ข้อคิดจากพระวาจาประจำวัน  โดย..คุณพ่อฉลองรัฐ สังขรัตน์

วันอาทิตย์ที่ 9 ตุลาคม 2016

สัปดาห์ที่ 28 เทศกาลธรรมดา

บทอ่านจากพระวรสารตามคำบอกเล่าของนักบุญลูกา.         ลก 17:11-19
     ขณะที่พระเยซูเจ้าเสด็จไปยังกรุงเยรูซาเล็มนั้น พระองค์เสด็จ ผ่านแคว้นสะมาเรียและกาลิลี เมื่อเสด็จเข้าไปในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง คนโรคเรื้อนสิบคนเข้ามาเฝ้าพระองค์ ยืนอยู่ห่างๆ ร้องตะโกนว่า “พระเยซู พระอาจารย์ โปรดสงสารพวกเราเถิด” พระองค์ทอดพระเนตรเห็นจึงตรัสกับเขาว่า “จงไปแสดงตนแก่บรรดาสมณะเถิด”

ขณะที่เขากำลังไป เขาก็หายจากโรค คนหนึ่งในสิบคนนี้ เมื่อพบว่าตนหายจากโรคแล้ว ก็กลับมา พลางร้องตะโกนสรรเสริญพระเจ้า ซบหน้าลงแทบพระบาท ขอบพระคุณพระองค์ เขาผู้นี้เป็นชาวสะมาเรีย พระเยซูเจ้าจึงตรัสว่า “ทั้งสิบคนหายจากโรคมิใช่หรือ อีกเก้าคนอยู่ที่ใด ไม่มีใครกลับมาถวายพระเกียรติแด่ พระเจ้านอกจากคนต่างชาติคนนี้หรือ” แล้วพระองค์ตรัสกับเขาว่า “จงลุกขึ้น ไปเถิด ความเชื่อของท่านทำให้ท่านรอดพ้นแล้ว”    

  (พระวาจาของพระเจ้า)

 --------

       นานมาแล้ว มีเครื่องซักผ้ายี่ห้อหนึ่งในประเทศอิตาลี
ใช้คำโฆษณาที่ว่า “ซักสะอาดไม่สิ่งสกปรกเจือปน จนกระทั่งคุณพ่อ (บาทหลวง) ไม่อาจมองข้ามได้”

สะอาดที่ใจ ใจทีปลดเปลื้อง ใจละจากการยึดติด ไม่ใช่ สะอาดที่มือไม้ได้ล้างขัดถู หรือ มีน้ำยามหัศจรรย์ล้าง ได้แม้แบคทีเรียซ่อนเร้น
​ความสะอาด ปราศจากสิ่งปลอมปน เป็นสิ่งที่เราต้องการหรือไม่?
​แน่นอน เราอาจมีพฤติกรรม เช็ดช้อนส่อม เวลาที่กำลังจะเริ่มรับประทานอาหารที่ร้านอาหาร
​เราอาจฆ่าเชื้อเวลาที่จะใช้ภาชนะที่ต้องการความสะอาด อย่างดีที่สุด
​แต่ “ความสะอาด” ภายใน ความสะอาดข้างใน เราจะใช้อะไรเป็นมาตราฐาน และ “บ่งชี้”
​ความสะอาด ความบริสุทธิ์ ไร้มลทิน เป็นเรื่องที่เราเล่าใน “มิติทางศาสนา” และ “ความเชื่อ ความสัมพันธ์กับพระเจ้า”
​แต่ “วิธีแบบนี้” พระเจ้า ไม่ได้มีพระประสงค์จากเรา เพียงเรา “เสริมแต่งขึ้นมา”
​วิธีคิดเรื่อง “สี” ก็เช่นกัน
​เราอาจ “ใช้สีขาว” เป็นเรื่องการบ่งบอก ไร้มลทิน
​แต่เชื่อหรือไม่ว่า สีขาว ก็เป็นเรื่อง สละละวาง ไม่ติดไม่เอาอะไรใส่ตัว เป็นความสมถะละโลก
ในขณะที่ “สีดำ” ในศาสนาของเรา เป็นเครื่องแบบนักบวชที่ชาวยุโรปถือว่า เป็นสมถะ พื้นฐาน ติดดิน อยู่อย่างง่าย ไม่ฉูดฉาด

มุมมองเดียวกัน แต่ให้ “นิยาม” ไม่เหมือนกัน ดังนั้น วิธีเล่าเรื่อง “สะอาด” ของพระวาจาในวันนี้ ก็มีความแตกต่างกัน กับความคิด สะอาดคือไร้มลทิน
มุมมองที่หนึ่ง ในหนังสือพงศ์กษัตริย์ ฉบับที่สอง ได้เล่าเรื่อง นาอามานและโรคเรื้อน เอลีชาและการรักษาที่รักษาโรคเรื้อนด้วยการจุ่มตัวเจ็ดครั้งใน แม่น้ำจอร์แดน แต่นาอามานก็มีความคับข้องใจ ในตอนที่มีเหตุผล เข้าข้างตัวเอง
ที่สุด ก็ได้ปฎิบัติตามด้วยการจุ่มตัวลงในน้ำเจ็ดครั้ง
ความคิดของเราอาจสวนทาง ตรงข้าม กับเรื่องสะอาดที่ต้องล้างแล้วล้างเล่า ขจัด จำกัด มีขอบเขต
แต่ “การชำระ สะสาง ทำให้สะอาด” อาจไม่ใช่การล้างแค่นั้น แต่ “ต้องล้างใจ” ก็คือ เทใจ มองต่างมุม ไม่ยึดหลักหันหาตัวเอง ที่เป็นอุปสรรคของการล้างชำระใจ
การล้างชำระใจ เป็นองค์ประกอบที่สำคัญ ที่เราจะเห็น จะหัน จะมองพิจารณา พระเมตตาของพระเจ้าที่มีต่อเรา เพราะว่าในขณะที่เรากำลังมองเปรียบเทียบ ไม่ยอมเงียบเอาแต่ร้องเรียก  ไม่ยอมสงบและฟังให้เข้าใจให้ลึก เรา “มีมุมของตัวเอง เรามีโลกของเราเอง เราจะทำตามสิ่งที่พระตรัสลึก บอกด้วยเหตุการณ์ บอกผ่านทางปัจจัยคน ปัจจัยเวลา ปัจจัยช่วยเหลือไม่ได้เลย ไม่ต่างจาก การมองสีขาวว่าบริสุทธิ์ไม่แปดเปื้อน แต่ สีดำก็บริสุทธิ์เพราะว่าสมถะ ติดดิน เป็นพื้นๆ ที่เป็นการเปิดจิตวิญญาณของเรา ที่เป็นสิ่งสร้างให้สัมพันธ์กับผู้สร้าง เพราะว่า ความบริสุทธิ์ สะอาดที่แท้
คือ การมีชีวิตสะท้อนพระเจ้าผู้สร้างเราได้มากขึ้นทุกวัน จึงหมายความว่า “ความดีและความบริสุทธิ์ในจิตวิญญาณของเรา” ไม่ใช่ ทำมากได้มาก แต่ ทำและสะท้อน พระพักตร์แห่งความเมตตาของพระบิดาผู้ทรงเมตตาได้มาก น้อยแค่ไหน และนี่คือ ความสัมพันธ์กับพระเจ้าที่เป็นการสะท้อนความดีและ ความศักดิสิทธิ์ในชีวิตนั่นเอง

​ประการต่อมา ความสะอาดในจิตวิญญาณ ก็คือ การยิ่งทียิ่งวัน ยิ่งสะท้อน ภาพลักษณ์ของพระเจ้าในชีวิตของเรายิ่งมากขึ้น เพราะ ในจดหมายนักบุญเปาโลถึงชาวทิโมธี ฉ.2

​“ถ้าเราตายพร้อมกับพระองค์ เราจะมีชีวิตอยู่กับพระองค์ ถ้าเราอดทนมั่นคง เราย่อมจะครองราชย์พร้อมกับพระองค์ ถ้าเราปฏิเสธพระองค์ พระองค์ย่อมจะทรงปฏิเสธเรา ถ้าเราไม่ซื่อสัตย์ พระองค์ก็ยังทรงซื่อสัตย์ต่อไป เพราะจะทรงปฏิเสธพระองค์ไม่ได้”

​ความสะอาด ก็คือ การซักล้างจากคราบไคล ไม่ใช่ไม่เคยเปื้อน เหมือนผ้าขาวจากห่อจากม้วนพับ

​ความสะอาด ก็คือ ผ่านกระบวนการ ผ่านน้ำยาซักล้าง ไม่ใช่ ไม่เคยแกะห่อ ไม่เคยออกจากถุงกันเปื้อนเปรอะ
​ความสะอาดที่แท้ ต้องการผ่านการกระบวน ไม่ใช่ อยู่ในห่อ อยู่ในถุง

 ​ดังนั้นประสบการณ์การไถ่กู้ของพระเยซูเจ้าบนไม้กางเขน ทำให้เราต้องแบกกางเขน ติดตาม

​ก็คือ การผ่านประสบการณ์ บ่มเพาะ ชำระ ในชีวิต

​บนความศักดิ์สิทธิ์ของ นักบุญดอมินิก ซาวิโอ ด้วยคำถามว่า ถ้าเธอจะตายวันนี้ เธอจะทำอย่างไร เขาตอบว่า เขาจะเล่นต่อไป เล่นด้วยการถวายเกียรติแด่พระเจ้า

​ในความศักดิ์สิทธิ์ของ นักบุญบอนาแวนตูรา ท่านจะทำครัวต่อไป เพราะบรรดาพี่น้องนักพรต กำลังรอมื้ออาหารอยู่ ท่านไม่สามารถทิ้งหน้าที่ที่ กำลังทำอยู่ในรับ ตำแหน่งพระสังฆราชได้

​และความศักดิสิทธิ์ของนักบุญเทเรซา แห่งกัลกัตตา ท่านนำนมสำหรับดื่มเป็นอาหารเช้า ไปให้คนที่พักพิงบนถนนในกรุงกัลกัตตา

​ดังนั้น ความศักดิ์สิทธิ์จึงเป็นหนทางแห่งไม้กางเขน ก็คือ ต้องชำระตัวเอง จากเรื่องที่หันเข้าหาตัวเอง จึงบอกว่า ความศักดิ์สิทธิ์ไม่ใช่สะอาดใส่ห่อ บริสุทธิ์ด้วยปลอดเชื้อ แต่เหมือนกับบรรดานักบุญ ผ่านในโลกนี้ ผ่านไปให้ได้ ผ่านจะละสละตนเอง แม้จะแปดเปื้อน แต่ไม่ปลอมปนด้วยความคิดแบบคนหาผลประโยชน์ ไม่ปะปนด้วยความคิดแบบไม่แตะต้อง ไม่แปดเปื้อน เพื่อจะดูดี ดูบริสุทธิ์ แต่อาจ “ใจไม่ใสสะอาด”

​ประการสุดท้าย ความสะอาด บริสุทธิ์ ที่มองเห็นได้ คือ
“ผูกชีวิตไว้กับพระ” ดังการ “ถวายชีวิตจิตใจไว้กับพระ” ที่ยอดปรารถนา ที่จุดมุ่งหมายในชีวิตของบรรดานักบวช หรือ แม้ผู้ที่ศรัทธาอยากอุทิศตนทุกคน

​แต่ การปลีก หลีก ฉีกตัวออกไป นั่งเฝ้าเอาใจ ใส่ใจแต่สวดเป็นบ้าเป็นหลัง และก็ยึดเอาพระเจ้าเป็นของตัวเอง เหมือนตนเป็นเจ้าข้าวเจ้าของ กลับไม่ใช่ “วิธีคิดที่ใสบริสุทธิ์ และตัวตนก็ไม่ได้สะอาด”

​เพราะบรรดาผู้ศักดิ์สิทธิ์ในยุคสมัยที่เราเห็น เราพบว่า บุคคลนั้น

สมถะ ละวาง เพื่อจะมีเหลือ เพื่อช่วยเหลือ

พอเพียง รู้จักความพอดี เพื่อมีพื้นที่สำหรับผู้ยากไร้

กำกับ จัดการ เพื่อจะมีเวลา มีโอกาส มีเครือข่ายสำหรับพี่น้องทั้งหลาย

นี่เป็นความสะอาดที่ได้จากการชำระสะสางจิตใจ กำกับจัดการข้าวของสิ่งล่อใจ ดังคนนั้น ที่พระวรสารได้เล่าว่า หลังจาก “ชำระ สะสาง จัดการ” ได้กลับมาขอบพระคุณพระเจ้า

ถ้าชีวิตของเรา ได้ชำระ สะสาง จัดการ อาจหมายความว่า เรา ไม่ได้สะอาด เหมือนใส่ในห่อ มัดไว้ในถุงปลอดเชื้อ แต่ได้เผชิญ เดิน ในโลก และได้เกิดปรากฎการณ์แห่งพระเมตตาของพระเจ้า และได้กลับมาชำระ สะสาง จัดการ จนกลายเป็นความสัมพันธ์กับพระเจ้า ดังคำพูดสรุปที่พระเยซูเจ้าตรัสกับคนโรคเรื้อนที่กลับมาถวาย

เกียรติแด่พระเจ้า คนสุดท้ายที่ว่า

“จงลุกขึ้น ไปเถิด ความเชื่อของท่านทำให้ท่านรอดพ้นแล้ว”

ความสะอาด ความบริสุทธิ์ ในจิตวิญญาณ เป็นการกระบวนในชีวิตคริสตชน ชำระตัวเอง เปลี่ยนแปลงตัวเอง เป็นน้ำรดราดคนอื่น เป็นความชุ่มชื่นเพื่อคืนความหวังให้คนอื่น เป็นการเยียวยารักษา เป็นคนเพื่อคนอื่น เป็นคนที่ยืนบนความชอบธรรม เป็นคนที่ยืนเพื่อความสัมพันธ์เพื่อสะท้อนพระเจ้าองค์ ความเมตตาที่มีพระพักตร์เปี่ยมความเมตตาในชีวิตของเราที่ เมตตาต่อพี่น้อง ที่เป็น ความสะอาด บริสุทธิ์ในชีวิตคริสตชนที่แท้จริง

ขอพระเจ้าองค์ความเมตตา ชำระเราให้เป็นผู้บริสุทธิ์ด้วยงานแห่งความรักความเมตตาต่อพี่น้องเสมอๆ