่า “จงเงียบ ออกไปจากผู้นี้” 26เมื่อปีศาจทำให้ชายผู้นั้นชักและร้องเสียงดังแล้ว มันก็ออกไปจากเขา 27ทุกคนต่างประหลาดใจจึงถามกันว่า “นี่มันเรื่องอะไร เป็นคำสั่งสอนแบบใหม่ที่มีอำนาจ เขาสั่งแม้กระทั่งปีศาจ และมันก็เชื่อฟัง” 28แล้วกิตติศัพท์ของพระองค์ก็เลื่องลือไปทุกแห่งตลอดทั่วแคว้นกาลิลีทันที

อรรถาธิบายและไตร่ตรอง
• “คำสั่งสอนของพระองค์ทำให้ผู้ฟังรู้สึกประทับใจอย่างมาก เพราะทรงสอนเขาอย่างทรงอำนาจไม่เหมือนกับบรรดาธรรมาจารย์”

• ความประทับใจจากคำสอนของพระเยซูเจ้า คือ สิ่งที่พ่อประทับใจเช่นกัน เราจะสอนอย่างไร จะเทศน์อย่างไรที่เป็นคำสอนที่มีอำนาจ และทำให้คนประทับใจได้จริงๆ

• พ่อเองก็ยอมรับว่านี่คงเป็นโอกาสอธิบายถึงการเทศน์สอนของพระสงฆ์ หรือคำเทศน์สอนของผู้มีหน้าที่สอนนั้น อะไรคือความสามารถที่จะทำให้เกิดความประทับใจและเป็นการสอนอย่างทรงอำนาจจริงๆ
o พ่อเองบวชมายี่สิบปีกว่า พ่อเทศน์ พ่อสอนมาเยอะมากเหมือนกัน และนอกจากในมิสซาที่มีโอกาสบ้าง และในการเทศน์เข้าเงียบประจำปีให้กับบรรดานักบวช พระสงฆ์ ก็บ่อยๆเหมือนกัน นักบวชหญิงบางคณะเข้าเงียบประจำปีครั้งละแปดวันเต็มๆ ต้องเทศน์หลายวันต่อกัน หรือบางทีก็สองสามคณะต่อๆ กัน

• ความจริงที่พ่อต้องเปิดเผยวันนี้ ต้องเขียนกันอย่างตรงไปตรงมาสักหน่อยครับเพราะว่าพ่อเป็นอาจารย์สอนพระคัมภีร์ สอนสามเณร อบรมและแบ่งปันความรู้ให้กับบรรดาพระสงฆ์มาเยอะมากๆ อย่างน้อยในประสบการณ์ชีวิตของพ่อเอง ถ้อยคำตัดพ้อหรือเรียกว่าเรียกร้องด้วยความรักดีกว่า... มีเสียงสัตบุรุษร้องมาและพ่อได้ยินหลายครั้ง ถ้อยคำเหล่านี้ คือความจริงที่พ่อได้ยิน เช่น
1. “คุณพ่อครับ อยากได้ยินพระสงฆ์เทศน์ดีๆ อยากให้พระสงฆ์เทศน์ได้จับใจ”
2. “คุณพ่อคะ อยากให้พ่อสอน หรืออบรมพระสงฆ์ให้เทศน์ให้เก่งๆ เพราะบ่อยๆ ฟังแล้วเบื่อจังเลย”
3. “คุณพ่อครับ ทำอย่างไรให้พระสงฆ์ของเราเป็นคนที่เทศน์ได้ลึกซึ้ง บ่อยครั้งไม่มีเนื้อหาอะไรเลย... บางทีก็มีแต่เรื่องข่าวหนังสือพิมพ์มาเล่าให้ฟัง”
4. เคยมีกล่าวถึงขนาดนี้ที่พ่อได้รับฟัง..... “คุณพ่อครับ พระสงฆ์ท่านนี้ท่านนั้น... ควรกลับไปรับการอบรมใหม่ได้แล้ว..”
5. หลายคนก็บ่นเพียง “คุณครับ คุณพ่อท่านนี้ ท่านนั้น เทศน์ยาวมากๆ เบื่อ”
6. ยังมีอีกเยอะครับ... แม้แต่ในบ้านเณรบางทีสังฆานุกรฝึกเทศน์ ก็ไปวิ่งหามุขมาเทศน์อยากให้ฮา อยากให้ตลก อยากให้สัตบุรุษติดใจ.. บางคนก็ไม่เอาเรื่องจากไลน์ที่ได้รับมามาเล่าต่อในการเทศน์ หรือไม่ก็หาเรื่องจากเฟสบุคมาถ่ายทอดต่อ ฯลฯ...
7. บางทีการหาเรื่องราวมาเทศน์ของสามเณรที่ฝึกก็ไปนำเรื่องไม่ค่อยน่ารักมาเล่าในการเทศน์ บางที่ก็เป็นเรื่องที่ไม่เหมาะกาลเทศะก็มี พ่อ..ได้ยินก็ดุไปบ้าง และสอนว่า “เทศน์นะครับ ไม่ใช่ตลกร้านอาหาร ระวังหน่อย ใส่ใจหน่อย”
o ครับยอมรับว่า ประสบการณ์ของพ่อได้ยินมาเยอะพอครับ บางทีขณะที่พี่น้องอ่านตัวอย่างของพ่อที่ยกมาเจ็ดอย่างข้างบนนี้ พี่น้องคริสตชนอาจมีเรื่องอยากร้องบ่นหรือเรียกร้องอีกมากมาย...ก็เป็นได้นะครับ... บางทีอาจจะร้องพ่อเองว่า “พ่อเขียนยาวจัง ก็เคยโดนบ้างครับ”

• กลับมาที่ประเด็นของเรา...ทำไมคำสอนของพระเยซูจึงทรงอำนาจ.. แล้วเราจะเทศน์จะสอนอะไรให้มีพลังเช่นพระองค์..

• พี่น้องที่รัก พี่น้องพระสงฆ์และสังฆานุกรด้วย ผมมีคำตอบครับ..

• ง่ายที่สุด ง่ายจริงๆ ครับที่จะทำให้คำเทศน์ของเราน่าประทับใจและมีพลัง... คำตอบคือ
o เทศน์เรื่องพระเยซู เทศน์ประกาศสอนเรื่องคำสอนของพระองค์ เล่าเรื่องของพระองค์ และให้พระเยซู หรือ “พระวาจา” เป็นเนื้อหาของการเทศน์ของเรา
o การเทศน์เป็นหน้าที่ศักดิ์สิทธิ์ของพระสงฆ์ คนอื่นทำแทนไม่ได้ครับ ต้องเป็นพระสงฆ์ สังฆานุกรอย่างน้อยครับที่จะทำหน้าที่ “เทศน์” นี่คือหน้าที่ครับ เป็นหน้าที่สำคัญที่สุดในชีวิตพระสงฆ์ครับ... ดังนั้น หลีกเลี่ยงไม่ได้ และต้องทำให้ดีที่สุด ต้องรักการเทศน์สอนที่สุด สอนถึงพระเยซู สอนเรื่องพระเยซูครับ... ไม่มีเรื่องอื่นๆ ไม่มีใครหรืออะไรทดแทนได้คับ....
o การเทศน์นั้น ต้องประกาศพระวาจาเป็นหลักสำคัญที่สุด แบ่งปันความศรัทธาความเชื่อในพระวาจาและในชีวิตของพระเยซูเจ้า... การเทศน์สอนคือการประกาศพระวรสาร ไม่ใช่อย่างอื่นครับ... สิ่งประกอบคือชีวิตของพระศาสนจักรหรือชีวิตของเราที่ได้รับพลังจากพระวาจาของพระเจ้าจริงๆ
o พ่อเคยคุยกันน้องเณรที่เรียนเทศน์ เขามาเทศน์ เขาเล่าประสบการณ์เยอะมากๆ ประสบการณ์ของเขา...เรื่องเล่าเยอะๆ ที่สุดพ่อถามว่า “ประสบการณ์ของเรา เรื่องของเรา กับเรื่องของพระเยซูเจ้า อะไรจะมีพลังกว่ากัน...” พ่อไม่ปฏิเสธว่าเรื่องเล่าต่างๆ ก็มีประโยชน์บ้าง.. แต่ไม่สามารถมาแทนที่เนื้อหาการประกาศพระวาจาของพระเจ้าได้เลย เราต้องทำหน้าที่ประกาศจนทุกคนได้ยิน ได้รู้จัก ได้รักพระองค์มากขึ้น คำเทศน์ทั้งหลายต้องได้รับการควบคุมโดยพระวาจาของพระเจ้า....
o บัดนี้ สามารถสรุปได้ว่า
1. ถึงเวลาแล้วที่เราจะฟื้นฟูความหมายของการเทศน์สอน หันมาทบทวนบทบาทของการเทศน์สอนว่าเป็นการประกาศพระวาจาของพระเจ้าเป็นหลักสำคัญที่สุดแบบที่ไม่มีอะไรมาทดแทนได้
2. ถึงเวลาแล้วที่บรรดาคริสตชนจะได้ฟังความรัก ความรู้ ความเชื่อของพระสงฆ์ สังฆานุกร และพระสังฆราชซึ่งเป็นบุคคลหลักเลยครับ...
3. ถึงเวลาที่เราจะมารักจริงๆ รู้จริงๆ และศรัทธาที่สุด ต่อ “การประกาศข่าวดี” ที่เราพูดกันมากที่สุดในสมัชชาของเรา เรื่อง “การประกาศข่าวดีใหม่”

• หัวใจของการเทศน์สอน คือ ต้องประกาศความจริง รักจริงๆ และต้องประกาศเด็ดขาดว่า “พระเยซูเจ้าเป็นใคร” พระองค์เป็นพระบุตรของพระเจ้า พระองค์คือพระพรสูงสุด พระองค์คือชีวิตของเรา นี่เป็นหน้าที่และคำสอนที่ทรงอำนาจที่สุดแล้วครับ....

• พี่น้องที่รัก สังเกตอะไรไหม..พระวรสารวันนี้กล่าวถึงคำสอนทรงอำนาจของพระเยซูเจ้า..สิ่งที่มาระโกนำเสนอคือเรื่องราวของคนถูกปีศาจสิงที่ได้พบพระเยซูเจ้า ที่น่าแปลคือปีศาจมันรู้จริงๆนะมันประกาศออกมาและก็ประกาศถูกด้วย... พระวรสารเขียนว่า
o ปีศาจร้องออกมาว่า... “เรารู้ว่าท่านเป็นใคร ท่านคือองค์ผู้ศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้า” ถ้าจะตีความแบบน่ารักๆ ต้องบอกว่า มาระโกบอกกับเราว่าปีศาจมันรู้จักพระเยซูเจ้าแบบถึงแก่นเลย... “พระองค์คือผู้ศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้า”
o แต่พระเยซูเจ้าดุปีศาจให้มันเงียบ “เพราะมันรู้” แต่ไม่ใช่หน้าที่ของปีศาจที่จะมาประกาศ เพราะมันไม่ได้รักพระเยซูเจ้า มันเป็นศัตรูกับพระเจ้า...
o พระวรสารเล่าว่า “พระเยซูเจ้าทรงดุปีศาจและตรัสสั่งว่า ““จงเงียบ ออกไปจากผู้นี้” เมื่อปีศาจทำให้ชายผู้นั้นชักและร้องเสียงดังแล้ว มันก็ออกไปจากเขา”
o พระองค์ดุแลสั่งให้มัน “เงียบ” เป็นคำสั่งคือไม่ให้พูด ไม่ให้ประกาศความรู้เกี่ยวกับพระเยซูเจ้าออกมา... เพราะปีศาจไม่ได้รัก ไม่ศรัทธาในพระองค์ แม้มันจะรู้จักพระองค์ก็ตาม
o เจตนาของมาระโกที่นำเสนอพระเยซูทรงดุปีศาจให้เงียบ... เราจะเข้าใจได้อย่างไร... ไม่ยากครับ..
o พระวรสารวันนี้ต่อจากเมื่อวานนี้ที่พระองค์ทรงเรียกบรรดาศิษย์ และในพระวรสารนักบุญมาระโกโดยตลอด พระเยซูเจ้าเน้นมากๆให้บรรดาศิษย์ของพระองค์ต้องรัก ต้องรู้ถ่องแท้ และต้องประกาศว่าพระองค์คือพระคริสตเจ้า... เป็นหน้าที่ของบรรดาศิษย์ที่จะประกาศ ปีศาจไม่มีหน้าที่ประกาศพระเยซูแม้มันรู้จักพระองค์แต่มันไม่ได้รักพระองค์ แต่สำหรับบรรดาศิษย์ พวกเขาต้องประกาศ เพราะเขาติดตามพระองค์ ศรัทธาในพระองค์ และรักพระองค์

• พี่น้องที่รัก พ่อได้คำตอบสำหรับสอนพ่อเองในฐานะพระสงฆ์ พี่น้องพระสงฆ์ และพี่น้องคริสตชนด้วย... พวกเราต้องเทศน์หรือต้องประกาศพระเยซูเจ้าจริงๆครับ แต่ต้องประกาศโดยการรักพระองค์จริงๆ รู้จักพระองค์จริงๆ ศรัทธาจริงๆ เราจึงอยากพูดประกาศ หรือ ทำหน้าที่เทศนาตลอดเวลาถึงพระองค์ ทั้งโดยนิตินัยและพฤตินัย.. เพราะเรารักพระองค์จริงๆ เราจึงอดไม่ได้หรอกครับที่จะประกาศถึงพระองค์...

• คนเราถ้าเรารัก เชื่อ และศรัทธาในใครสักคน เราคงอดไม่ได้ที่จะพูดถึง ประกาศถึง และยิ่งพูดถึง เราก็ยิ่งมีความสุขมากขึ้น และรักมากขึ้นมิได้หยุดเลย

• พี่น้องพระสงฆ์ครับ... พี่น้องสัตบุรุษครับ... ถ้าเรารักพระเยซูเจ้าจริงๆ เราคงอดไม่ได้เลยที่จะเทศนาถึงพระองค์ พูดถึงพระองค์

• ดังนั้น บทเทศน์ของพระสงฆ์ ถ้าไม่ใช่เรื่องพระเยซู ถ้าไม่ใช่ประกาศศรัทธาในพระเยซู แล้วเราจะรักพระองค์มากขึ้นได้อย่างไร เราจะเติบโตในความรักต่อพระองค์มากขึ้นได้อย่างไร และเราจะถ่ายทอดความรักและการเติบโต หรือเรียกว่า พลังอำนาจแห่งคำสอนของพระเยซูเจ้า ไปยังพี่น้องสัตบุรุษได้จริงๆ อย่างไร...
o ชีวิตพระสงฆ์ จึงหยุดไม่ได้ที่จะเทศน์เรื่องพระเยซู เพราะยิ่งเราศึกษา เทศนา เรากำลังเติบโตในศรัทธาในพระองค์อย่างแท้จริง....
o จะมีอะไรที่ทำให้เราได้รัก ได้ฟื้นฟูความรักและความเชื่ออีกทั้งความหวังในพระเยซูได้ดีไปกว่า “พระวาจาของพระเจ้า” ไม่มีแน่นอน... เพราะพระวาจาของพระองค์ทรงอำนาจ และเป็นหน้าที่ของเราที่จะต้องประกาศ เพราะเรารักศรัทธาในพระองค์นะครับ...
o วันนี้พระวาจาคงกระตุ้นเตือนพ่อเอง และพี่น้องพระสงฆ์ สังฆานุกร ที่จะต้องทำหน้าที่ประกาศพระวาจาของพระเจ้ามากขึ้นจริงๆกว่าที่เคยนะครับ...

• พ่อขอสรุปด้วย คำสอนทางการของพระศาสนจักร “Dei Verbum” พระสังฆธรรมนูญแห่งวาติกันที่สองนิดหน่อยครับ (DV ข้อ 25)
o ดังนั้น บรรพชิตทั้งหลายโดยเฉพาะบรรดาพระสงฆ์ของพระคริสตเจ้า และคนอื่นๆ เช่นสังฆานุกร และผู้สอนคำสอน ซึ่งมีหน้าที่ประกาศสั่งสอนพระวาจาตามนิตินัย จึงจำเป็นต้องใกล้ชิดกับพระคัมภีร์ โดยอ่านและศึกษาอย่างลึกซึ้งในรายละเอียดอยู่เสมอ ขออย่าให้ใครในพวกนี้กลายเป็น “ผู้ประกาศพระวาจาของพระเจ้าแก่ผู้อื่นอย่างว่างเปล่าด้วยเสียงเท่านั้น แต่ภายในจิตใจเขามิได้เป็นผู้ฟัง พระวาจาเลย” (น.ออกัสติน) เมื่อเขาจะต้องนำพระวาจาอันเป็นสมบัติมหาศาลโดยเฉพาะในพิธีกรรมมาแบ่งปันกับบรรดาสัตบุรุษที่อยู่ในความดูแลของตน
o ในทำนองเดียวกัน สภาสังคายนานี้ขอเตือนอย่างหนักแน่นเป็นพิเศษให้คริสตชนทั้งหลาย โดยเฉพาะสมาชิกในคณะนักบวช อ่านพระคัมภีร์บ่อยๆ เพื่อจะได้เรียนรู้ “ความรู้ล้ำเลิศถึงพระเยซูคริสตเจ้า” (ฟป 3.8) “เพราะการไม่รู้พระคัมภีร์ คือการไม่รู้จักพระคริสตเจ้า” (น.เยโรม)

เช้าวันใหม่ใส่ใจพระวาจา

Lectio Divina-Daily 2022

เช้าวันเสาร์เราคิดถึงพระวาจา

Video อบรมพระคัมภีร์

ความรู้พื้นฐานพระคัมภีร์และหนังสือปฐมกาล

หนังสืออพยพและเลวีนิติ

หนังสือกันดารวิถีและเฉลยธรรมบัญญัติ

หนังสือโยชูวา ผู้วินิจฉัยและนางรูธ

หนังสือซามูแอล ฉบับที่ 1 และ ฉบับที่ 2

หนังสือพงศ์กษัตริย์ ฉบับที่ 1 และ ฉบับที่ 2

หนังสือพงศาวดาร เอสราและเนหะมีย์

หนังสือโทบิต ยูดิธ เอสเธอร์และมัคคาบี 1 และ 2

ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับประกาศกและประกาศกอาโมส

หนังสือประกาศกโฮเชยาและมีคาห์

หนังสือประกาศกอิสยาห์

หนังสือประกาศกโยนาห์และประกาศกเศฟันยาห์

หนังสือประกาศกนาฮูมและฮาบากุก

หนังสือประกาศกเยเรมีห์-เพลงคร่ำครวญ-บารุค

หนังสือประกาศกเอเสเคียลและดาเนียล

บทเทศน์บนภูเขา มธ. 5-7

พระวรสารนักบุญมัทธิว 10,13,18

พระวรสารนักบุญมาระโก

หนังสือกิจการอัครสาวก