"พระคริสตเจ้าทรงเป็นผู้ใดสำหรับข้าพเจ้า" อธิบายพระวรสารตามคำบอกเล่าของนักบุญมาระโก โดย บาทหลวงฟรังซิส ไก้ส์
“เขาจะหลับหรือตื่น กลางคืนหรือกลางวัน
เมล็ดนั้นก็งอกขึ้นและเติบโต”

20. อุปมาเรื่องพืชที่งอกงามขึ้นเอง(2)
          อุปมาเรื่องพืชที่งอกงามขึ้นเองจบลงโดยไม่มีข้อสรุปในด้านปฏิบัติ ผู้อ่านรู้ตั้งแต่แรกว่าอุปมาเรื่องนี้หมายถึงอาณาจักรของพระเจ้า แต่การตีความหมายยังไม่แน่นอนว่าเป็นการเปรียบเทียบประวัติศาสตร์ของพระอาณาจักรพระเจ้าตั้งแต่เมล็ดแรกที่พระเยซูเจ้าทรงหว่านจนถึงวันพิพากษาโลกหรือเพียงอธิบายเหตุการณ์ใดเหตุการณ์หนึ่งในพระชนมชีพของพระเยซูเจ้าเท่านั้น


ประเด็นสำคัญคือสถานการณ์พระอาณาจักรของพระเจ้าเป็นเหมือนมนุษย์ที่ได้หว่านเมล็ดในดินหมายความว่า การเทศน์สอนและกิจการในพระชนมชีพของพระเยซูเจ้าคือการเริ่มต้นของพระอาณาจักรพระเจ้า การกระทำเช่นนี้จำเป็นมากทีเดียว และเพื่อเมล็ดจะเจริญเติบโตและสำแดงในสภาพที่สมบูรณ์ ดังนั้น พระเยซูเจ้าทรงเชิญชวนผู้ฟังให้มองธรรมชาติเพื่อจะเข้าใจวิธีการของพระเจ้าในการทำให้แผนการของพระองค์สำเร็จลุล่วงไปคือต้องการกาลเวลา พระอาณาจักรจะเกิดผลและแสดงออกอย่างค่อยเป็นค่อยไป เหมือนเมล็ดที่เริ่มงอกขึ้นเป็นลำต้นออกรวง ในที่สุดก็เป็นเมล็ดเต็มรวง มนุษย์จะเข้ามาเพื่อเร่งขบวนตามธรรมชาติของพระเจ้าไม่ได้เลย 

ประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน
           1. อุปมาเรื่องพืชที่งอกงามขึ้นเองสอนเราให้มีความไว้วางใจในการกระทำของพระเจ้า บทสอนนี้ใช้ได้กับทุกคน ทุกยุคทุกสมัย ใช้ได้กับศาสนบริการผู้ต้องประกาศพระวาจาของพระเจ้า ดังที่นักบุญเปาโลอธิบายในจดหมายถึงชาวโครินธ์ว่า "ทั้งผู้ปลูกและผู้รดน้ำก็ไม่สำคัญ แต่ผู้มีความสำคัญแท้จริงคือพระเจ้าผู้ทรงบันดาลให้เติบโตขึ้น" (1 คร3:7)

            2. ความกังวลห่วงใยเพื่อพระอาณาจักรของพระเจ้าจะแผ่ขยายในโลกก็เป็นความประสงค์ที่ดี แต่อาจจะเป็นอันตราย ถ้าลดความไว้วางในในพระอานุภาพของพระเจ้า และทำให้เราลืมไปว่าทุกสิ่งทุกอย่างเป็นของประทานจากพระองค์ที่ประทานให้เปล่า ๆ ไม่ว่ามนุษย์จะสาละวนสักเพียงใด เขาจะเร่งรัดให้พระอาณาจักรของพระเจ้ามาเร็วกว่าเวลาที่กำหนดไว้ไม่ได้เลย เพราะพระเจ้าเท่านั้นทรงบันดาลให้เกิดขึ้นในรูปแบบที่เราไม่รู้และไม่มีผู้ใดต่อต้านได้ 

             3. ผู้หว่านหรือผู้ประกาศข่าวดี นักเทศน์ทั้งหลายจำเป็นต้องห่วงกังวลที่จะหว่านเมล็ดพันธุ์ที่ดีคือพระวาจาของพระเจ้าไม่ใช่คำพูดและความคิดของตนเอง เมื่อหว่านลงไปแล้ว เราก็นอนหลับได้อย่างสงบและคอยตื่นเฝ้าด้วยใจราบรื่นรอคอยเวลาที่จะเก็บเกี่ยว

             4. หลายครั้ง เรามีอันตรายที่จะเข้าใจว่า ประสิทธิภาพของมนุษย์เป็นประสิทธิผลของข่าวดี เหมือนกับว่า ยิ่งเราออกแรงเผยแผ่ข่าวดีมากเท่าใด ยิ่งจะเร่งให้พระอาณาจักรพระเจ้าเกิดผลมากเท่านั้น แต่ธรรมชาติแสดงชัดเจนถ้าเราดึงลำต้นขึ้น ต้นไม้ก็จะไม่เจริญเติบโตเร็วกว่าเดิม ตรงกันข้ามเราจะถอนรากจากดิน

             5. ถ้าเรามีความเชื่อแท้จริง เราจะรู้ว่าชีวิตมนุษย์เป็นเหมือนทุ่งนาที่ได้หว่านเมล็ดพืช ดินจะให้ผลผลิตโดยอาศัยพลังที่อยู่ในเมล็ด เมล็ดพืชที่หว่านลงไปดูเหมือนตายไปในดิน แต่โดยแท้จริงแล้ว เมล็ดนั้นกลับนำชีวิต

             6. เราต้องวอนขอพระเจ้าโปรดประทานความเพียรทนและปรีชาญาณเหมือนกับชาวนา ดังที่เราพบในจดหมายของนักบุญยากอบที่เตือนคริสตชนว่า  "พี่น้องทั้งหลาย จงพากเพียรรอจนกว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าจะเสด็จมา จงดูชาวนาเถิด เขาย่อมรอผลมีค่าจากแผ่นดินด้วยความพากเพียร รอจนกระทั่งมีฝนต้นฤดูและฝนปลายฤดูท่านก็เช่นเดียวกัน จงมีความพากเพียร ทำจิตใจให้เข้มแข็งเพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าใกล้จะเสด็จมาแล้ว" (ยก 5:7-8)

           7. เราต้องขอบพระคุณพระเจ้าสำหรับการกระทำของพระองค์ในชีวิตมนุษย์ทุกคน ทุกยุคทุกสมัย แม้มนุษย์จะทำความดีบ้าง ทำความผิดบ้าง พระองค์ทรงบันดาลให้เกิดผลและทรงเป็นหลักประกันว่า ชีวิตมนุษย์ทุกคนมีความหมาย จะบรรลุผลสำเร็จอยู่เสมอเพียงขอให้มนุษย์มีความพากเพียร ความไว้วางใจในการกระทำของพระเจ้า