พระวาจาของพระเจ้าและความเชื่อ

25.      "เราต้องมีความเชื่ออย่างนอบน้อมต่อพระเจ้าผู้ทรงแสดงองค์แก่เรา (รม 16:26; เทียบ รม 1:5; 2 คร 10:5-6) ความเชื่ออย่างนอบน้อมนี้คือการที่มนุษย์ยอมมอบตนเองโดยเสรีแก่พระเจ้าอย่างสิ้นเชิง ถวายสติปัญญาและน้ำใจของตนอย่างเต็มที่เพื่อแสดงคารวะต่อพระองค์ผู้ทรงเผยความจริง และยอมเห็นด้วยกับการเผยของพระองค์ด้วยใจเสรี"[1] ธรรมนูญ Dei Verbum ใช้ถ้อยคำเหล่านี้บอกอย่างชัดเจนว่าเราต้องปฏิบัติอย่างไรต่อพระวาจา ความเชื่อคือการที่มนุษย์ตอบสนองพระวาจาอย่างเหมาะสม เราจึงเห็นได้ชัดเจนว่า "เพื่อจะรับการเปิดเผยความจริงมนุษย์ต้องเปิดความคิดและจิตใจรับการกระทำของพระจิตเจ้า จะได้เข้าใจพระวาจาของพระเจ้าที่ปรากฏอยู่ในพระคัมภีร์"[2] การประกาศพระวาจาก่อให้เกิดความเชื่อ อาศัยความเชื่อนี้เราเต็มใจยอมรับความจริงที่พระเจ้าทรงเปิดเผยให้เรารู้ และเราก็มอบตนแก่พระคริสตเจ้าอย่างสมบูรณ์ "ดังนั้น ความเชื่อจึงมาจากการฟัง สิ่งที่ได้ฟังก็มาจากพระวาจาของพระคริสตเจ้า" (รม 10:17) ประวัติศาสตร์ความรอดพ้นทั้งหมดค่อยๆแสดง ให้เราเห็นความสัมพันธ์ใกล้ชิดนี้ระหว่างพระวาจาของพระเจ้ากับความเชื่อซึ่งเกิดขึ้นจากการพบกับพระคริสตเจ้า ความเชื่อจึงเป็นรูปร่างขึ้นจากการพบปะกับพระองค์ที่เรามอบถวายชีวิตทั้งหมดของเรา ทุกวันนี้พระเยซูคริสตเจ้ายังทรงอยู่ในประวัติศาสตร์ ในพระกายของพระองค์คือพระศาสนจักร เพราะฉะนั้นความเชื่อของเราจึงเป็นทั้งกิจกรรมส่วนตัวและเป็นกิจกรรมส่วนรวมของพระศาสนจักรพร้อมกันด้วย



[1] Conc.Oecum.Vat.II, Const.dogm.de divina Revelatione Dei Verbum,5.

[2] Propositio 4.