ข้อคิดจากพระวาจาประจำวัน  โดย..คุณพ่อฉลองรัฐ สังขรัตน์

วันจันทร์ที่ 14 พฤศจิกายน 2016
สัปดาห์ที่ 33 เทศกาลธรรมดา
วว 1:1-4,2:1-5ก / ลก 18:35-43
บทอ่านจากพระวรสารนักบุญลูกา             
     ขณะที่พระเยซูเจ้าทรงพระดำเนินมาใกล้เมืองเยรีโค ชายตาบอดคนหนึ่งนั่งขอทานอยู่ริมทาง เมื่อได้ยินเสียงผู้คนผ่านมา เขาจึงถามว่าเกิดอะไรขึ้น มีคนบอกเขาว่าพระเยซูชาวนาซาเร็ธกำลังเสด็จผ่านมา คนตาบอดจึงร้องขึ้นว่า “ข้าแต่พระเยซู โอรสของกษัตริย์ดาวิดเจ้าข้า โปรดเมตตาข้าพเจ้าเถิด” ผู้คนที่เดินข้างหน้า ได้ดุว่าเขา บอกให้เงียบ แต่เขากลับตะโกนดังยิ่งกว่าเดิมว่า “พระโอรสของกษัตริย์ดาวิดเจ้าข้า โปรดเมตตาข้าพเจ้าเถิด”

พระเยซูเจ้าทรงหยุด ตรัสสั่งให้นำคนนั้นเข้ามา เมื่อเขาเข้ามาใกล้ พระองค์ตรัสถามว่า “ท่านอยากให้เราทำอะไรให้” เขาทูลว่า “พระเจ้าข้า ให้ข้าพเจ้ามองเห็นเถิด” พระเยซูเจ้าตรัสกับเขาว่า “จงมองเห็นเถิด ความเชื่อของท่านช่วยท่านให้รอดพ้นแล้ว” ทันใดนั้น เขาก็มองเห็นได้อีก และเดินตามพระองค์ไป พลางถวายพระเกียรติแด่พระเจ้า ประชาชนทั้งปวงเห็นเช่นนั้น ต่างร้องสรรเสริญพระเจ้า

 (พระวาจาของพระเจ้า)

————

 “แสงที่มองเห็น” ไม่ใช่แสงที่เห็นอยู่แล้ว แต่เป็นแสงแรกที่แทรกออกมาจากที่มืด
 คนตาบอด เห็นแสงแรก แม้จะแยกไม่ออกว่าคนหรือต้นไม้ แต่แสงกลับทำให้รู้สึกได้ว่า ที่ตาพร่าไม่เห็น มองได้แต่มืดดำ ไม่เป็นอย่างนั้นอีกแล้ว
 ดังนั้น การพูดถึงความสว่างกับความเชื่อ พระวาจาเน้น “การแยกแยะ”
 ขาว ออกจาก ดำ
 แสง ออกจาก มืด
 ตาใส ออกจาก ตาบอด

 การอธิบายความเชื่อด้วย “แสงสว่าง” ในวิวรณ์จึงบอกว่า
 “พระองค์ผู้ทรงถือดาวทั้งเจ็ดดวงไว้ในพระหัตถ์ขวา และทรงดำเนินอยู่ในหมู่เชิงตะเกียงทองคำทั้งเจ็ดเชิง ตรัสดังนี้ เรารู้จักกิจการ ความเหน็ดเหนื่อยและความเพียรทนของท่าน และรู้ว่าท่านทนคนชั่วร้ายไม่ได้ ท่านทดสอบผู้ที่อ้างว่าเป็นอัครสาวก แต่ไม่เป็น”
 แสงทำให้เราบากบั่นหา
 แสงทำให้เราดั้งด้นค้น
 ที่เป็น ความหมายของการเจริญขึ้นของความเชื่อ ที่แสงสว่างเป็นแรงจูงใจ ทำให้เราต้อง บากบั่น ดั้งด้น เพื่อ “เห็นแสง”

 คนตาบอดจึงบอกพระเยซูเจ้าว่า “พระเจ้าข้า ให้ข้าพเจ้ามองเห็นเถิด” พระเยซูเจ้าตรัสกับเขาว่า “จงมองเห็นเถิด ความเชื่อของท่านช่วยท่านให้รอดพ้นแล้ว”
 ความเชื่อก็เป็นการบากบั่น ดั้งด้น ผ่านเรื่องทดสอบ ผ่านขวากหนามฝ่าฟันไปหา “แสง” ที่เป็นหนทางแห่งความเชื่อนั่นเอง