“ถ้าท่านทั้งหลายยึดมั่นในวาจาของเรา ท่านก็เป็นศิษย์ของเราอย่างแท้จริง" (ยน. 8:31)

พระคริสตเจ้าประทับอยู่ตลอดเวลาในชีวิตของพระศาสนจักร

51.      เราจะเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างพระคริสตเจ้า พระวจนาตถ์ของพระบิดา กับพระศาสนจักรว่าเป็นเพียงเหตุการณ์ในอดีตไม่ได้ แต่เป็นเรื่องความสัมพันธ์ชีวิตที่ผู้มีความเชื่อแต่ละคนได้รับเรียกให้เข้ามามีความสัมพันธ์ด้วยเป็นการส่วนตัว เรากำลังพูดถึงการประทับอยู่ของพระวจนาตถ์ของพระเจ้าในหมู่พวกเรา "ดูซิ เราอยู่กับท่านทุกวันตลอดไปตราบจนสิ้นพิภพ" (มธ 28:20) ดังที่สมเด็จพระสันตะปาปายอห์นปอลที่ 2 เคยตรัสไว้ว่า "ความสำคัญของพระคริสตเจ้าสำหรับทุกสมัยปรากฏให้เห็นในพระกายของพระองค์ คือในพระศาสนจักร เพราะเหตุนี้องค์พระผู้เป็นเจ้าจึงทรงสัญญาแก่บรรดาศิษย์จะประทานพระจิตเจ้า ซึ่งจะ ‘ทรงให้เขาระลึกถึง' และจะทรงสอนเขาให้เข้าใจกฎบัญญัติของพระองค์ (เทียบ ยน 14:26) และจะทรงเป็นบ่อเกิดถาวรของชีวิตใหม่ในโลก (เทียบ ยน 3:5-8; รม 8:1-13)"[1] ธรรมนูญ Dei Verbum กล่าวถึงธรรมล้ำลึกประการนี้โดยใช้การสนทนาของสามีภรรยาเป็นอุปมา "พระเจ้าผู้ตรัสในกาลก่อน ยังไม่ทรงเลิกสนทนากับเจ้าสาวของพระบุตรสุดที่รักของพระองค์ต่อไป และพระจิตเจ้าซึ่งโปรดให้เสียงทรงชีวิตแห่งพระวรสารดังก้องในพระศาสนจักรและดังก้องไปทั่วโลก ทรงชักนำผู้มีความเชื่อให้รู้ความจริงทั้งปวงอาศัยพระศาสนจักร และทรงทำให้พระวาจาของพระคริสตเจ้าพำนักอยู่ในตัวเขาอย่างอุดม (เทียบ คส 3:16)"[2]

เจ้าสาวของพระคริสตเจ้า (= พระศาสนจักร) ซึ่งเป็นครูสอนศิลปการฟัง ทุกวันนี้ก็ยังกล่าวซ้ำอย่างมั่นใจว่า "โปรดตรัสเถิด พระเจ้าข้า พระศาสนจักรของพระองค์กำลังฟังอยู่"[3] เพราะฉะนั้นธรรมนูญ Dei Verbum จึงจงใจเริ่มต้นด้วยวลีว่า "สภาสังคายนาสากลฟังพระวาจาของพระเจ้าด้วยความศรัทธา และประกาศด้วยความมั่นใจ..."[4] ที่ตรงนี้เราพบคำนิยามชีวิตของพระศาสนจักร "ถ้อยคำที่สภาสังคายนากล่าวถึงลักษณะของพระศาสนจักรว่าเป็นชุมชนที่ฟังและประกาศพระวาจาของพระเจ้า พระศาสนจักรไม่มีชีวิตจากตนเอง แต่มีชีวิตจากพระวรสารและรู้จักแนวทางเดินของตนครั้งแล้วครั้งเล่าอยู่ตลอดเวลาจากพระวรสาร นี่คือคำแนะนำที่คริสตชนแต่ละคนต้องรับและนำมาใช้กับตน มีแต่ผู้ที่ดื่มด่ำฟังพระวาจาแล้วเท่านั้นที่จะเป็นผู้ประกาศพระวาจานั้นได้"[5] ทุกวันนี้ ที่นี่และในขณะนี้ พระเยซูเจ้ายังตรัสกับเราแต่ละคนในพระวาจาที่ได้รับการประกาศและรับฟัง รวมทั้งในศีลศักดิ์สิทธิ์ด้วยว่า "เราเป็นของท่าน เรามอบตัวเราแก่ท่าน" เพื่อมนุษย์จะรับและตอบได้เช่นเดียวกันว่า "ข้าพเจ้าเป็นของพระองค์"[6] ดังนั้นพระศาสนจักรจึงปรากฏเป็นบริบทที่เราจะมีประสบการณ์ ซึ่งอารัมภบทของพระวรสารนักบุญยอห์นกล่าวไว้ได้ว่า "ผู้ใดที่ยอมรับพระองค์ พระองค์ประทานอำนาจให้ผู้นั้นกลายเป็นบุตรของพระเจ้า" (ยน 1:12)



[1] Litt.enc. Veritatis splendor (6 Augusti 1993), 25: AAS 85(1993), 1153.

[2] Conc.Oecum.Vat.II, Const.dogm.de divina Revelatione Dei Verbum, 8.

[3] Relatio post disceptationem, 11.

[4] ข้อ 1.

[5] Benedictus XVI, Allocutio ad Conventum internationalem "La sacra Scrittura nella vita della Chiesa" (16 Septembris 2005): AAS 97 (2005), 956.

[6] Cfr Relatio post disceptationem, 10.

เช้าวันใหม่ใส่ใจพระวาจา

Lectio Divina-Daily 2022

เช้าวันเสาร์เราคิดถึงพระวาจา

Video อบรมพระคัมภีร์

ความรู้พื้นฐานพระคัมภีร์และหนังสือปฐมกาล

หนังสืออพยพและเลวีนิติ

หนังสือกันดารวิถีและเฉลยธรรมบัญญัติ

หนังสือโยชูวา ผู้วินิจฉัยและนางรูธ

หนังสือซามูแอล ฉบับที่ 1 และ ฉบับที่ 2

หนังสือพงศ์กษัตริย์ ฉบับที่ 1 และ ฉบับที่ 2

หนังสือพงศาวดาร เอสราและเนหะมีย์

หนังสือโทบิต ยูดิธ เอสเธอร์และมัคคาบี 1 และ 2

ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับประกาศกและประกาศกอาโมส

หนังสือประกาศกโฮเชยาและมีคาห์

หนังสือประกาศกอิสยาห์

หนังสือประกาศกโยนาห์และประกาศกเศฟันยาห์

หนังสือประกาศกนาฮูมและฮาบากุก

หนังสือประกาศกเยเรมีห์-เพลงคร่ำครวญ-บารุค

หนังสือประกาศกเอเสเคียลและดาเนียล

บทเทศน์บนภูเขา มธ. 5-7

พระวรสารนักบุญมัทธิว 10,13,18

พระวรสารนักบุญมาระโก

หนังสือกิจการอัครสาวก