พระวาจามีความเป็นอยู่จริง

10.      ผู้ที่รู้จักพระวาจาของพระเจ้าก็รู้จักความหมายใหม่ของสิ่งสร้างทั้งปวงอย่างสมบูรณ์ด้วย เพราะถ้าสรรพสิ่ง "ดำรงอยู่เป็นระเบียบ" ในพระองค์ซึ่งทรงดำรงอยู่ "ก่อนสรรพสิ่ง" (เทียบ คส 1:17) ผู้ที่ตั้งรากฐานชีวิตของตนไว้บนพระวาจาก็ย่อมสร้างชีวิตนี้ให้คงอยู่อย่างมั่นคงตลอดไปด้วย อันที่จริงพระวาจาของพระเจ้าผลักดันเราให้เปลี่ยนความหมายของความเป็นจริง ผู้นิยมความเป็นจริงก็คือผู้ที่ยอมรับว่าพระวาจาของพระเจ้าเป็นพื้นฐานให้ทุกสิ่งตั้งอยู่ได้[1] ในปัจจุบันเราต้องการวิธีคิดแบบนี้มากยิ่งขึ้น เพราะสิ่งต่างๆมากมายที่เราคิดว่าเป็นรากฐานของชีวิตและเป็นความหวังของเรานั้นปรากฏว่าเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ทรัพย์สิน ความสุข และอำนาจแสดงให้เห็นไม่ช้าก็เร็วว่าตนไม่อาจทำให้ความปรารถนาลึกซึ้งในใจของมนุษย์อิ่มได้ มนุษย์ต้องการพื้นฐานที่มั่นคงเพื่อก่อสร้างชีวิตของตน รากฐานนี้จะต้องคงอยู่แม้เมื่อความแน่ใจของมนุษย์หมดไปแล้วด้วย ใช่แล้วเพราะ "ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า พระวาจาของพระองค์นั้นมั่นคงเหมือนสวรรค์อยู่ตลอดไป ความซื่อสัตย์ของพระองค์ดำรงอยู่ทุกยุคทุกสมัย" (สดด 119:89-90) ผู้ที่ก่อสร้างบนพระวาจานี้ จึงสร้างบ้านชีวิตของตนไว้บนหิน (เทียบ มธ 7:24) ขอให้ใจของเราทูลพระเจ้าได้ทุกวันว่า "พระองค์ทรงเป็นที่ลี้ภัยและทรงเป็นโล่กำบังของข้าพเจ้า ข้าพเจ้ามีความหวังในพระวาจาของพระองค์" (สดด 119:114) และทำอย่างนักบุญเปโตรได้ทุกวันคือวางใจในพระเยซูองค์พระผู้เป็นเจ้า "เมื่อพระองค์มีพระดำรัส ข้าพเจ้าก็จะลงอวน" (ลก 5:5)



[1] Benedictus XVI, Homilia ad celebrationem Horae Tertiae, prima ineunte Generali Congregatione Synodi Episcoporum (6 Octobris 2008): AAS 100 (2008), 758-761.