“ถ้าท่านทั้งหลายยึดมั่นในวาจาของเรา ท่านก็เป็นศิษย์ของเราอย่างแท้จริง" (ยน. 8:31)

รำพึงพระวาจาประจำวัน โดยคุณพ่อสมเกียรติ  ตรีนิกร
วันพุธที่ 27 เมษายน 2016

สัปดาห์ที่ 5 เทศกาลปัสกา 

กจ 15:1-6…….
1คริสตชนชาวยิวบางคนลงมาจากแคว้นยูเดีย และสอนบรรดาพี่น้องว่า “ถ้าท่านทั้งหลายมิได้เข้าสุหนัตตามธรรมประเพณีของโมเสส ท่านจะรอดพ้นไม่ได้” 2เปาโลและ บารนาบัสไม่เห็นด้วย จึงโต้แย้งกับเขาเหล่านั้นอย่างรุนแรง มีการตกลงกันให้เปาโลและบารนาบัสพร้อมกับพี่น้องบางคน ขึ้นไปยังกรุงเยรูซาเล็ม เพื่อปรึกษาปัญหานี้กับบรรดา อัครสาวก และบรรดาผู้อาวุโส 3เมื่อพระศาสนจักรจัดให้เขาเหล่านั้นออกเดินทางไปแล้ว

เขาเดินทางผ่านแคว้นเฟนีเซียและสะมาเรีย เล่าเรื่องการกลับใจของคนต่างศาสนา ทำให้พี่น้องทุกคนชื่นชมอย่างยิ่ง 4เมื่อมาถึงกรุงเยรูซาเล็มเขาได้รับการต้อนรับจากพระศาสนจักร บรรดา อัครสาวกและบรรดาผู้อาวุโส บารนาบัสและเปาโลเล่าเรื่องต่าง ๆ ที่พระเจ้าทรงกระทำโดยผ่านตน
5ผู้มีความเชื่อบางคนที่เคยอยู่ในกลุ่มชาวฟาริสีลุกขึ้นกล่าว ว่า “ต้องให้คนต่างศาสนาเข้าสุหนัต และปฏิบัติตามธรรมบัญญัติของโมเสส”
6บรรดาอัครสาวกและผู้อาวุโส จึงประชุมกันเพื่อพิจารณาปัญหานี้ 7หลังจากโต้เถียงกันมากแล้ว เปโตรลุกขึ้นกล่าวแก่ที่ประชุม

อรรถาธิบายและไตร่ตรอง
• “สังคายนาที่กรุงเยรูซาเล็มเกิดขึ้นเพื่อหาทางเดินร่วมกัน”

• วันนี้พ่ออยากพูดถึงการประชุมสมัชชาฯ ที่จัดขึ้นบ่อยๆ จนถึงสังคายนา คือ
o การร่วมประชุมของบรรดาพระสังฆราช หรือถ้าเป็นระดับสังฆมณฑลฯ ก็คือ สมัชชาสังฆมณฑล คำที่ใช้สำหรับ “สมัชชา” คือ คำว่า ซีโนด Synod ภาษาคำนี้เพราะมากๆจริงๆนะครับ
o คำว่า Synod เป็นรากจากภาษากรีก มาจากสองคำรวมกันคือ “Syn ภาษากรีกแปลว่า ร่วมกัน ด้วยกัน together” อีกคำคือว่า “hodos” อ่านว่า โฮดอส แปลว่า ถนน หรือทางเดิน “Road หรือ Way” รวมความคือ Syn+hodos=Synod ดังนั้น การประชุมสมัชชา หรือซีโนด แปลว่า การมาร่วมกัน หาทางเดินร่วมกัน แสวงหาทางเดินเพื่อสร้างเอกภาพร่วมกัน
o ทุกครั้งที่พระศาสนจักรมีปัญหาหรือมีความจำเป็นต้องพัฒนาให้ก้าวหน้า การประชุมสมัชชาจึงจำเป็น การมาร่วมหาทางเดินร่วมกัน

• กิจการอัครสาวกบทที่ 15 เป็นตัวอย่างที่ดี ที่เราจะเริ่มอ่านในวันนี้
o เราจะเห็นปัญหาเกิดขึ้นเมื่อเปาโลกับบารนาบัสออกไปประกาศข่าวดี และที่สุด มาถึงจุดแตกที่ไม่เห็นด้วยกันในเรื่องธรรมเนียมการเข้าสุนัตของชาวยิวที่จะมาเป็นคริสตชน และคนต่างชาติที่จะมาเป็นคริสตชนต้องเข้าสุนัตด้วยไหม....
o นั่นคือปัญหาที่เปาโลกับบารนาบัสไม่เห็นด้วยที่จะต้องให้คนต่างชาติที่จะเข้ามารับความรอดต้องเข้าสุนัตด้วยหรือไม่ โต้แย้งกันรุนแรง....
o ดังนั้น จำเป็นต้องกลับไปเยรูซาเล็มเพื่อปรึกษา หรือเรียกว่าเป็นสมัชชาแรกสุด หรือสังคายนาแรกสุดของพระศาสนจักรที่กรุงเยรูซาเล็ม นี่คือ การแก้ปัญหาของพระศาสนจักรคือต้องกลับไปที่ศูนย์กลาง เยรูซาเล็ม และใช้การพูดคุย เจรจาเพื่อแก้ปัญา นี่คือวิธีการของพระศาสนจักรเมื่อมีปัญหา.... และเยรูซาเล็มคือที่รวมกันเพื่อแสวงหาความเป็นหนึ่งเดียว หาทางเดินร่วมกัน

• ชีวิตพระศาสนจักร อยู่ได้โดยอาศัย พระวาจาของพระเจ้า พระวาจาแห่งความรักเป็นสำคัญ พระวาจา “Word” ต้องเห็นการเสวนา พูดคุย ใช้วาจาและพระวาจาของพระเจ้าเป็นสำคัญ ถ้าไม่สามารถใช้พระวาจาก็คงทะเลาะกัน
o ดูคำนี้สิครับ “sWord, sword
o Sword แปลว่า “ดาบ”
o Word แปลว่า “วาจา”
o ถ้าไม่ใช่วาจาคำพูดการเสวนา ก็มักจะลงเอยกันด้วยการสู้รบและสงคราม นั่นไม่ใช่วิธีการหรือหนทางของพระศาสนจักร เพราะพระเจ้าของเราเป็นพระเจ้าแห่วความรักและสันติ ไม่มีความรุนแรง พระศาสนจักร ชุมชนคริสติชน ครอบครัวคริสตชน ต้องเสวนาและแสวงหาทางเดินร่วมกันเสมอ.....

• การแสดงความคิดเห็น การเสวนา โต้เถียงกันเป็นเรื่องปกติธรรมดา แต่ที่สุด เป้าหมายสำคัญคือการหาทางเดินร่วมกัน การมีความเชื่อ คือการละความเห็นส่วนตัวเพื่อยอมรับข้อความเชื่อหรือข้อคำสอนที่ถูกต้องแท้จริงๆด้วยความเชื่อจริงๆ คือ การละจากการยึดมั่นถือมั่นในความคิด ไปสู่การยึดมั่นในความจริงที่มาจากพระคัมภีร์ และจากคำสอนของพระศาสนจักร ด้วยความสุภาพถ่อมตนและยอมรับด้วยความรัก
o นี่คือ แนวทางของพระศาสนจักรเสมอมา.... มีอะไรก็พูดคุย เสวนากันและแบ่งปันด้วยกันบนพื้นฐานของความรักของพระเจ้า และความสุภาพถ่อมตนด้วยความรัก

• พ่อเชื่อว่า คริสตชน ครอบครัวคริสตชน พระศาสนจักร สำคัญมากที่สุดคือ “ความรัก และรักในความจริง การแสวงหาความจริง ด้วยความรักร่วมกัน” จึงจำเป็น โดยเริ่มจากในครอบครัว ในสังคมของพระศาสนจักรนี้เอง
o ดังนั้นมีอะไรก็เปิดหัวใจรักกันและแสวงหาทางเดินร่วมกันเสมอนะครับ รัก ยอมรับ และเปิดหัวใจ และ
o ยอมสละความคิดส่วนตัวเพื่อตอบรับความจริงนั่นคือหนทางของพระศาสนจักรครับขอพระเจ้าอวยพรครับ อ่านหนังสือกิจการอัครสาวกต่อเนื่องไปนะครับ.......

เพิ่มหน่อย.....ประสบการณ์

-------------------------------------------------

พ่อทำงานในบ้านผู้หว่าน 10 ปี พ่อเคยทำหน้าที่แบบที่ต้องมีเจ้าหน้าที่ มีพนักงาน มีแม่บ้าน มีช่าง มีแม่ครัว มีเจ้าหน้าที่ห้องอาหาร มีเจ้าหน้าที่ออฟฟิต มีเจ้าหน้าที่หลายๆ แบบในระบบของบ้านผู้หว่าน

วันนี้พ่อคิดถึงพนักงาน เจ้าหน้าที่ที่บ้านผู้หว่านที่พ่อได้เคยร่วมชีวิตทำงานและพวกเขาได้เป็นคนที่พ่อต้องพึ่งพวกเขา และพวกเขาก็รักบ้านผู้หว่านเหมือนกับบ้านขอพวกเขาที่พวกเขารักและผู้พันธ์ มีสิ่งหนึ่งที่พ่อคิดเสมอเมื่อพ่อหน้าที่ที่เขาเรียกพ่อว่า “อธิการ” บ้านผู้หว่าน พ่อจำได้ว่าพ่อได้รับหน้าที่ที่พระคุณเจ้ามอบให้ สิบปีที่นั้น 5 ปีในฐานะผู้ช่วยอธิการ และอีก 5 ปีเต็มในหน้าที่อธิการ
พ่อจำได้ว่า พ่อได้ประกาศว่า ในบ้านนี้พ่อไม่ใช่ผู้บริหาร แต่พ่อเป็น “พ่อ” พ่อเป็น “พระสงฆ์คาทอลิก” และพ่อจำได้ว่า พ่อยื่นยันว่า “บ้านหลังนี้จะต้องจัดการดำเนินการหรือบริหารจัดการไปด้วยจิตตารมณ์ของพระเยซูเจ้าเท่านั้น” เพราะพ่อไม่ใช่ผู้บริหาร พ่อไม่เคยเรียนวิชาบริหารจัดการ พ่อเรียนพระคัมภีร์มา และที่สำคัญ “พ่อเป็นพระสงฆ์ไม่ใช่นักบริหาร” พ่อกล่าวสิ่งนี้กับสมาชิกของพ่อขัดเจนตั้งแต่วันแรกที่พ่อรับหน้าที...

ตลอดเวลาที่มีเจ้าหน้าที่หรือพนักงาน (พ่อไม่เคยเรียกว่า คนงาน) อยู่กับพ่อประมาณร้อยคน หรือร้อยกว่าคน... จำนวนมากพอควร และสักครึ่งหนึ่งเป็นผู้อาวุโสกว่าพ่อ เป็นระดับพี่สาวพี่ชาย คุณน้าคุณอา คุณป้าคุณลุง พวกเขาเป็นคนที่อาวุโสกว่าพ่อ... ในเวลานั้น...พ่อไม่เคยทำงานบริหารจัดการใดๆมาก่อนเลย... เพราะไม่ได้ฝึกมา ไม่ได้เรียนหลักการบริหารโรงแรมหรือการจัดการบ้านพัก... แต่พ่อมีจุดหลัก จุดยืน หรือหลักคิดเพียงประการเดียว พ่อเป็นพระสงฆ์ พวกเขาเป็นลูก นี่เป็นบ้าน และพ่อก็เป็น “พ่อ” ถ้าพ่อเป็นพ่อที่อยู่กับลูก บ้านย่อมเป็นบ้าน
เรามีรูปแม่พระอยู่กลางบ้าน ทุกคนไหว้แม่พระองค์อยู่แล้ว แม้แต่ลูกๆต่างความเชื่อต่างศาสนา เขาก็ไหว้แม่พระทุกคน... น่ารักมาก... พ่อจำความได้ว่า พ่อย้ำและเน้นกับเจ้าพนักงาน หรือคนที่ทำงานกับเรา หาเลี้ยงชีพเลี้ยงครอบครัว... เขาทำงานหนัก... พ่อคิดเสมอว่า พวกเขาต้องมีศักดิ์ศรีในการงาน ในความเป็นมนุษย์.... พ่อรู้สึกว่า หน้าที่ของพ่อในการทำหน้าที่ในบ้านหลังนี้ พ่อพอจะสรุปได้ประเด็นสำคัญๆดังนี้

1. พ่อไม่ใช่ผู้อำนายการ ไม่ใช่ผู้บริหาร ไม่ใช่ผู้จัดการ ไม่ใช่เจ้านาย.... แต่พ่อเป็น “พ่อ” คำนี้พ่อภูมิใจที่สุด พ่อรู้สึกและมั่นใจว่า พ่อต้องรักพวกเขาทุกคน ต้องทำให้พวกเขามีความสุข มีอิสระจากความทุกข์และการกระทำใดๆที่กดขี่อิสรภาพของเขา
• พ่อกล่าวกับพนักงานระดับหัวหน้าเสมอว่า อย่าทำสิ่งใดๆที่ขาดความยุติธรรม หรือทำให้พนักงานคนใดๆรู้สึกว่าถูกกระทำยุติธรรมในขณะที่เขาทำงาน
• พ่อมั่นใจว่า สถาบันของพระศาสนจักร โรงเรียน วัด ฯลฯ ที่เรามีเจ้าหน้าที่มากมาย และมีพระสงฆ์เป็นหัวหน้าหรือเป็น “พ่อ” เป็นผู้นำ ณ ที่นั่นๆ จะต้องไม่ขาดความยุติธรรม ความรัก และสันติสุข เพราะถ้าขาดความรักและความยุติธรรม ความเมตตา พระเจ้าไม่อยู่ที่นั่น...
• พ่อเชื่อว่า หน้าที่ของพระสงฆ์คือผู้นำความรัก ผู้นำความยุติธรรม ผู้นำความสันติสุข และความสุขสู่สถานที่เป็นชุมชนแห่งความเชื่อ... วัด โรงเรียน ที่ทำงานในรูปแบบต่างๆ

2. เราต้องพยายามสุดกำลังให้พนักงานที่อยู่กับบ้าน หรือสถานศาสนาของเรา ปลอดภัยทางชีวิต... พ่อย้ำเตือนสอนเสมอให้ลูกขับรถปลอดภัย ส่วนใหญ่ใช้มอเตอร์ไซค์กัน... อดห่วงไม่ได้สักวัน โดยเฉพาะช่วงพักผ่อนสงกรานต์และปีใหม่แต่ละปี พ่อจะย้ำให้เดินทางกลับบ้านดีๆ มีสติ และไม่ประมาท ระหว่างวันอันตรายเราก็ภาวนาและห่วงใยลูกๆของเรา..

3. พ่อคิดว่า เราต้องมุ่งสุดกำลังให้พวกเขาได้มีการศึกษาดี พ่อส่งพวกเขาให้ได้เรียนหลายคน คนที่ทำงานมานานๆ อย่างดี หรือคนที่มีพรสวรรค์และเป็นคนดี ให้เรียนต่อ เรียนฟรีเลย พ่อจ่ายให้ เพียงแต่เลือกเรียนที่ไม่แพงเกินไป.... เรียนปริญญาโท ตรี ฯลฯ เรียนพระคัมภีร์ก็มีถ้าเขามีพรสวรรค์

• อะไรที่เป็นการพัฒนาเขาได้ เรามีโอกาส เรามีรายได้พอ เราต้อง “ให้” และเราจะได้รับคืนอย่างมากมายจากหัวใจและความรักของพวกเขา... พ่อทำแบบนี้มาตลอด บ้านผู้หว่านไม่เคยขาดทุน มีแต่มีรายได้เหลือพอเลี้ยงตัวเองได้อย่างไม่ลำบาก และพระก็อวยพร... เราอาจไม่ร่ำรวยเหมือนโรงแรม (เพราะเราไม่ใช่ และไม่มีวันเป็นโรงแรม) เพราะเป็น “บ้าน” มีพ่อเป็นพ่อ เท่านี้ก็ภูมิใจ มีบรรดาพระสงฆ์เป็นเจ้าของบ้านพร้อมจะกลับมารวมกันอย่างมีความสุขและรักที่จะกลับมา พนักงานก็รู้จักพระสงฆ์เกือบทุกคน... (พ่อเคยให้พนักงานจดจำเจ้าบ้าน คือพระสงฆ์กรุงเทพฯทุกคน พระสังฆราชทุกองค์...ให้ได้ มีสอบด้วย) เพราะเขาต้องรักเจ้าบ้าน ส่วนพ่อเป็นแค่คนทำหน้าที่ดูแล...

4. พนักงานของเรา ลูกของเรา ต้องมีความสุข ต้องอิ่ม และไม่อยู่อย่างหิวกระหาย โดยเฉพาะพวกเขาต้องไม่หิวกระหายความยุติธรรม หรือถูกเบียดเบียนข่มเหงเพราะความยุติธรรม จากพ่อเองหรือจากบรรดาหัวหน้าทั้งหลาย

• เพราะถ้าพวกเขารู้สึกถูกเบียดเบียน บาปก็ตกกับพ่อ พ่อดูแลลูกไม่ดี พ่อเป็นพระสงฆ์ที่ขาดความเอาใจใส่ ใช่ไม่ได้ ไม่เหมาะที่จะเป็นพระสงฆ์ เป็นบิดาของพวกเขา พระสงฆ์ต้องต่อสู้กับความอยุติธรรมและการขาดความรักสุดกำลัง...นั่นคืองานของพ่อ

• พ่อจะไม่ยอมให้พวกเขากดขี่กันเอง โดยเฉพาะบรรดาหัวหน้า ต้องรับจิตตารมณ์พระเยซู คือ ต้องรัก ให้เกียรติ ถ้าทำให้คนอื่นหิวกระหาย อดอยาก หรือขาดความยุติธรรม เราทำผิดมากๆ บาปจริงๆ
มีอีกเยอะแยะที่จะเล่าต่อไป แต่จะยาวเกิน เอาเป็นว่า พ่อเอาประสบการณ์อันน้อยนิดของตนเองมาวางให้อ่าน ให้ไตร่ตรอง... พ่อยอมรับว่า แรงงานที่คนเราทำอย่างมีศักดิ์ศรี มีความสุข คือ แรงงานแห่งความรัก.... และความจริงของแรงงาน มนุษย์ทำงานเพื่อเจริญชีวิตและเป็นชีวิตที่ดีขึ้นในความรักและในความจริง....
พ่อคิดว่า มีข้อคิดสำหรับพระศาสนจักรคาทอลิก... เรียกว่าเป็นข้อเตือนก็ได้ถ้าต้องเตือนกันจริงๆ... พระศาสนจักรในฐานะสถาบันการศึกษา วัด ที่ทำงานของสัตบุรุษจำนวนมากๆ ครูจำนวนนับพันๆคน ฯลฯ พ่อมีคำถามตนเองและถามพระศาสนจักร สังฆมณฑลของเราตรงๆ ถามพระสงฆ์ นักบวชของเราตรงๆ ในเรื่อง “เครื่องหมายหรืออัตลักษณ์” ที่ทำให้เราเป็นพระศาสนจักรจริงๆ พ่อมีคำถามเหล่านี้ครับ

• พวกเราพระสงฆ์นักบวช เราเป็นพ่อ เป็นพี่น้อง ที่ดีต่อบรรดาเจ้าหน้าที่ ครู พนักงานทุกระดับของเราเพียงใด...
o เรายุติธรรมกับพวกเขาไหม... หรือพวกเขาได้รับความกระทบกระเทือนจิตใจเพราะความอยุติธรรมของเราบ้างไหม (ความอยุติธรรมเป็นบาป)
o เราอาจเป็นคนยุติธรรมจริงๆ แต่คนรอบข้างเราเขายุติธรรมต่อกันไหม คนที่มีบทบาทหน้าที่ (พ่อไม่เรียกว่า ตำแหน่ง) มากกว่า คนที่มีความรับผิดชอบมากกว่าพวกเขาเหล่านั้น ใช้อำนาจแห่งความรักจริงๆ ไหม พวกเขาอยุติธรรมกับคนระดับที่อยู่ใต้ความรับผิดชอบของเขาไหม... เขาใช้จิตตารมณ์อะไรในการเป็นผู้นำ.....
o นี่คือคำสอนเด็ดขาดของพระเยซูเจ้า
“พระเยซูเจ้าจึงทรงเรียกเขาทั้งหมดมาพบ ตรัสว่า “ท่านทั้งหลายย่อมรู้ว่า คนต่างชาติที่คิดว่าตนเป็นหัวหน้าย่อมเป็นเจ้านายเหนือผู้อื่น และผู้เป็นใหญ่ย่อมใช้อำนาจบังคับ แต่ท่านทั้งหลายไม่ควรเป็นเช่นนั้น ผู้ใดที่ปรารถนาจะเป็นใหญ่จะต้องทำตนเป็นผู้รับใช้ผู้อื่น และผู้ใดที่ปรารถนาจะเป็นคนที่หนึ่งในหมู่ท่าน ก็จะต้องทำตนเป็นผู้รับใช้ทุกคน เพราะบุตรแห่งมนุษย์มิได้มาเพื่อให้ผู้อื่นรับใช้ แต่มาเพื่อรับใช้ผู้อื่น และมอบชีวิตของตนเป็นสินไถ่เพื่อมวลมนุษย์”” (มก 10:42-45)
o พ่อมั่นใจที่สุด การรับใช้คือหัวใจของความเป็นที่หนึ่งของเราพระสงฆ์ นักบวช ครู อาจารย์ นักบริหาร คาทอลิกที่มีความเชื่อในพระเยซู (ย้ำถ้ามีความเชื่อในพระเยซูเจ้า) การบริหารของเราจะแตกต่างจากกระแสโลก... เริ่มจากความยุติธรรมสูงสุด และเป็นจริงในความรักสูงสุด....
พี่น้องที่รัก พ่อเชื่อว่า “นี่สำคัญกว่าเรื่องการเข้าสุหนัต” เพราะเป็น “การเข้าสุหนัตในหัวใจ” ที่เราต้องกรีดเพื่อเปิดความรักแท้จริง และความยุติธรรมแท้จริง “ความรักเมตตา และความยุติธรรม” คือ “เครื่องหมายของชีวิตพระศานจักร คือชีวิตของศิษย์พระคริสตเจ้า” แน่ๆมิใช่หรือครับ... ขอพระเจ้าอวยพรให้เราได้มีเครื่องหมายติดชีวิตของเราว่าเราเป็นคริสตชน คือ “ความรักเมตตาและความยุติธรรม” ตลอดไป....

เช้าวันใหม่ใส่ใจพระวาจา

Lectio Divina-Daily 2022

เช้าวันเสาร์เราคิดถึงพระวาจา

Video อบรมพระคัมภีร์

ความรู้พื้นฐานพระคัมภีร์และหนังสือปฐมกาล

หนังสืออพยพและเลวีนิติ

หนังสือกันดารวิถีและเฉลยธรรมบัญญัติ

หนังสือโยชูวา ผู้วินิจฉัยและนางรูธ

หนังสือซามูแอล ฉบับที่ 1 และ ฉบับที่ 2

หนังสือพงศ์กษัตริย์ ฉบับที่ 1 และ ฉบับที่ 2

หนังสือพงศาวดาร เอสราและเนหะมีย์

หนังสือโทบิต ยูดิธ เอสเธอร์และมัคคาบี 1 และ 2

ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับประกาศกและประกาศกอาโมส

หนังสือประกาศกโฮเชยาและมีคาห์

หนังสือประกาศกอิสยาห์

หนังสือประกาศกโยนาห์และประกาศกเศฟันยาห์

หนังสือประกาศกนาฮูมและฮาบากุก

หนังสือประกาศกเยเรมีห์-เพลงคร่ำครวญ-บารุค

หนังสือประกาศกเอเสเคียลและดาเนียล

บทเทศน์บนภูเขา มธ. 5-7

พระวรสารนักบุญมัทธิว 10,13,18

พระวรสารนักบุญมาระโก

หนังสือกิจการอัครสาวก