ข้อคิดจากพระวาจาประจำวัน  โดย..คุณพ่อฉลองรัฐ สังขรัตน์

วันจันทร์ที่ 19 กันยายน 2016

น.ยานูอารีโอ พระสังฆราชและมรณสักขี

สภษ 3: 27-35 / ลก 8: 16-18

บทอ่านจากพระวรสารตามคำเล่าของนักบุญลูกา

      เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสแก่ประชาชนว่า
“ไม่มีใครจุดตะเกียงแล้วเอาถังครอบไว้หรือวางไว้ใต้เตียง แต่เขาย่อมตั้งไว้บนเชิงตะเกียง เพื่อคนที่เข้ามาจะเห็นแสงสว่างได้ ไม่มีสิ่งใดที่ซ่อนอยู่จะไม่ปรากฏชัดแจ้ง ไม่มีความลับใด  จะไม่มีใครรู้ และเปิดเผย ดังนั้น จงระวังว่าท่านฟังพระวาจาอย่างไร เพราะผู้ที่มีมากจะได้รับมากขึ้น ส่วนผู้ที่มีน้อย สิ่งเล็กน้อยที่เขามีจะถูกริบไปด้วย”

 (พระวาจาของพระเจ้า)

------------

 ความดีเป็นแสงส่องได้อย่างไร?
หนังสือสุภาษิตเริ่มต้น ลักษณะของความดีที่ส่องแสงได้ จากคุณลักษณะอันพึงประสงค์ของเราว่า
 "ถ้าลูกมีอำนาจจะทำได้ อย่าปฎิเสธความดีแก่ผู้ที่ต้องการ ถ้าลูกมีสิ่งของที่เพื่อนบ้านขอ อย่าพูดกับเขาว่า "กลับไปก่อนเถิด พรุ่งนี้กลับมาแล้วฉันจะให้"
 แม้ในใจตะคัดตะแคงว่า ขอไปแล้วจะเพิ่มพูนสิ่งที่เขามีบ้าง หรือ ขอไปแล้วจะลดทอนความยินดีเพราะได้ค้นพบว่าถูกหลอกลวง แต่เมื่อได้ "ให้" ความยิ่งใหญ่ของการให้ ไม่ใช่คำตอบว่า "ให้แล้วไปทำอะไร" "ให้แล้วได้อะไรตอบกลับมา" แต่เร่ิมต้นที่ได้ให้ ด้วยใจ ด้วยหวังดี ด้วยการประเมินตนว่าให้ได้ และจำเป็นที่ได้ให้
 ความดีของการให้ ที่ส่องแสงได้ ไม่ใช่ ให้อะไร ให้เท่าไร แต่ได้ให้ ด้วยใจเป็นไท ไม่ได้ผูกมัดกับบุคคลที่ให้ ว่าเป็นบุคคลน่ารักอยากให้ไม่จำกัด หรือบุคคลน่าเชื่อถืออยากให้โดยไม่หวังการตอบกลับ แต่ให้ได้ด้วย "ใจว่างๆ" ไม่ได้คาดหวัง ไม่ได้กะเกณฑ์ ไม่ได้ประเมินผล
 "แสงสว่างจึงส่องได้เต็มที่" ไม่มีอะไรมาบดบัง ด้วยอคติ ด้วยวิธีคิดที่ซับซ้อนซ่อนกล ด้วยความคาดหวังที่ไม่บริสุทธิ์ใจ

 การให้ เป็น แสงตะเกียง ไม่ถูกถังครอบหรือวางไว้ใต้เตียง จึงเป็นอย่างนี้

 

 

(Credit จาก Facebook คุณพ่อฉลองรัฐ สังขรัตน์)